วันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่าง
หากนับเวลาแบบยุคปัจจุบันก็น่าจะเป็นเวลาตีห้ากว่าแล้ว
แต่เวลาตีห้ากว่าของทางเหนือ ต่อให้เป็นเวลาเช้าหกโมงกว่า ท้องฟ้าก็ยังมืดเหมือนกัน
ไม่ว่าจะลุกขึ้นมาพับผ้าห่มหรือล้างหน้าล้างตา ก็จำเป็นต้องจุดตะเกียงให้ความสว่าง
พวกทหารก็ลุกกันแล้ว
เมื่อวานก่อนนอน เกิ่งเหลียงได้อบรมพวกเขาว่าพยายามอย่าไปรบกวนชาวบ้านมากนัก
ดังนั้นเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ก็ไปหอบฟืน ก่อไฟ ต้มน้ำร้อน หิ้วถังน้ำไปตักน้ำ
ไม่เพียงแต่จะเอาถังน้ำในห้องที่พักไปตักน้ำจนเต็ม ยังแย่งถังจากในมือพวกผู้หญิงไปช่วยตักน้ำจากบ่ออีกด้วย ช่วยหิ้วเข้าไปไว้ในบ้าน ช่วยเติมน้ำใส่อ่างในโรงอาหารส่วนรวมจนเต็ม
ทหารนายหนึ่งตักน้ำอุ่นใส่กะละมัง บอกให้เกิ่งเหลียงล้างหน้าแล้วยื่นสบู่กับผ้าเช็ดหน้าให้
เขาชี้สบู่พลางพูด “หัวหน้าดูสิ สบู่เป็นรูปกระบี่ ไม่รู้ไปซื้อมาจากไหน พอดมก็ได้กลิ่นหอมของนมด้วยนะ”
เกิ่งเหลียงยิ้มพลางถกแขนเสื้อขึ้น “พวกเขาน่าจะทำกันเอง”
“พวกเขายังทำของพวกนี้เป็นด้วยเหรอนี่”
นั่นสิ คนพวกนี้น่าสนใจจริงๆ
เกิ่งเหลียงล้างหน้าแล้วเปิดประตูออกไปข้างนอก
พอเจอทุกคน ไม่ว่าใครเขาก็จะยิ้มพร้อมพยักหน้าให้
เดินไปดูที่คอกม้าก่อน
แวบแรกที่เห็นคือเสี่ยวหง เขาลูบหัวเสี่ยวหง เกาหลังให้มัน จากนั้นไปตรวจดูม้าที่พวกเขาพามาด้วย
หันตัวเดินออกจากคอกม้าก็เห็นหนิวจั่งกุ้ยกำลังรีดนมวัว
เกิ่งเหลียงถามหนิวจั่งกุ้ยประหนึ่งชวนคุยเล่น “วันหนึ่งท่านรีดนมได้กี่ถังหรือ เอาไปทำขนมหมดเลยรึเปล่า”
หนิวจั่งกุ้ยเป็นคนซื่อ เขาบอกว่า “ในวันหนึ่งรีดได้เยอะอยู่ เพราะเป็นช่วงที่วัวพวกนี้ผลิตนมได้เยอะที่สุด…
…ตอนนี้ห้องทำขนมไม่ได้ใช้เยอะขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีเหลือ…
…เพราะคุณหนูเล็กของบ้านข้า เอ่อ ก็คือลูกสาวคนเดียวของซ่งฝูเซิง นางยังต้องเอาไปทำเนย ชีส แล้วก็นมที่มีรสชาติเปรี้ยวชนิดหนึ่ง ของพวกนั้นต้องพักนมไว้ล่วงหน้านานทีเดียว เก็บสะสมมันไปทุกวันแล้วถึงจะทำออกมาได้…
…อย่างของที่เรียกว่าเนย ใช้นมถังใหญ่หนึ่งถัง สุดท้ายได้เนยออกมาชิ้นเล็กแค่นี้เอง…
…ดังนั้น คนอื่นรู้แค่ว่าขนมร้านย่าหม่าขายแพงมาก แต่กลับไม่รู้ถึงความยุ่งยากและก็ใช้แต่วัตถุดิบชั้นดีทั้งนั้น น้ำตาลนั่น ท่านลุงก็ต้องไปซื้อน้ำตาลทรายแบบที่ดีที่สุดมาใช้”
เกิ่งเหลียงถาม “อะไรคือชีส อะไรคือเนย”
หนิวจั่งกุ้ยหัวเราะ “ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คุณหนูเล็กคิดค้นออกมาเอง ก่อนหน้านี้ก็เสียนมไปไม่น้อย สูญเปล่าหมด นางทำไม่สำเร็จก็ให้พวกเราเอาไปนึ่งปัวปัวกิน เอาให้เด็กๆ กิน”
“อ๋า” เกิ่งเหลียงพยักหน้า “ทำไมพูดว่านางเป็นลูกคนเดียวล่ะ แล้วเด็กที่แม่ทัพลู่ให้ลูกม้านั่นล่ะ”
หนิวจั่งกุ้ยพูด “นั่นเป็นคุณชายน้อยของบ้านเรา แซ่เฉียน มาอยู่ตอนลี้ภัย เหลือเขาแค่คนเดียว นั่นก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน อันที่จริงท่านลุงของบ้านเราก็คือลุงของเขา แต่เลี้ยงเหมือนลูกตัวเองมาตลอด เมื่อก่อนข้าเองก็เป็นบ่าวรับใช้สกุลเฉียน”
เกิ่งเหลียงเข้าใจแล้ว
เหนือความคาดหมายนิดหน่อย
เขามองไม่ออกเลยสักนิดว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ
เกิ่งเหลียงเดินไปเรื่อยๆ อยากไปดูที่หลังบ้าน
ระหว่างทางผ่านโรงเพาะปลูกพริก
เกิ่งเหลียงมองโรงเรือนขนาดใหญ่ที่มีรั้วไม้เหมือนฉากกั้นล้อมไว้ ลงกลอนใส่กุญแจ บนหลังคามีเสื่อฟางกับผ้าห่มคลุมหลายชั้น ปล่องควันขนาดใหญ่ที่อยู่ริมกำแพงมีควันลอยออกมา ซึ่งก็แสดงว่าข้างในก่อไฟ กำลังทำกำแพงไฟ แต่ประตูที่หุ้มด้วยผ้าห่มเก่าๆ กลับปิดสนิท
เกิ่งเหลียงหัวเราะ
คิดในใจ ขาดก็แค่บอกคนอื่นว่าที่นี่มีของล้ำค่าเท่านั้น และนี่ก็เท่ากับเป็นการบอกว่า ห้ามเข้านะ ต่อให้ใครมาก็ตาม คนนอกยิ่งห้ามเข้าโดยพลการ
เขาเดาว่าสิ่งที่ปลูกอยู่ในนี้คือพริกที่ท่านแม่ทัพพูดถึง
ถูกต้อง เขารู้เรื่องพริกตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
หากจะบอกว่าเขาเป็นรองผู้บัญชาการค่ายเสินจี ไม่สู้พูดว่าเขาเป็นทหารใกล้ชิดของทหารสกุลลู่ ติดตามลู่พั่นมาตลอด
ครั้งนี้ที่แม่ทัพส่งเขามา ประการแรกคือเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน ประการสองคือให้เขาพาทหารมาล่าหมาป่า เสือ เสือดาว หมี เป็นต้น สรุปก็คือพยายามลดระดับความอันตรายบนเขา
เพราะแม่ทัพอยากเพาะปลูกพริกในพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่พื้นที่โดยรอบนั้นมีอยู่อย่างจำกัด
รวมถึงเรือกสวนไร่นาของหมู่บ้านเหรินจยากับหมู่บ้านใกล้ๆ ก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน
แม่ทัพมาตรวจดูแล้วหนึ่งรอบ คนพวกนี้มีการลงบันทึกสำมะโนครัวอยู่ที่สิบห้าครอบครัว จัดสรรที่ไปแล้วหนึ่งร้อยยี่สิบสี่หมู่[1] ส่วนพื้นที่รกร้างโดยรอบมีอยู่เท่าไรน่ะหรือ ถัดไปข้างหน้าอีกหน่อยก็อยู่ในความดูแลของหมู่บ้านอื่น แต่ว่าพื้นที่รกร้างรอบเขายังมีอีกห้าร้อยหมู่
แม่ทัพอยากแบ่งพื้นที่รกร้างพวกนี้ให้คนกลุ่มนี้ปลูกพริก แต่พอคำนวณแล้วก็ยังไม่พอ
ด้วยเหตุนี้ จึงอยากให้เขาล่าสัตว์ดุร้ายให้มากหน่อย พยายามอย่าให้คนพวกนี้ขึ้นเขาไปแล้วมีอันตราย
เมื่อถึงฤดูร้อนปีหน้า ก็ให้คนพวกนี้ปลูกพริกจำนวนมากที่เชิงเขากับไหล่เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีลำธารในเขา ใช้พื้นที่เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์
อันที่จริงนี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่เขาพาคนมา
เกิ่งเหลียงเดินเตร็ดเตร่ไปที่หลังบ้าน
เขาเดาว่า ดูท่า นี่ก็คือห้องทำขนม
ซึ่งก็คือห้องที่ซ่งฝูเซิงเป็นฝ่ายแนะนำเขาก่อน กิจการร้านขนมที่ร่วมกันทำกับคุณหนูสามพี่สาวของแม่ทัพ
แยกเป็นหลายห้อง มีแสงสะท้อนหน้าต่างกระดาษ ดูจากเงาก็รู้ได้ว่าคนข้างในกำลังยุ่งมาก
พวกคนที่กำลังทำงานวุ่นๆ อยู่นี้ น่าจะตื่นเช้ากว่าพวกเขา
ได้ยินว่าคนที่ออกไปค้าขายข้างนอกเป็นเหล่าหญิงชรา
หญิงชราเหล่านั้นยิ่งต้องออกไปกันตั้งแต่ก่อนไก่ขัน เข็นขนมที่ทำสดใหม่ทุกวันไปขายในแต่ละที่
เกวียนที่ใช้ขนของมีเพียงสองเล่ม ซึ่งทั้งสองเล่มล้วนไปที่เมืองเฟิ่งเทียนหมด อำเภออื่นต้องใช้มือเข็นรถไป
เกิ่งเหลียงคิดในใจ
หวังว่าครั้งนี้จะล่าสัตว์ได้มากหน่อย อย่างน้อยหนังสัตว์ก็ทำเงินได้บ้าง
เมื่อถึงเวลานั้น เอาสัตว์ที่ล่ามาได้โยนให้คนพวกนี้ไปขายแลกเป็นเงิน จะได้มีวัวสีน้ำตาลมากหน่อย
ท่านแม่ทัพลู่ไม่เคยทำสวนจึงไม่รู้ว่าถ้าในบ้านมีวัวสีน้ำตาล ที่ไม่เพียงแต่ปกติจะใช้ขนสินค้าได้ แต่พอถึงเวลาที่ต้องปลูกพืชในพื้นที่เจ็ดแปดร้อยหมู่ก็จำเป็นต้องใช้แรงงานสัตว์จำนวนมาก อาศัยแค่แรงงานคนปลูกพืชหลายร้อยไร่ทำไม่ไหว ไม่มีทางทัน
เกิ่งเหลียงไม่ได้ไปหยุดใกล้ๆ ห้องทำขนม
เขาเองก็พอเดาได้ว่าคนที่ทำงานอยู่ในนั้นน่าจะเป็นบรรดาสตรีทั้งหลาย
เขาไม่เห็นพวกผู้หญิงสาวๆ ตั้งแต่เมื่อวาน น่าจะตั้งใจหลบหน้า ถ้าเช่นนั้นเขาก็ยิ่งต้องระวังแล้ว
ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงอยู่ในแปลงเพาะปลูกใต้ดิน พอได้ยินเสียงก็ยังงงอยู่ กุกกักๆ ใครน่ะ ทำอะไรอยู่ตรงทางเข้า
พอเปิดประตูออกไปดู “ไอ๊หยา นี่มันใต้เท้าไม่ใช่เหรอ”
เกิ่งเหลียงยิ้มให้ หยิบไม้กวาดมากวาดพลางพูด “เรียกข้าว่ารองผู้บัญชาการก็พอ”
ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงคิดในใจ เรียกว่าอะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ เจ้ามาช่วยข้ากวาดหิมะทำไม “คือว่านะใต้เท้า ท่านมาทำงานแบบนี้ได้ยังไง”
“ไม่เป็นไร ข้าทำเอง ไม่กี่ทีก็เสร็จแล้ว พวกท่านเข้าๆ ออกๆ บันไดทางลงมีแต่หิมะจะลื่นล้มได้ง่าย”
ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงหลั่งน้ำตาอยู่ในใจ
ไอ๊หยา ข้าจงใจไงเล่า
จะกวาดหิมะของข้าออกไปทำไม
สองวันมานี้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ หัวหน้าตระกูลเหรินกับคนในหมู่บ้านมากันบ่อย พวกเราไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าปลูกกระเทียมเหลืองไว้ในแปลงเพาะปลูกใต้ดิน
ถึงได้ปล่อยหิมะให้กลบบันได ทำเป็นลวงตาว่าไม่มีใครเดิน แต่เจ้ากวาดออกหมด เดี๋ยวข้าก็ต้องเอามากลบใหม่
หาหิมะก็ไม่ใช่จะง่ายๆ ด้วย
ทหารพวกนี้ก็ขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน กวาดหิมะในลานบ้านเสียสะอาดเกลี้ยง
ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง เอาเถอะ อีกเดี๋ยวเอาตระกร้าออกไปโกยหิมะข้างนอกกลับมาแล้วกัน
————————————-
[1] หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน โดยหนึ่งหมู่ประมาณ 0.42 ไร่