อย่าเห็นว่าเมื่อวานท่านลุงซ่งต่อว่าหัวหน้าตระกูลเริ่นไปขนาดนั้นแล้ว แต่ทุกคนจำได้ว่าตอนแรกสุดที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่นี่ หัวหน้าตระกูลเหรินได้ช่วยพวกเขาหาคนขุดบ่อน้ำ
และก็ช่วยสอบถามราคาจากข้างนอกให้
คนขุดบ่อน้ำที่หัวหน้าตระกูลเริ่นช่วยหามาให้ ช่วยประหยัดเงินไปได้มากทีเดียว
ตอนนั้นคนขุดบ่อน้ำยังพูดอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยว่า เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหัวหน้าตระกูลเริ่น เรื่องเงินเป็นเรื่องรอง ประเด็นคือเข้าสู่เดือนสิบเอ็ดก็ขุดบ่อยากแล้ว เปลืองแรงมากกว่าขุดในฤดูอื่น
ไม่เพียงแต่จะต้องให้เงินลูกจ้างที่พามาด้วยเยอะหน่อย แต่ถ้าขุดแล้วไม่เจอน้ำก็เท่ากับสูญเปล่า พวกเจ้าเป็นคนจ้างไม่มีทางจ่ายเงินเพิ่ม คนที่เป็นหัวหน้าคนงานนี่สิต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะจ่ายค่าแรงอย่างสูญเปล่า ถ้าให้ไม่มากพอ คนงานก็ไม่อยากรับงาน
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหัวหน้าตระกูลเริ่น
สรุปว่าทุกคนเห็นแก่น้ำใจครั้งนั้น
ก่อนหน้านี้ยังหารือกันอยู่ว่า จะซื้อของขวัญสี่อย่างไปให้หัวหน้าตระกูลเริ่นเพื่อตอบแทนน้ำใจ ผูกสัมพันธ์สักหน่อย เหมือนสำนวนที่ว่า กินน้ำก็อย่าลืม ‘คนขุดบ่อ’
ตอนนี้มาเยือนถึงที่ พอมาถึงก็บอกว่าต้องการซื้อหัวใจหมาป่า บอกว่าจะซื้อก็จริง แต่พวกเขาจะเอาเงินได้หรือ
หัวใจหมาป่าไม่ได้มีค่าเหมือนอย่างหนังหมาป่า
หัวใจหมาป่า เจ้าเล่ห์เพทุบาย
หัวใจหมาป่าค่อนข้างดำกว่าหัวใจของสัตว์ชนิดอื่น
โดยทั่วไปหากไม่ใช่ครอบครัวที่ลำบากยากแค้นจริงๆ ก็จะพยายามไม่กินหัวใจหมาป่า
แน่นอนว่า นั่นหมายถึงครอบครัวทั่วไป ชาวบ้านส่วนใหญ่
อย่างพวกเขา นับตั้งแต่มีประสบการณ์อพยพลี้ภัย ตอนนั้นขาดก็แค่กินเนื้อคนแล้ว ไม่สนว่าเป็นเนื้ออะไร เสียดายไม่อยากทิ้งทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นของล้ำค่า พวกเขาจึงไม่ได้ทิ้ง อยากเก็บไว้เอามาลวกกิน
ควักหัวใจออกมาก็ไม่จับตัวแข็ง วางใส่กะละมังไว้ในห้องครัว กะไว้ว่าจะกินวันนี้
พอหัวหน้าตระกูลเริ่นมาพร้อมกับลูกชายสามคน ก็เอ่ยปากอยากขอซื้อหัวใจหมาป่า
หัวใจหมาป่าสดๆ ทุกคนยกออกมา เนื้อยังเด้งไปมาอยู่ในกะละมัง
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากหัวหน้าตระกูลเริ่นเห็นหัวใจหมาป่าในกะละมัง ทันใดนั้นได้ยื่นมือไปจับ เลือดไหลอาบ เอาใส่ปากแล้วกัดกิน
ไอ๊หยา ลุงซ่งตกใจถอยหลังไปสองก้าว
คิดในใจ พวกเราไม่เอาเงินก็จริง แต่อย่ามาข่มขวัญพวกเราแบบนี้สิ อย่างน้อยก็ลวกให้สุกก่อนค่อยกิน แบบนี้มันบ้าระห่ำเกินไป
ส่ายมือ ขยิบตา บอกให้คนไปเรียกซ่งฝูเซิงที่อยู่โรงเพาะปลูกพริกมา
ให้ฝูเซิงที่เก่งที่สุดรับหน้าดีกว่า กล้าหาญหน่อย
หากซ่งฝูเซิงรู้ว่าท่านลุงซ่งมีความคิดแบบนี้ เป็นตายก็ไม่มีทางมา เขากลัวนะ
เวลานี้ทุกคนว่าง ก่อนหน้านี้เด็ดพริกให้แม่ทัพเล็กไป ต้นกล้ายังต้องรอไปอีกหลายวัน ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกำลังนับต้นพริกอยู่ในโรงเพาะปลูกด้วยความปวดใจ
นับดูว่าต้นพริกที่อยู่ล่างสุดหายไปหรือเปล่า
พอซ่งฝูเซิงเข้าไปในห้องชุมนุม ภาพที่เห็นก็คือ สายตาของเริ่นโหยวจินดูผิดแปลกไป
ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหน่อยก็คือ วินาทีที่เงยหน้ามอง แววตาเหมือนกับหมาป่า
คล้ายกับฆาตกรโรคจิตในยุคปัจจุบัน จับเขามา เขาก็จ้องหน้า เดาไม่ออกหรอกว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่
เพ่งมองเหมือนเห็นไม่ชัด ดวงตามีรอยยิ้ม ยิ้มได้แปลกประหลาด เกิดความคิดชั่วร้าย
“ไอ๊หยา ท่านมาทำอะไรกันหรือ” ซ่งฝูเซิงรีบเข้าไปขวางหน้า
พวกลูกชายของหัวหน้าตระกูลเริ่นก็กำลังแย่งหัวใจหมาป่า ไม่ให้ท่านพ่อกินต่อแล้ว
แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้ท่านพ่อมีแรงเยอะมาก ใช้แรงยื้อยุดมากพอสมควร
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า ไสหัวไปให้หมด!”
หัวหน้าตระกูลเริ่นมีสีหน้าบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยคราบเลือด
เขาอยู่ในชุดตัวยาวสีดำ พอเห็นคนมาแย่งหัวใจหมาป่าก็แยกเขี้ยวตวัดกรงเล็บขึ้นมา ชนเก้าอี้ ชนโต๊ะระเนระนาด เริ่มบ้าคลั่ง
พวกลูกชายของเขาจับเขาไว้ บางคนถึงกับนั่งลงกอดขาพลางร้องไห้ “ท่านพ่อ ได้สติกลับมาสักที ไม่ได้ซื้อมาให้กินนะ หลานชายพ่อล่ะ”
ลูกชายคนโตของหัวหน้าตระกูลเริ่นยังไม่ทันพูดจบ หัวหน้าตระกูลเริ่นก็เดินโซเซไปไม่กี่ก้าวแล้วนั่งลงกับพื้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง คราบเลือดที่อยู่บนใบหน้าก็ปะปนกับคราบน้ำตา “ลูกหลาน ขอบคุณพวกเจ้า ขอบคุณพวกเจ้าที่ฆ่าหมาป่าพวกนั้น ในที่สุดข้าก็รู้สึกโล่งอกก่อนตาย” ขณะพูดก็ทำท่าคารวะเหมือนจะคำนับลงไป
ไม่กล้ารับไว้นะ อายุปูนนี้แล้ว อีกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้
ซ่งฝูเซิงกับลุงซ่งมองหน้ากัน ทั้งสองคนรีบเข้าไปห้ามไว้
พวกลูกชายของหัวหน้าตระกูลเริ่นก็ร้องไห้พลางพูด
“พวกท่านไม่รู้ นับตั้งแต่เด็กที่มีอนาคตที่สุดในบ้านถูกหมาป่าฆ่าตาย ท่านพ่อข้า จากที่เป็นคนปกติ วันๆ ลืมตาขึ้นมาก็ด่าหมาป่า ก่อนนอนก็ด่าหมาป่า…
…ไม่มีวันไหนที่ไม่เป็นแบบนี้…
…บางครั้งกำลังคุยกันอยู่ดีๆ ทันใดนั้นเขาก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ชี้ไปทางภูเขาพลางสาปแช่ง…
…ปีแล้วปีเล่าไม่มีความคิดอื่นใด เขียนข้อความแล้วก็ฉีกทิ้ง ทำลายข้าวของภายในบ้าน จนกว่าตัวเองจะเหนื่อยล้มตัวนอนลงบนเตียงถึงเลิกรา…
…พาไปโรงหมอมาหลายครั้งแล้ว เพราะกลัวท่านพ่อจะโมโหอกแตกตาย…
…ขอบคุณพวกท่าน พวกท่านคงไม่รู้ว่าพวกเราพี่น้องรู้สึกขอบคุณมากขนาดไหน…
…นับตั้งแต่ได้ยินว่าพวกท่านไล่ฝูงหมาป่าไปได้ ดูเหมือนท่านพ่อของข้าถึงได้ระบายความโกรธแค้นนั้นออกไป…
…ทำไมตอนที่ครอบครัวคนในหมู่บ้านที่ตายไปจะมาเอาเรื่อง แต่ท่านพ่อไม่ได้ห้ามพวกเขาได้ทันเวลา แค่รีบร้อนไปห้ามตรงแม่น้ำ…
…เป็นเพราะตอนนั้นท่านพ่อกำลังหัวเราะอยู่ในบ้าน หัวเราะเสียงดัง หัวเราะทั้งน้ำตา”
ท่านลุงซ่งฟังแล้วก็รู้สึกแย่ไปเหมือนกัน
คุยกันตั้งนาน ที่แท้บ้านที่พวกเขาอาศัยกันอยู่นี้ก็เคยเป็นบ้านของพวกหัวหน้าตระกูลเริ่นมาก่อน
หมาป่าลงจากภูเขา มากัดหลานชายที่มีอนาคตที่สุดของหัวหน้าตระกูลเริ่นตาย
คนหัวหงอกต้องมาส่งคนหัวดำ
“รีบคุยเรื่องอย่างอื่นเถอะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป คนเราต้องเดินไปข้างหน้า เฮ้อ จะมัวแต่ติดอยู่ในนั้นไม่ได้”
ท่านลุงซ่งคิดในใจ
ก็เหมือนกับพวกเขา จะรวยหรือจนก็รู้สึกจากใจว่าไม่อยากจากบ้านเกิด หลุมศพบรรพบุรุษอยู่ที่นั่นทั้งนั้น
ครั้งนี้ออกมา บ้านไหนบ้างที่ไม่มีคนหาย
อย่างบ้านลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง เมื่อก่อนรักลูกชายคนเล็กที่สุด ยามนี้ลูกชายคนเล็กเป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ แต่จะทำอะไรได้ จะมัวมาไม่กินไม่นอน วันๆ เอาแต่ด่าได้หรือ เราต้องคิดวางแผนเผื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
พวกเขาสิบห้าครอบครัว เข้มแข็งมากในจุดนี้
หากใช้คำพูดที่ฝูเซิงเตือนสติพวกเขาก็คือ ไม่ใช่ว่าลืมแล้ว แต่จะทรมานตัวเองไม่ได้
หัวหน้าตระกูลเริ่นถูกลูกชายพยุง ถือกะละมังที่ใส่หัวใจหมาป่าไว้หลายชิ้น พอเดินถึงประตู ทันใดนั้นก็หยุดลง สะบัดแขนที่ลูกชายประคองอยู่ พอหันกลับมา ดูเหมือนว่าในที่สุดก็ได้สติอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาเอาแขนเสื้อเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้สะอาดก่อนแล้วถึงพูดกับซ่งฝูเซิง
“เจ้าหนุ่ม ข้ามองออก เจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับในบ่อ สักวันเจ้าจะหลุดพ้นจากโคลนตมในไม่ช้าก็เร็ว”
ซ่งฝูเซิง …ผิดแล้ว เดิมทีข้าก็ไม่ใช่พวกเดียวกับท่าน ข้าข้ามเวลามา มากันทั้งครอบครัวเลยล่ะ
หัวหน้าตระกูลเริ่นพูดต่อ “หมู่บ้านเหรินจยาไม่ใช่ของเริ่นกงซิ่นคนเดียว วันหน้าเจ้าอยากทำอะไร มาบอกข้าตามตรง แม้ข้าจะสู้เริ่นกงซิ่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นหัวหน้าตระกูล ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
พูดจบหัวหน้าตระกูลเริ่นก็ออกไป
ท่านลุงซ่งไม่พอใจใหญ่แล้ว ชี้ตามหลังคนพวกนั้น ผ่านไปสักพักถึงพูดด้วยสีหน้าโมโห “เขาบอกว่าใครเป็นโคลนตมน่ะ แบบนี้มันยุให้รำ ตำให้รั่วนี่หว่า ฝูเซิง เจ้าห้ามทิ้งพวกเราเชียวนะ”
“ไอ๊หยา ท่านลุง เขาก็แค่ยกตัวอย่าง ข้าจะไปไหนได้”
“จะไปไหนก็เอาพวกเราไปด้วย พวกเราต้องทำงานให้เจ้า” ลุงซ่งยิ้มพลางพูดตามหลัง
นึกไม่ถึงว่าผ่านไปไม่เท่าไร ทางด้านนี้ก็ต้องต้อนรับครอบครัวใหญ่อีก
ซึ่งก็คือบ้านข้างๆ ครอบครัวไจ๋
พอมาถึงก็ร้องไห้ราวกับอัดอั้นตันใจ
เริ่มจากด่าตัวเองที่เสียใจมากเกินไปจนเข้าใจผิดทุกคน เกือบทำเรื่องสิ้นคิด ตอนนี้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว หากไม่มีพวกท่าน ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านจะตายกันไปเท่าไร
อีกทั้งยังคร่ำครวญว่า ขอหัวใจหมาป่าสักหน่อย อยากซื้อไประบายแค้น
คนที่เป็นเสาหลักของครอบครัวถูกหมาป่าคาบไป จะต้องถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่นอน อีกทั้งข้างนอกหิมะก็ตกหนัก เคยขึ้นเขาไปตามหาแล้วแต่ก็ไม่พบ แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่เจอ
การตายแบบนี้มันน่าเวทนาเหลือเกิน ไม่มีแม้แต่ศพ ไม่มีอะไรใส่โลง มันแค้น
พอเป็นแบบนี้ ท่านลุงซ่งก็ให้หัวใจหมาป่ากับครอบครัวนี้ไปสองชิ้น
จะเอาเงินทำไม รับเงินแบบนี้มาก็หงุดหงิดใจ
จากนั้น ตอนที่ครอบครัวไจ๋ที่มีคนตายหลายคนตามมาขอหัวใจหมาป่า ท่านลุงซ่งไม่รอให้พวกเขาคร่ำครวญก็ไล่ตะเพิดกลับไป
ข้อแรก ถึงแม้ครอบครัวพวกเจ้าจะมีคนตาย น่าสงสารพอสมควร แต่อย่าคิดว่าพวกเราลืมแล้ว เป็นครอบครัวพวกเจ้าที่ถูกครอบครัวหลี่เจิ้งยุยงจะมาเอาเรื่องพวกเราถึงบ้าน
ยังยืนยันคำเดิม ไม่มีทาง ถ้าพวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายสำเร็จ มารื้อบ้านเอาเรื่องคนที่นี่ ตอนนี้คนที่ต้องร้องไห้คงเป็นพวกเราแล้ว ดังนั้นพวกเราไม่ได้รู้สึกสงสารพวกเจ้าสักเท่าไร
พวกเราให้หัวหน้าตระกูลเริ่นได้ และก็ให้เพื่อนบ้านของเจ้าได้ เพราะรู้สึกว่าคนตายของครอบครัวนั้นไม่ยุติธรรมที่สุด แต่พวกเราไม่อยากให้พวกเจ้า
ข้อสอง มันหมดแล้วจริงๆ
ลองนับดูนะ ก่อนหน้านี้หัวหน้าตระกูลเริ่นกินดิบๆ ไปสามชิ้นเหมือนคนบ้า แถมยังเอากลับไปอีกหกชิ้น
เพราะตอนนั้นไม่ใช่แค่หลานชายหัวหน้าตระกูลเริ่นที่ถูกหมาป่ากัดตายทั้งเป็น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตรงนี้ในตอนนั้น บ้างก็ถูกกัดบาดเจ็บจนทนไม่ไหวตายไป
บ้างก็จนถึงตอนนี้ขายังพิการ ถูกหมาป่ากัดเท้าขาดไปในตอนนั้น
อีกทั้งคนโบราณยังถือ จะบูชาคนตายก็ดี อะไรก็ดี นอกจากหัวหมูที่ไม่ต้องวางเป็นคู่แล้ว ของอย่างอื่นต้องวางเป็นคู่หมด
นี่ก็หายไปแล้วเก้าชิ้น
ให้เพื่อนบ้านของสกุลไจ๋ไปอีกสองชิ้น
สรุปว่าหมดไปแล้วสิบเอ็ดชิ้น
ต่อให้พวกเจ้าสกุลไจ๋คุกเข่าคำนับจนถลอกปอกเปิก พวกเราก็ไม่มีให้แล้ว
อีกทั้งกลับเกิดความรู้สึกในทางตรงกันข้าม ทั้งคุกเข่าทั้งร้องไห้คร่ำครวญถึงบ้าน สร้างความลำบากให้คนอื่น
ท่านลุงซ่งถือไม้กวาด ทั้งปัดทั้งไล่ “รีบไปๆ ไม่มีแล้วจริงๆ”
ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ พูดกับท่านลุงซ่ง “ไม่ได้แล้ว เก็บไว้ไม่ได้แล้ว รีบขายหนังหมาป่าไปเถอะ อย่าเก็บเอาไว้ในมือเลย จะสร้างความหมางใจกับคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว คนนี้ก็มา คนนั้นก็จะเอา”
ถามท่านลุงซ่งอีก “ท่านลุงเก็บเอาไว้ผืนหนึ่งแล้วกันนะ อายุมาก เอาไว้รองนอนจะได้ไม่ปวดเอวปวดขาอีก”
ลุงซ่งยิ้ม ช่างรู้จักกตัญญู
แต่คิดในใจ เขาเป็นใครกันถึงจะเอาหนังหมาป่ามาปูนอน ผืนนึงขายได้ตั้งหลายตังค์
มีเงินเยอะขนาดนั้น ซื้อของให้ทุกคนในครอบครัวใหญ่ของเขาได้ตั้งหลายอย่าง
พวกเขาต้องซื้อด้าย เข็ม จอบ ปีหน้าก็ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ มีที่ให้ใช้เงินอีกเยอะ อย่ามองว่าตอนนี้หาเงินได้เยอะแล้ว คนที่กินข้าวก็เยอะเหมือนกัน
กลัวว่าจะเสียดายเงิน ซ่งฝูเซิงจึงบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ท่านลุงซ่งจึงตอบกลับ “ข้าไม่เก็บไว้ วันหลังมีหมาป่าลงมาอีกค่อยฆ่าใหม่แล้วกัน”
ซ่งฝูเซิง “…”
“อาสาม มีคนมาหาอีกแล้ว!” ซ่งจินเป่าที่ใบหน้ามีบาดแผลวิ่งมาพลางตะโกน
บาดแผลบนใบหน้าได้มาจากคืนนั้น พอได้ยินว่ามีหมาป่ามาเขาก็กอดลูกอมที่ท่านย่าซื้อให้กำลังจะวิ่ง แต่ไม่ทันระวังที่เท้า กลิ้งตกจากเตียงหัวทิ่มลงมา
ใครอีกล่ะ น่ารำคาญจริงๆ นับได้ครึ่งเดียวก็มีคนมาขัดอยู่เรื่อย นับเสียเที่ยวอีกแล้ว
“ไอ๊หยา เจ้ามาได้ยังไง รีบเข้าไปดื่มน้ำอุ่นในบ้านก่อน เรื่องทางนั้นยังจัดการไม่เสร็จรึ กินข้าวหรือยัง”
ฉีหมิงลงจากม้า ยิ้มพลางพูด “ท่านพี่ซ่ง ข้าไม่เข้าบ้านหรอก ท่านไปกับข้าหน่อย”