เมื่อซ่งฝูเซิงมาบ้านหัวหน้าตระกูลเริ่น เขาก็ได้รับการต้อนรับจากทางครอบครัวนี้เป็นอย่างดี
มีการถามเขาว่ากินข้าวแล้วหรือยังและยังไปต้มน้ำชาให้
อย่าละเลยความสำคัญของประโยคนั้น เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง?
บ้านเรือนในชนบทช่วงสถานการณ์ที่มีข้าวปลาอาหารไม่อุดมสมบูรณ์ ถ้ามีคนเรียกให้กินข้าว นั่นแสดงว่าเขาไม่เห็นเจ้าเป็นคนอื่น
ยกน้ำชามาให้ยิ่งแล้วใหญ่
ในยุคโบราณ เป็นที่ทราบกันดีว่าใบชามีราคาแพง
เมื่อรินน้ำชาให้ก็เสมือนเป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
ซ่งฝูเซิงบอกเขา ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก แค่พูดคุยกันสักพักก็ไปแล้ว
เขากับหัวหน้าเริ่นอยู่ในห้องโถง ทั้งสองคนปิดประตูพูดคุยกัน
ซ่งฝูเซิงเล่าเรื่องราวที่พวกเขาประสบอย่างละเอียด และความยากลำบากของตนเอง
ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
คนพวกนั้นยังจะมาอยู่อาศัยในพื้นที่ของพวกเขา พวกเราก็ไม่รู้เหตุผล
อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้ภูเขา จะขึ้นเขาหรือลงเขาก็สะดวก
คาดว่าคงไม่อยากเข้าหมู่บ้านมารบกวนชาวบ้าน
หัวหน้าเริ่นพยักหน้ารับทราบแล้ว “หรือว่าพวกเจ้าจะขนของย้ายออกจากบ้าน? ข้าจะจัดหาสถานที่ให้กับพวกเจ้า”
ซ่งฝูเซิงส่ายหน้า “ไม่ปิดบังท่าน พวกข้าร่วมลงทุนเปิดร้านขายของว่างกับคนอื่น เตาก็อยู่ที่นั่น ต้องทำงานทุกวัน และยังมีพืชผักที่ปลูกอีก มีผักสดหายากชนิดหนึ่งที่ได้มาจากผู้ดีในเมืองมอบให้มา ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ทุกวัน ไม่สามารถละเลยได้”
หัวหน้าเริ่นยิ้มออกมา
ตาเฒ่าคนนี้ตั้งแต่กินหัวใจหมาป่าสดๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจโรคหัวใจเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะยามได้ยินเริ่นหลี่เจิ้ง (เริ่นกงซิ่น) ตาแก่สารเลวนั่นจะพ้นจากตำแหน่งแล้ว ซ่งฝูเซิงก็ปฏิเสธรับตำแหน่งหลี่เจิ้งและให้เขากลับมารับตำแหน่งเหมือนเดิม และยังใช้คำเปรียบเทียบ นำสิ่งของกลับสู่เจ้าของเดิม
นำสิ่งของกลับสู่เจ้าของเดิม คำนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจ สบายใจ
ในปีนั้นที่พ้นจากตำแหน่งหลี่เจิ้ง ก็เพราะเริ่นกงซิ่นมีผู้มีอำนาจหนุนหลังอยู่ เขาถึงถูกแย่งตำแหน่งไป สำหรับเขาแล้ว มันเป็นการประณามอย่างหนึ่ง
ตอนนี้เสมือนยกภูเขาออกจากอกไปแล้ว
ดังนั้นความคิดของหัวหน้าเริ่นในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่มีเพียงแค่ความจริงใจต่อซ่งฝูเซิง แต่เขามองซ่งฝูเซิงเป็นเสมือนลูกหลานของตน
“ข้ารู้ว่า พวกเจ้าอยู่ที่นั่นต้องได้รับความลำบากไม่น้อย…
…ต่อไปไม่ต้องคอยระวังข้า…
…และก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเรื่องอะไร ยังมีข้าอยู่ ข้าจะไม่ให้คนในหมู่บ้านสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเจ้า…
…ถ้ามีคนกล้าลองดี ตอนนั้นข้าก็คงดำรงตำแหน่งหลี่เจิ้งและยังเป็นหัวหน้าประจำตระกูล ข้าก็จะไม่ไว้หน้าใคร ขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านเหรินจยา”
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนมีความคาดหวังนะ?
หัวหน้าเริ่นคงไม่ได้คาดหวังว่าเริ่นกงซิ่นจะทำผิดพลาดแบบนี้หรอกนะ?
เริ่นกงซิ่นคงทำอะไรมากไม่ได้
ตอนนี้เขาทำได้แค่ทำร้ายลับหลังเท่านั้น
ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ดังนั้นพวกเราไม่สามารถย้ายออกไปได้ ตั้งแต่ฟ้าสางจนถึงพลบค่ำก็ต้องทำงานตลอด เมื่อเหนื่อยก็ล้มตัวลงนอน…
…หากข้ามสะพานมาอาศัยอยู่ที่นี่ เวลาไปบ้านใครก็ไม่สะดวก…
…ที่พักอาศัย ไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก
…ท่านลุงก็เคยอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน บ้านเก่าที่พวกท่านสร้างไว้ก็กว้างขวาง เตาที่อยู่ในห้องทิศตะวันตกและตะวันออกก็นำออกมาสร้างเชื่อมกันเรียบร้อยแล้ว ทำให้มีห้องว่างหลายห้อง…
เรื่องสำคัญคือ เรื่องกิน
…ท่านคงจะรู้ดีว่า พวกข้ายังทำอาหารร่วมกัน ได้รับเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์มาก็ไม่ได้แบ่งแยกกัน…
…มีคนจำนวนมากกินร่วมกัน ธรรมดาก็กินเพียงแค่อิ่มท้องเท่านั้น ไม่ถึงขั้นกินดีอยู่ดี”
คำพูดบางคำ ไม่ต้องบอกอย่างละเอียด
เริ่นโยวจินเป็นใคร ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะแล้ว
“ใช่แล้ว อย่าให้คนพวกนั้นกิน
…หมู่บ้านเหรินจยาของพวกเราก็ถือว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ จะเสียหน้ากับเรื่องพวกนี้ไม่ได้…
…ยังมีม้าอีก…
…ไม่รู้ว่าพวกเขานำม้ามากี่ตัว และคลุมครอบปากม้า…
…ตลอดจนเครื่องนอน…
…ข้าเคยได้ยินเพื่อนพูดถึงเรื่องนี้อยู่ ถ้ามีเมืองอยู่ด้านหน้า โดยทั่วไปจะมีผู้ดูแลท้องถิ่นนั้นคอยดูแลเสบียงให้…
…ครั้งนี้พวกเขาทําประโยชน์ให้กับหมู่บ้านของพวกเรา แน่นอนว่าต้องเป็นหมู่บ้านของพวกเรารับผิดชอบหน้าที่นี้”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าก็ได้ข่าวมา เมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้ก็เข้าหมู่บ้าน มุ่งตรงมาหาท่าน ให้ท่านช่วยชี้แนะหน่อย…
…นอกจากนี้ ข้ายังอยากให้ท่านลุงประกาศปลดตำแหน่งเริ่นกงซิ่น ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเพราะหมู่บ้านจะขาดหลี่เจิ้งไม่ได้…
…ครั้งนี้ที่พวกเขามา ก็จะเจอท่านที่รับตำแหน่งหลี่เจิ้งเพื่อทำงานใหญ่”
หัวหน้าเริ่นหรี่ตาครุ่นคิด
หลังจากซ่งฝูเซิงอธิบายเรื่องราวที่เขาพิจารณาอย่างดีแล้ว หัวหน้าเริ่นก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
คนในหมู่บ้านจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาจะขจัดเริ่นกงซิ่นเพื่อขึ้นเป็นหลี่เจิ้งคนใหม่ ก็จำเป็นต้องมีความสามารถมากกว่าเริ่นกงซิ่น
หัวหน้าเริ่นวางแผนซ่งฝูเซิงเดินจากไปแล้ว เขาก็จะเรียกญาติใกล้ชิดในตระกูลมารวมตัวประชุมกันก่อน
รอประกาศปลดจากตำแหน่งออกมา เขาก็จะเรียกประชุมคนในหมู่บ้านทั้งหมด
จะต้องทำให้เริ่นกงซิ่นมีสถานะเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาเข้ามาร่วมประชุม
ทำให้หัวหน้าข้างบนได้ทราบว่า เขาทำงานซื่อตรงกว่าเริ่นกงซิ่น ครั้งนี้ยอมแม้จะควักเงินของตนเองออกมาใช้
——
ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่หมา เขาถามลูกสะใภ้สามของหัวหน้าเริ่น “เจ้าคนเดียวสามารถเอามันอยู่ไหม?”
นี่ถ้าเป็นแม่นางคนอื่นก็คงถลึงตาใส่แล้ว
ยิ่งถ้าเป็นพวกป้าอ้วนก็คงมองค้อนแล้ว และยังสัมภาษณ์ซ่งฝูเซิงอีก “เจ้าขี้กลัวแบบนี้ แม้แต่หมายังกลัว สอบถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าจัดการหมาป่าได้อย่างไร?”
หัวหน้าเริ่นโบกมือด้วยรอยยิ้ม “เหล่าซาน เจ้าไปช่วยดูหมาหน่อย อย่าทำให้ฝูเซิงต้องตกใจ”
ลูกชายคนที่สามของเขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร น้องชาย เดินไปเถอะ”
ซ่งฝูเซิงรีบออกมาจากบ้านหัวหน้าเริ่น
ก่อนหน้านี้เขาเคาะประตูเพื่อเข้ามาในเรือน ทันใดนั้นก็มีหมาตัวใหญ่โผล่พรวดออกมาจนทำให้เขาตกใจ
หัวหน้าเริ่นยังไม่ทันจัดประชุม ทางด้านแม่น้ำนี้ก็เริ่มจัดประชุมกันก่อนแล้ว
“กำลังประชุมกันนะ เจ้าแคะฟัน? ตอนบ่ายกินปัวปัวไปหกลูกใช่หรือไม่? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พรุ่งนี้พวกเจ้าจะกินได้แค่สามลูก”
ท่านลุงซ่งยกมือขึ้นตีพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้ พร้อมกับด่าไปด้วย “เหมือนพวกปี่เซี๊ยะที่กินเข้าไปอย่างเดียว ไม่คายออกมา”
เกาเถี่ยโถวรีบบอก “ท่านปู่ ท่านหวังว่าพวกเราจะทำงานอย่างเดียว ไม่ต้องกินข้าวหรืออย่างไร?”
“ใช่แล้ว”
“ท่านปู่ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของห้องประชุมโบกมือ
ทำอะไรกันอยู่ นี่จะเหมือนตลาดสดแล้ว
“แค่กๆ เงียบกันหน่อย”
เพิ่งจะเงียบสนิทลง ท่านย่าหม่าก็เปิดประตูเข้ามา “ลูกสาม มีเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงต้องให้ห้องเตาอบของพวกข้าหยุดทำงานล่ะ”
ทันใดนั้นนางก็ตบน่องเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าจะจ่ายเงินแล้วหรือ? ถ้างั้นพวกข้าก็จะจ่ายเงินเหมือนกัน นั่น ใครนะ? พั่งยาล่ะ?”
ซ่งฝูเซิงคิดใจใจ เขาอุตส่าห์ทำให้เงียบแล้ว พอท่านแม่เข้ามาก็ทำให้วุ่นวาย “จ่ายเงินอะไรกัน พั่งยาพาพวกเด็กๆ ออกไปทำน้ำแข็งอยู่ข้างนอกกันแล้ว ข้าตั้งใจไม่ให้พวกนางเข้ามาจะได้ไม่เกิดความวุ่นวาย”
ท่านย่าหม่า “เอ๊ะ”
เด็กสาวคนนี้โตแล้วยังชอบเล่นหิมะอีกเหรอ ได้ยินมาว่าตอนบ่ายยังเล่นสงครามหิมะจนเสื้อผ้าเปียกชื้น
ในสายตาของท่านย่าหม่าแล้ว แม้ฝูหลิงไม่อยากทำงานก็เข้าห้องไปพักผ่อนสิ หรือทำงานเย็บปักถักร้อยก็ได้ ยังดีกว่าทำให้ร่างกายเหน็บหนาว
“เจ้าไม่จ่ายเงินหรือ? ถ้างั้นเจ้าเรียกเรามาประชุมกันทั้งหมดทำไม? ข้าคิดว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรใหญ่โตเสียอีกนะ” ท่านย่าหม่านั่งบนเก้าอี้ว่างที่ท่านยายหวังสละที่นั่งออกมาให้ เมื่อนางนั่งแล้วก็พูดกับพรรคพวกของนาง “ข้าคิดว่าเขาจะจ่ายเงิน พวกเราก็จะได้จ่ายเงินเหมือนกัน จะได้เย้ยพวกเขา”
ท่านยายหวังได้ยิน แววตาก็เปล่งประกาย “พี่สาว ตอนนี้ข้ามีรายได้เท่าไหร่แล้ว?”
ท่านย่าหม่าบอกจำนวนมา
พี่สะใภ้ใหญ่ของนางก็รีบสอบถามท่านย่าหม่า “น้องสาว แล้วข้าล่ะ?”
ท่านย่าหม่าก็บอกจำนวนกับนางไป
ขณะที่ข้างบนประชุมใหญ่กัน ข้างล่างก็มีประชุมวงเล็กเหมือนกัน
“วันนี้ที่เรียกทุกคนมาประชุมกันก็เพราะว่า…”
“โอ้ จริงหรือ? พี่สาว ท่านเป็นพี่สาวของข้าจริงๆ ด้วย ข้าอยากหอมแก้มท่านจัง”
“เจ้าคือน้องสะใภ้ข้า ฮ่าๆ”
พวกหญิงชราเหล่านี้ตบมือหัวเราะชอบใจกันใหญ่ จนเกือบจะตบมือต่อกันเพราะความดีใจ
ซ่งฝูเซิงที่นั่งอยู่ข้างบนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยความโมโห
“ท่านแม่”
ท่านย่าหม่ารีบโบกมือ
ให้พวกเพื่อนๆ เก็บอารมณ์กันหน่อย อย่าให้กระทบถึงลูกสามจนเขาโมโหสิ