อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่รู้สึกว่าพวกเขาเก่งกาจมากเลย
พวกชาวบ้านรู้คำศัพท์น้อย ไม่เคยเห็นโลกภายนอก เมื่อพูดชื่นชมคน ก็พูดได้แต่เก่งกาจมาก
แม้แต่หัวหน้าเริ่นกับซ่งฝูเซิงก็รู้สึกแปลกใจ
หัวหน้าเริ่นกับซ่งฝูเซิงสบตากัน
คนมาทีหลังส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกัน
พวกป้าอ้วนพูดไว้ไม่มีผิด พวกทหารม้าเหล่านี้หน้าตาหล่อเหลา
การแต่งกายก็เป็นสิ่งสำคัญ และยังจัดเป็นระเบียบแบบเดียวกัน
สวมเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย
ขี่ม้าศึกเหมือนกัน
นั่งอยู่บนหลังม้าที่คาดคะเนความสูงไม่ได้ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าหัวของพวกเขามีขนาดไล่เลี่ยกัน
รูปร่างดูสูงใหญ่สง่างาม
แต่ละคนน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ
หัวหน้าเริ่นใจสั่นด้วยความตื่นเต้น
ส่งขบวนจับหมาป่ามาจากเมืองเฟิ่งเทียน ก็นับเป็นการให้เกียรติพวกเขามากแล้ว
คิดไม่ถึงว่ากลุ่มขบวนที่มาจะเป็นเช่นนี้
เป็นทหารจริงๆ ด้วย
แค่มองเห็นจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นระเบียบ เรียบร้อย มีวินัย
ทหารที่นั่งอยู่บนม้าหลังตั้งตรง ไม่เหมือนกับพวกชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
นี่คงไม่ใช่กลุ่มทหารที่ผ่านการทำศึกมาหรอกนะ?
ซ่งฝูเซิงก็บอกกับตนเองในใจ
ทำตัวตามสบายหน่อย ไม่ต้องสนใจว่าเป็นทหารอะไรมา ไม่ต้องตื่นเต้น…
…มีอะไรน่าตื่นเต้น?…
…พวกเรายุคปัจจุบัน มีเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ร้องว่าอย่างไรนะ
“พวกเราเป็นทหาร บอกไม่เหมือนกัน แท้จริงก็เหมือนกัน…
…เป็นช่วงวัยหนุ่มที่มีเลือดนักสู้…
…บอกไม่เหมือนกัน แท้จริงก็เหมือนกัน ทิ้งรอยเท้าไว้บนยอดเขาลำห้วยเหมือนกัน”
ลองฟังสิ คำที่ใช้ช่างดูเข้มแข็งองอาจ
สรุปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในยุคสมัยไหน เจ้าก็เป็นทหารเหมือนกัน มีภารกิจเดียวกัน คือทำหน้าที่เพื่อปกป้องประเทศชาติ
ซ่งฝูเซิงปลอบใจตนเองเสร็จก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจนสะดุดตา
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหัวหน้าเริ่นที่อายุมากยืนอยู่ด้านหน้า สีหน้าของซ่งฝูเซิง นับว่าตื่นตระหนกน้อยกว่ามาก เขาดูสงบขึ้น สะท้อนออกมาทางบุคลิกภาพ สามารถสังเกตเห็นได้ชัด
เกิ่งเหลียง รองผู้บัญชาการคิด อืม คนนั้นน่าจะเป็นซ่งฝูเซิงที่ชานเจียง[1]เอ่ยถึง
“หัวหน้า คนในหมู่บ้านนี้มาต้อนรับพวกเราใช่ไหม?”
“น่าจะใช่”
เสียงประทัดดังกึกก้อง
ในที่สุดกลุ่มขบวนคนร้อยคนก็หยุดลง
เมื่อมาใกล้ๆ ก็มองเห็นชาวบ้านออกมาต้อนรับและมีรถเข็นจอดเรียงอยู่สองแถว
ด้านบนวางหมูอ้วนตัวใหญ่ มีข้าวสาร น้ำมันและซอสวางไว้ แค่มองก็รู้ว่าตั้งใจเตรียมไว้ให้พวกเขา
เดิมทีเกิ่งเหลียงคิดจะเข้าหมู่บ้านและเรียกซ่งฝูเซิงให้เป็นคนนําทาง หลังจากนั้นก็เคลื่อนขบวนจากไป
เขาไม่มีความอดทนมาคุยเรื่องสัพเพเหระกับหลี่เจิ้งของท้องถิ่น
ต้องทราบว่าเขาเป็นลูกน้องของลู่พั่น
นิสัยของลู่พั่นคือ เขาไม่ชอบพูดมาก เกลียดคนที่ใช้คำพูดวกไปวนมา เขาคิดว่านั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า นำเวลานั้นไปตีเหล็กยังดีกว่าการมาฟังคนพูดพล่าม
เกิ่งเหลียงจะเป็นคนพูดมากได้อย่างไร?
แต่เมื่อเห็นสิ่งของพวกนี้ และเห็นดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่เขา เขาจึงจำเป็นต้องลงมาจากหลังม้า
เกิ่งเหลียงลงจากหลังม้า เหล่าทหารที่อยู่ข้างหลังที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็ลงจากหลังม้าตามไปด้วย
หัวหน้าเริ่นรีบวิ่งไปข้างหน้า เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดปากพูด
เกิ่งเหลียงมองชาวบ้าน และโบกมือเพื่อขัดจังหวะ
พวกชาวบ้านคงจะรอพวกเขาอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วยามแล้ว รีบพูดให้จบเร็วๆ และรีบให้พวกเขากลับไป จะได้ไม่ต้องยืนหนาวอีก
“เลือกพูดเข้าเนื้อหาหลักหน่อยนะ”
หัวหน้าเริ่นรีบสูดลมหายใจ เมื่อครู่ที่กำลังรวบรวมความกล้าจะพูดออกมาเลยชะงักไป
ต้องเริ่มเรียบเรียงคำพูดที่จะพูดขึ้นมาใหม่ ที่เตรียมบทพูดมาก่อนหน้านี้คงใช้ไม่ได้แล้ว
และต้องรวบรวมความกล้าใหม่ เขาพูดด้วยความจริงใจ
“ขอรับ ใต้เท้า ข้าจะพูดสั้นๆ…
…ชาวบ้านในหมู่บ้านข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะหมาป่า…
…วันนี้กองทหารของฮ่องเต้ออกเดินทางไกลมาถึงที่นี่…
…มากำจัดอุปสรรคของที่นี่ให้หมดไป…
…ฮ่องเต้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก พวกเราซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง…
…ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนชาวบ้านทั้งหมด เตรียมสิ่งของเป็นน้ำใจเล็กน้อยให้กับพวกท่าน ใต้เท้าโปรดรับไว้ด้วย”
ตอนหัวหน้าเริ่นกล่าวคำพวกนี้
เกาถูฮู่ที่อยู่ในขบวนชาวบ้านก็คิดในใจ
เขาให้ท่านพูดสั้นๆ นี่เรียกว่าสั้นตรงไหนกัน? พูดน้ำท่วมทุ่งขนาดนี้…
…ท่านก็พูดไปสิ ของพวกนี้เรามอบให้พวกท่าน ใต้เท้ารีบรับและรีบเข้าที่พักไปได้แล้ว มีเรื่องอะไร ท่านก็บอกมาได้
ท่านลุงซ่งที่อยู่ในขบวนชาวบ้านก็คิดในใจ
เดินแค่กี่ก้าวเอง ยังเรียกว่าเดินทางไกล?…
…พูดพล่ามจริง ใช้คำฟุ่มเฟือย…
…ถ้าเป็นเช่นที่พูด พวกยายเฒ่าที่ทำงานอยู่ห้องอบขนมของพวกเขาก็คงออกเดินทางไกลทุกวันเหมือนกันสินะ…
…หรือนี่คือสิ่งที่ซ่งฝูเซิงบอกไว้ว่า เป็นปัญหาระดับของทักษะความสามารถ?…
….เขาก็เคยทำหน้าที่เป็นหลี่เจิ้งเหมือนกัน แต่คงพูดแบบนี้ออกมาไม่ได้ ให้เขาแต่งคำพูดก็ไม่สามารถแต่งได้ ช่างน่ากระดากอายนัก….
ซ่งฝูกุ้ยที่อยู่ในขบวนชาวบ้านแอบเหล่มองพวกท่านยายไจ๋
สองครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวโดนหมาป่ากัดตาย พวกเขาต่างก็เช็ดน้ำตา
ท่านยายไจ๋เมื่อได้ยินคำว่า “หมาป่า” ก็ร้องไห้อย่างหนัก
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ
ใต้เท้า ท่านลองมองดูทางนี้…
…นี่ถึงเรียกว่า อารมณ์ความรู้สึกจริงๆ…
…ใต้เท้า ท่านรู้ไหมว่าพวกนางกำลังร้องไห้เพราะอะไร?
พวกนางจะต้องด่าท่านในใจแน่ ไอ้หลานชาย ทำไมถึงเพิ่งมา!
ขบวนชาวบ้านที่หัวหน้าเริ่นนำมา พวกเขาเมื่อเห็นเกิ่งเหลียงกวาดสายตามองก็รู้สึกประหม่า
แต่ซ่งฝูเซิงพาเก้าชั่วคนมา แต่ละคนก็กำลังระบายความในใจกันใหญ่ แต่เมื่อพบว่าเกิ่งเหลียงมองมาที่พวกเขา พวกเขาก็ส่งยิ้มให้
“ซ่งฝูเซิง?”
“ขอรับ ข้าน้อยอยู่นี่”
“รบกวนช่วยนำทางหน่อย”
ก่อนเกิ่งเหลียงจะขึ้นหลังม้า เขาก็พยักหน้าให้หัวหน้าเริ่น “ลำบากแล้ว รับของแล้ว พวกชาวบ้านก็แยกย้ายกันเถอะ”
——
สายตาซ่งจินเป่าเป็นประกาย เขาตะโกนขึ้นมา “มาแล้ว มาแล้ว ข้ามแม่น้ำมาแล้ว!”
เกิ่งเหลียงไม่คาดคิดว่า ทางแม่น้ำฝั่งนี้จะมีขบวนต้อนรับเล็กๆ
มีกลุ่มเด็กๆ ถือดอกไม้กระดาษสีแดงด้วยสองมือเพื่อมาต้อนรับพวกเขา
พวกทหารต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงอารมณ์อะไรออกมา พวกเขาจึงรับดอกไม้จากเด็กๆ และกล่าวขอบคุณ
เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นบ้านว่างหลายหลังแขวนธง บนธงมีอักษรสีแดงเขียนว่า ทหารกับชาวบ้านมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสัมพันธ์แนบแน่น
ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอบอุ่นใจก็คงเป็นเรื่องโกหก
ตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมาก็มีเสียงประทัดดังขึ้น นั่นก็เกินคาดแล้ว
ก่อนหน้านั้น พวกเขาอยากจับหมาป่า ชานเจียงบอกแล้วว่าถือว่าเป็นการให้พวกเขาขึ้นเขามาออกกำลังกายและเป็นการพักผ่อนไปในตัว จะไปพักผ่อนที่ไหนก็ไม่แตกต่างกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าชาวบ้านในหมู่บ้านจะฝากความหวังไว้กับพวกเราเช่นนี้ ดูกระตือรือร้นมาก
ซ่งฝูเซิงเห็นเกิ่งเหลียงมอง “อักษรที่อยู่บนธง” นั้น แล้วมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาก็หัวเราะในใจ
เมื่อครู่ตรงถนน เขาใช้รูปแบบทหาร วิธีนี้ฝึกฝนจนชำนาญมาก รู้สึกตื้นตันใจเลยสินะ
เกิ่งเหลียงส่งสัญญาณให้พวกลูกน้องช่วยชาวบ้านขนของ ส่งสัญลักษณ์มือพลางพูดกับท่านลุงซ่งกับซ่งฝูเซิงว่า “พวกเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว”
ท่านลุงซ่งพูดขึ้น “ท่านเกรงใจไปแล้ว วันนี้กองทหารของฮ่องเต้ออกเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ชาวบ้านในหมู่บ้านข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะหมาป่า พวกเรารอคอยพวกท่านมา เมื่อท่านมาบนเขาจะต้องขจัดอุปสรรคให้พวกเราได้อย่างแน่นอน ฮ่องเต้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก พวกเราซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”
เกิ่งเหลียง อืม คำพูดนี้ทำไมถึงคุ้นหูจัง?
ซ่งฝูเซิงก็หัวเราะ “ท่านลุง ท่านทำตัวตามสบายเถอะ ท่านรองผู้บัญชาการยังต้องพำนักอยู่ที่นี่อีกหลายวันนะ พวกเราควรทำอะไรก็ทำตามนั้น มิเช่นนั้นจะทำให้ใต้เท้าอึดอัดใจ ท่านพูดธรรมดาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบลุงหลี่เจิ้ง”
เกิ่งเหลียงกำมัดหัวเราะ “ไม่ต้องตื่นเต้น พูดไปแล้ว พวกเราก็ถือว่าเป็นคนกันเอง”
“คนกันเอง?”
“พวกเราเป็นชานเจียง อ้อ ท่านแม่ทัพลู่ส่งมา”
“แม่ทัพ แม่ทัพลู่พั่น?”
ท่านลุงซ่งเอามือตบขา น่าจะบอกมาก่อน
“โอ้ ถ้างั้นก็เป็นคนกันเองสิ…
…เดิมทีพวกข้าคิดแต่เพียงว่าต้องเตรียมการต้อนรับอย่างดี ไม่ให้ท่านแม่ทัพลู่ต้องเสียหน้า ถึงเตรียมของพวกนี้กับพวกชาวบ้าน…
…ไม่คาดคิดว่า พวกท่านจะเป็นทหารที่ท่านแม่ทัพส่งมา…
…ถ้าพวกข้ารู้มาก่อนหน้านี้ ก็คงเตรียมสิ่งของได้ดีกว่านี้…
…เริ่มกินข้าว กินข้าวกันได้แล้ว!”
ซ่งฝูเซิงเอามือทาบหน้าผาก ท่านลุง ไม่ให้ท่านพูดสุภาพจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้บอกให้ท่านพูดโพล่งออกมาแบบนี้สักหน่อย
——————————————————
[1] ชานเจียง(参将) เรียกทหารรักษาเขตชายแดน