คนจำนวนร้อยกว่าคนเรียงแถวเข้าไปในห้องที่ท่านลุงซ่งเรียกว่า “ห้องประชุม”
เกิ่งเหลียงกับพวกทหารเหมือนได้เปิดโลกกว้าง นี่ยังสามารถกินอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่า มีหม้อใหญ่วางเรียงกันเป็นแถว โดยมีหญิงที่แต่งงานแล้วยืนอยู่ข้างหลังหม้อ
พวกผู้หญิงอายุค่อนข้างมาก
ถ้าเป็นเด็กสาวอย่างเช่นซ่งฝูหลิง หากหลบได้ก็ให้หลบไป
ส่วนใหญ่เด็กพวกนั้นจะเดินไปมาอยู่ทางเรือนด้านข้าง ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องทำเค้ก โดยวาง แผนว่าสองสามวันนี้จะไม่ออกมาปรากฏตัว
เพราะทหารที่มามีอายุรุ่นๆ ประมาณยี่สิบปี
ซ่งฝูหลิงคิดในใจ เรื่องจะหลบหลีกหรือไม่นั้น สำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะพวกนางรู้ตัวเองดี พวกนางเป็นแค่สาวชาวบ้านในชนบท
แต่เมื่อได้ยินหมี่โซ่วบอกว่า พี่สาว ถึงแม้คนพวกนั้นจะสู้ท่านพี่แม่ทัพไม่ได้ แต่ก็รูปร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อผ้าดูดี ดูสง่าผ่าเผย
มนุษย์นั้นชอบความสวยงามอยู่แล้ว
เมื่อนางได้ยินว่าคนที่มามีจำนวนร้อยกว่าคน คงจะต้องมีคนน่าตาหล่อเหลาในนั้นบ้างสิ
ถ้านางเผลอแอบมองด้วยความสงสัยแล้วถูกคนพบเจอ คงจะทำให้พ่อของนางเสียหน้า
นางเป็นคนชอบมองผู้ชายหน้าตาดี มันเป็นความรู้สึกอัตโนมัติที่ออกมาจากภายในใจ ใครไปสามารถบังคับสายตาได้? สู้ไม่มองเสียดีกว่า ไม่มองก็ไม่ต้องกระวนกระวายใจ
นอกจากนี้ยังต้องคอยดูแลพวกพี่สาว ไม่ให้พบเจอพวกพี่ๆ ทหารแล้วหวั่นไหวใจสะท้าน ถ้าพวกเขาไปแล้วมายังมัวคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มองนิดมองหน่อยไม่เป็นไร แต่อย่านำไปใส่ใจจริงจัง
กลับเข้าสู่หัวข้อหลัก
หม้อใหญ่เรียงรายเป็นแถว
ท่านลุงซ่งกระตือรือร้นนำจานไม้ยัดใส่มือเกิ่งเหลียง “ท่านรองผู้บัญชาการเกิ่ง ท่านนำจานนี้ตักข้าวเถอะ”
“ไม่มีชาม?”
“เจ้าตักไปเถอะ เชื่อข้า”
หน้าหม้อใหญ่ใบแรก
ลูกสะใภ้คนโตของท่านยายซ่งเอ้อร์ เขาพยักหน้าให้กับเกิ่งเหลียงก่อนถึงรับจานไม้มาและเปิดฝาหม้อใหญ่ กลิ่นหอมก็พุ่งเข้ามาในจมูกทันที
พวกทหารแอบกลืนน้ำลายกันหมดแล้ว
พวกเขาเคยได้กลิ่นหอมเหล่านี้มาก่อน
อาหารหม้อแรกเป็น ไก่ตุ๋นเห็ด ไก่ถูกตุ๋นจนเปื่อย ตุ๋นเป็นเวลานาน เห็ดก็ส่งกลิ่นหอม ซึ่งถ้าไม่มีกลิ่นหอมของเห็ด กลิ่นของเนื้อสัตว์คงจะแรงกว่านี้
สิ่งสำคัญก็คือ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะมาถึงเมื่อไหร่ ถึงได้ต้องตุ๋นไก่ไว้ตลอดเวลา
นำช้อนตักกับข้าวลงในจานไม้ ลูกสะใภ้คนโตของท่านยายซ่งเอ้อร์ก็ทำท่าทางแสดงให้ดู “ใต้เท้า เชิญไปรอที่หน้าหม้อถัดไป”
หม้อใหญ่ใบถัดไปเป็นผักกาดดองผัดกับเนื้อสัตว์ ข้างหม้อมีซอสกระเทียมชามหนึ่ง
ลูกสะใภ้คนรองของท่านยายกัว “ใต้เท้า ท่านสามารถนำซอสกระเทียมใส่ลงในผักกาดดองผัดกับเนื้อสัตว์ แต่จะไม่ใส่ก็ได้นะ”
เกิ่งเหลียงพยักหน้า พยักหน้าเสร็จก็คิดถึงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เขาพูดขึ้น “พวกเจ้าก็นำจานมาตักข้าวกินด้วยเถอะ”
พวกทหารต่างรอคำนี้
ซ่งฝูเซิงรีบให้จานกับตะเกียบและยังไม่ลืมกำชับ “อยากกินกับข้าวอะไรก็ตักเยอะๆ เลยนะ ถ้าไม่พอกินสามารถกลับมาตักข้าวได้อีก จะต้องกินให้อิ่มๆ ล่ะ”
พวกทหารส่งยิ้มและทำการคารวะให้กับซ่งฝูเซิง แท้จริงแล้ว ชายหนุ่มพวกนี้อายุไม่มากนัก ออกสนามรบแล้วยังไง ก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ดี เจ้าลองดูสิ เมื่อได้ยินว่ากินข้าวได้ แต่ละคนก็มีสีหน้ายิ้มแย้มทันที ไม่น่าเกรงขามเหมือนตอนอยู่บนหลังม้า อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมาที่บ้านนี้กับตอนอยู่ต่อหน้าชาวบ้านไม่เหมือนกัน เพราะพวกเขาเป็น “คนคุ้นเคย” ไง
เกิ่งเหลียงเดินมาหน้าหม้อที่สาม ยังไม่ทันที่หญิงแต่งงานแล้วจะทักทายเขา เขาก็พูดขึ้นก่อน “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากมาก นี่เป็นกับข้าวอะไรรึ”
เมื่อฝาหม้อใหญ่ใบนี้เปิดออกมา ในหม้อมีซอสเต้าหู้
“อันนี้ดี ตักให้ข้ามากหน่อย”
หม้อที่สี่ไม่มีฝาปิดหม้อ เป็นเหลียงไช่[1] จำนวนมาก
โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว ไม่ค่อยมีวัตถุดิบประกอบอาหารอะไรมากนัก
อย่าว่าแต่ใส่พริกเลย ถ้าเด็ดอีกก็คงเหลือแต่ก้านแล้ว ซ่งฝูเซิงรู้สึกเสียดาย
ดังนั้นซ่งฝูเซิงจึงให้เฉียนเพ่ยอิงสอนหญิงที่แต่งงานแล้วพวกนี้ ทำเหมือนกับเหลียงไช่ของมณฑลซานตง
นำผักกาดขาวมาหั่นเป็นเส้นเล็กๆ แครอทหั่นเป็นแผ่นๆ และครอบครัวของพวกป้าอ้วนซื้อเต้าหู้แห้งมาซอยเป็นเส้นๆ ใช้เกลือ น้ำมันฮวาเจียว น้ำส้มสายชู น้ำตาล มาผสมกันและคลุกเคล้าให้เข้ากัน ข้างบนโรยด้วยหมูสับ เมื่อชิมก็ให้ออกรสชาติเปรี้ยวหน่อยๆ กินได้ไม่เบื่อ
เหลียงไช่นี้ เกิ่งเหลียงเพิ่งนั่งกินไปสองคำก็รีบลุกขึ้นไปตักเพิ่ม ไม่รอแล้ว ถ้ารอก็คงไม่มีเหลือ
เกิ่งเหลียงประหลาดใจมาก คนพวกนี้ทำอาหารอร่อยจริงๆ อร่อยมาก อร่อยกว่าที่กินในค่ายเสียอีก
พวกทหารนั่งบนเก้าอี้ยาวตามโต๊ะยาว ในห้องเต็มไปด้วยเสียงกินข้าว
ท่านลุงซ่งคีบยาสูบจีน ส่งยิ้มให้พวกเขา
คิดในใจ อาหารของพวกเราคงไม่หมดบ้านใช่ไหม?
เขาเหลือบมองซ่งฝูเซิง วิธีนี้ดีจริงๆ
แต่ละคนจะมีจานของตนเอง ทิ้งระยะห่างระหว่างหม้อกับข้าวสี่อย่างและข้าวสวย เพื่อไม่ให้เดินสวนกันไปมา เมื่อต้องการตักข้าวหรืออาหารก็เดินตรงยาวไป
เกิ่งเหลียงกินเสร็จ เขาก็ยกมือเช็ดปากและสอบถามลุงซ่ง “พวกเจ้ากินแล้วหรือยัง?”
ท่านลุงซ่ง “พวกเจ้ากินเถอะ พอหรือไม่? เพิ่มข้าวสิ”
เกิ่งเหลียงรีบเข้าห้าม เขากินข้าวสี่รอบแล้ว “มีชามอีกหรือไม่? ข้าจะได้ไปล้างจาน พวกเจ้าจะได้กินบ้าง” และพูดกับเหล่าทหาร “กินเสร็จแล้ว ทั้งหมดต่างคนต่างล้างจานของตัวด้วย”
พวกทหารที่กำลังกินข้าว “อืมๆ”
เกิ่งเหลียงไม่ทระนงตัว เหล่าทหารก็ยิ่งมีท่าทางเหมือนเด็กดีว่านอนสอนง่าย ตั้งแต่เดินทางมาจากเมืองเฟิ่งเทียนก็ไม่มีท่าทีดูถูกชาวบ้าน ท่านลุงซ่งก็ยิ่งชอบพูดความจริง
“ไม่ต้อง ข้ากับฝูเซิงไม่กิน รอกินที่เหลือจากที่พวกเจ้ากำลังกินอยู่นะ…
…ไม่รู้ว่าพวกเจ้ามา ถ้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนของท่านแม่ทัพก็คงนึ่งจันโต้วเปา[2]ไว้ให้แล้ว…
…ไอ้นั่นทำยุ่งยากหน่อย พวกข้าคิดว่าคนมาเยอะขนาดนี้ กินอะไรก็กินเหมือนกันดีกว่า พวกข้าจึงไม่ได้นึ่งไว้…
…รอพรุ่งนี้ก่อน ตื่นแต่เช้ามานึ่งไว้แล้วค่อยทอดปาท่องโก๋ให้พวกเจ้าด้วย”
“อย่ายุ่งยากเลย พวกเราอยู่ดูสถานการณ์สองสามวันก็ไปแล้ว ถ้ายุ่งยากมากพวกเราจะรู้สึกไม่ดี”
ถ้าซ่งฝูหลิงได้ยินคำพูดนี้ นางจะต้องรีบโบกมือและพูดขึ้นว่า ไม่เป็นการรบกวนเลย
เพราะนางก็จะได้กินด้วย เงินที่ใช้จ่ายก็ไม่ใช่เงินของพวกเขา
หมู่บ้านควักเงินซื้อหมู ไก่ เห็ด เต้าหู้ น้ำมัน เกลือ
สรุปแล้ว ท่านพ่อท่านแม่คำนวณมาแล้วว่า ทำกับข้าวสี่อย่างกับน้ำซุปหนึ่งหม้อก็ยังเหลือ พวกเขาอาจจะยุ่งยากหน่อยเพราะต้องทำเอง
อาหารการกินดีขึ้นมาก ซ่งฝูหลิงไม่ให้แม่ของนางเปิดเตาทำอาหารต่างหากแล้ว นางวางแผนไว้ว่าถ้าคนพวกนี้ยังอยู่ นางจะกินอาหารรวมกับทุกคน นางถึงหวังว่าพวกพี่ทหารจะพำนักอยู่ที่นี่นานหลายวันหน่อย
ตอนนี้ซ่งฝูหลิงถือกะละมัง ใช่แล้ว คนอื่นใช้ชามกินข้าว แต่นางใช้กะละมัง
นางนำน้ำซุปไก่ตุ๋นเห็ดมาคลุกกับข้าวสวยและก็ร้องเพลงไปด้วย “หอมจริง พี่ทหาร”
นางถูกเฉียนเพ่ยอิงตบหลังไปหนึ่งที
เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาใส่ลูกสาว ส่งสายตาให้นางมองหมี่โซ่ว
คิดในใจ เด็กคนนี้ ไม่ระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย ร้องอะไรออกมาต่อหน้าหมี่โซ่วโดยไม่คิด…
…หมี่โซ่วอายุยังน้อย แต่มีความจำดี…
…ถ้าเผลอร้องออกมาแบบนี้ เพียงครู่เดียวเขาก็สามารถจดจำได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะจำไปร้องอีกเมื่อไหร่…
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าหมี่โซ่วพบเจอคุณชายลู่ อ้าปากร้องออกมาว่า “หอมจริง พี่ทหาร”
ถ้าคุณชายลู่ถามด้วยความสงสัย เจ้าไปได้ยินมาจากไหน พี่สาวเป็นคนร้อง
เฮ้อ เขาจะคิดอย่างไร มีลูกสาวหนึ่งคนในบ้านคิดถึงพี่ทหาร?
“ท่านแม่ ท่านตีข้าทำไม? ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าร้องว่า หอม หอมจริง พี่ทหาร”
หมี่โซ่วถือชามข้าว กระพริบตา
เขาหัวเราะและร้องตามพี่สาว “หอมสักฟอดสิ พี่ทหาร”
“แค่กๆ”
“แค่ก สมน้ำหน้า” เฉียนเพ่ยอิงหัวเราะ
———————————————–
[1] เหลียงไช่ (凉菜) เป็นอาหารที่นำมาคลุกให้เข้ากัน คล้ายกับการยำ
[2] จันโต้วเปา(粘豆包) เป็นอาหารที่มีชื่อของตงเป่ย มักนำมานึ่งทำกินในช่วงฤดูหนาว มีลักษณะเป็นกลมๆ มีไส้อยู่ข้างใน