ทะลุมิติทั้งครอบครัว 306

ตอนที่ 306

ซ่งฝูหลิงเพิ่งใช้ชามไม้ใส่เกี๊ยวของตัวเอง พอได้ยินคำพูดนี้นางจึงหันไปมอง

มีคนประเภทหนึ่งที่ในยุคปัจจุบันถูกเรียกว่าแอ๊บหยิ่ง

ผู้ชายบางคนแค่หยิ่ง

ผู้ชายบางคนแค่แอ๊บ

ผู้ชายบางคน ถึงขนาดที่คิดว่าการแอ๊บหยิ่งคือไม่เห็นใครในสายตา

แต่ในความเป็นจริง ตามความเข้าใจของนาง แอ๊บหยิ่งไม่เท่ากับการไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

แต่แม่ทัพเล็กในยุคโบราณคนนี้ กลับทำได้อย่างเหมาะสม ถึงแม้จะแย่งเอาแบบร่างของนางไปโดยไม่อธิบายสักคำก็ตาม

“เป็นไงบ้างขอรับคุณชาย” ซุ่นจื่อมองลู่พั่นด้วยสายตายิ้มแย้ม

คุณชายชิมเมนูพริกยัดไส้อะไรนั่นคำแรก

ลู่พั่นอึ้งไปชั่วขณะ ถามซ่งฝูเซิง “พริกหรือ เหมือนพริกไทย แต่ก็ไม่เหมือนพริกไทย” แต่อาหารชนิดนี้ เขารู้สึกว่ากินกับข้าวนึ่งกำลังดี

ซ่งฝูเซิงพยักหน้าพลางพูด “ขอรับ พริกกับพริกไทยไม่เหมือนกัน ทนความหนาวได้”

ซ่งฝูเซิงชี้ชวนให้ซุ่นจื่อลองชิมพลางแต่งเรื่อง

เขาแต่งเรื่องเศร้าที่แสนงดงาม เหตุการณ์มีจุดพลิกผัน วกไปทางนั้น อ้อมมาทางนี้ สามรอบเก้ารอบ ขึ้นเขาลงห้วยแล้วก็วกกลับมา

เล่นเอาซ่งฝูหลิงที่อยู่โต๊ะข้างๆ เพิ่งจะกัดเกี๊ยวลงไปถึงกับสำลักเบาๆ ท่านพ่อของนางช่างมีพรสวรรค์เสียจริง

นางไม่รู้ว่า ตอนที่ลู่พั่นได้ยินเสียงนางไอ ได้แสร้งทำเป็นลูบศีรษะของหมี่โซ่วอย่างไม่ตั้งใจ บอกให้หมี่โซ่วกินเยอะๆ และก็แอบเหลือบมองนาง

ท่านย่าหม่ากับทุกคนได้ฟังก็สนใจ หันมาฟังลูกสามเล่าอย่างละเอียด

เฉียนเพ่ยอิงฟังแล้วก็รู้สึกนับถืออยู่ในใจ

มิน่า ตอนนี้ลูกสาวของนางก็เขียนนิยายเหมือนกัน เขียนเป็นเรื่องเป็นราวเสียด้วย ได้พ่อทั้งนั้น

จริงสิ ลูกสาวของนางไม่ได้เขียนเรื่องชิงรักหักสวาทในบ้าน ถูกพ่อของนางปฏิเสธไป บอกว่าถ้าจะเขียนเรื่องน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้น เกิดไปตรงกับเรื่องวุ่นวายในบ้านไหนเข้าจะทำยังไง คนเขียนไม่มีเจตนา แต่คนฟังเก็บเอาไปใส่ใจ คนไม่รู้จะคิดว่าลูกไปแอบซุ่มอยู่ในบ้านผู้ดีบ้านไหนมา

อย่าสร้างความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นให้คุณหนูสาม เขียนแนวแฟนตาซีดีกว่า

เขียนพวกสังคมยุคปัจจุบัน ชีวิตปัจจุบัน เครื่องบิน รถไฟความเร็วสูง เรือสำราญ อย่างมากคนอื่นจะคิดว่าลูกแต่งหนังสือเพราะกำลังฝันหวาน จินตนาการเป็นเอกลักษณ์

ซ่งฝูเซิงบอกลู่พั่น เมล็ดพริกชนิดนี้พ่อตาของเขาเป็นคนให้มา

เมื่อไรน่ะหรือ พ่อตาไปทางใต้ ติดทะเล ได้มาตอนไปขายใบชา

ชีวิตของพ่อตาเขาล้มลุกคลุกคลาน ชีวิตอยู่กับความเสี่ยง เคยทำมาแล้วทุกอย่าง

พ่อตาบอกว่า ตอนนั้นมีนักบวชคนหนึ่ง เดินๆ อยู่ก็ล้มลงนอนริมทะเล เขากำลังขนสินค้าพอดี บนฝั่งมีคนเต็มไปหมด แต่กลับแค่มองดู

ก็พอจะเข้าใจได้ อย่างไรเสียนักบวชคนนั้นก็ตัวขาว ผมสีอื่น ดวงตาสีเขียวเปล่งประกาย เหมือนหมาป่า ศีรษะไม่ใหญ่ แต่จมูกกลับแคบและโด่งมาก ปากยังพูดพึมพำบางอย่าง

หลายคนบนฝั่งบอกว่า มนุษย์หมาป่าหรือเปล่า ไม่พูดภาษาคน รูปร่างหน้าตาก็เหมือนหมาป่า เอาเป็นว่าสารพัดจะพูด แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วย

ซ่งฝูเซิงเล่าถึงตรงนี้ลู่พั่นก็คีบลูกชิ้นกิน เขาเชื่อไปไม่น้อยแล้ว

เพราะอย่าว่าแต่พวกเขาที่อยู่ที่นี่ แม้แต่เมืองที่ทุกคนเคยอาศัยอยู่เมื่อก่อนนี้ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับนักบวช ต้องเป็นเมืองที่อยู่ติดทางใต้เป็นพิเศษ

เขาเคยเห็นสมุดภาพของท่านปู่ ถึงรู้รูปร่างลักษณะของคนต่างแคว้น

หากไม่เคยพบเจอกับเรื่องแปลกประหลาดนี้ ไม่เคยเล่าอย่างละเอียด ก็คงไม่สามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ อย่างแม่นยำขนาดนี้

ซ่งฝูเซิงคิดในใจ โชคดีที่ตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่งเรื่องยังไงก็ไปหาหลักฐานไม่ได้ อ๋องหลายคนกำลังแก่งแย่งชิงดี ไม่อย่างนั้นเล่าเรื่องให้คนเก่งๆ ฟัง มีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย คนเก่งๆ ฉลาดเกินไป หลอกยาก

ซ่งฝูเซิงแต่งเรื่องต่อ นักบวชคนนั้นขอให้ท่านตาเฉียนช่วย เดิมทีคิดว่าเป็นลมเพราะอากาศร้อนขาดน้ำ พอช่วยดูถึงได้พบว่าถูกมีดแทงที่ด้านหลัง

คนคนนั้นบอกว่า เจอคนไม่ดีเข้า แต่ท่านตาเฉียนไม่เชื่อ

แน่นอนว่าก็ไม่เป็นไรที่อีกฝ่ายจะพูดจริงพูดเท็จ เป็นคนมีน้ำใจมาทั้งชีวิต ก็แค่ยื่นมือเข้าช่วย

แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะทิ้งของที่เป็นของพวกชาวต่างแคว้นเอาไว้ให้ แล้วก็ไปโดยไม่บอกสักคำ

ตอนซ่งฝูเซิงเล่าถึงตรงนี้ ได้จงใจทิ้งคำพูดไว้เตรียมเผื่อเรื่องกล้องส่องทางไกลอะไรของเขาอีก

ซุ่นจื่อถาม “เขาทิ้งเมล็ดพืชนี่ไว้ เช่นนั้นพวกพี่เคยปลูกไหม”

“เคยปลูกสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้เหรอว่ามันปลูกอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดอะไร มันเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้ว ปลูกเอาไว้ให้ลูกสาวสักหน่อย เผื่อกล่อมให้นางกินได้ แต่นางก็ไม่ได้ชอบ จึงวางไว้แบบนั้น”

ซ่งฝูเซิงเล่าว่า ก่อนหนีภัยมาครั้งนี้ได้เก็บของมีค่าที่อยู่ในบ้านจึงเอามาด้วย เขาถึงได้นึกออก

ไม่ชอบกินอย่างนั้นหรือ

เข้าใจแล้ว ลู่พั่นฟังจบก็พูดในใจแค่นี้ เขาคีบกับข้าวกินต่อ

เขาชิมอาหารที่มีพริกพวกนี้หมดแล้ว ตอนกินเกี๊ยวก็ได้ฟังคำแนะนำของซ่งฝูเซิงที่ให้จิ้มพริกน้ำจิ้ม

“แค่ก แค่กๆ” สิ่งนี้ทำไมไม่เหมือนอาหารอื่น กับข้าวอื่นไม่เห็นเผ็ดขนาดนี้

เขาจุ่มลงไปทั้งชิ้น

ลู่พั่นทำมือบอกไม่เป็นไร พยายามข่มอาการอยากไอ ยกชามไม้ขึ้นมาซดน้ำแกงเกี๊ยวอึกใหญ่

“อุ๊บ” ซ่งฝูหลิงก้มหน้ากินเกี๊ยวไส้ผัดผักพลางขำ

เล่นเอาเฉียนเพ่ยอิงต้องหันไปทำหน้าดุใส่ลูกสาว “จึ๊”

เด็กคนนี้นี่ เขาไม่เคยกิน มีหรือจะรู้ว่าจุ่มลงไปทั้งชิ้นน้ำจิ้มจะติดมาแค่ไหน

ใครจะไปเหมือนลูก ไม่มองว่าพริกเป็นของดี เมื่อก่อนกินบ่อย

“ท่านแม่ทัพ กินเกี๊ยว ซุ่นจื่อ เจ้าก็กินด้วยสิ นี่ไส้ผักดอง พวกเราดองผักตั้งแต่มาถึงที่นี่ นี่ไส้ผัดผัก อันนั้นหัวไชเท้า ผักกาดขาว”

“อื้อๆๆ” ซุ่นจื่อไม่สนอะไรมากแล้ว ยกแขนคีบอาหาร

จะอร่อยเกินไปแล้ว

พี่ซ่งสุดยอดเลยจริงๆ ถ้าไม่เป็นพ่อครัวไม่เปิดโรงเตี๊ยมคงเสียดายแย่

ลู่พั่นเองก็กินมื้อนี้ไปไม่น้อย

อีกเดี๋ยวเขากลับบ้านก็ต้องกินอีกมื้อ ฉลองเทศกาล คิดว่าตอนนี้คนในบ้านคงกำลังรออยู่ เดิมทีอยากเผื่อท้องเอาไว้บ้าง

บริเวณด้านหน้าบ้านที่ทรุดโทรม

พฤติกรรมของลู่พั่นถูกซ่งฝูหลิงหันมามองอีกครั้ง

หนังหมาป่าสองผืนที่ยังไม่ได้ผ่านการตัดแต่ง ในสายตาของนาง ถึงขนาดที่ในนั้นอาจมีเห็บอยู่ด้วย ท่านปู่ต้องการจะมอบให้จนได้ เลือดยังติดอยู่ น่าสยดสยองมากทีเดียว

จะให้ผักนั้นไม่มีปัญหา แต่สิ่งนี้มันเกินไป

แต่กลับนึกไม่ถึงว่าลู่พั่นไม่ได้ใช้ให้ซุ่นจื่อรับของ แต่เขาใช้สองมือรับมอบด้วยตัวเอง

ไม่รู้ว่าควรเอาหนังหมาป่าสองผืนนั้นวางตรงไหน ไม่รู้ควรเอาผักหนึ่งตระกร้าที่ถูกคลุมด้วยเสื่อฟางมัดไว้ตรงไหน ลู่พั่นกลับบอกว่า ขอเชือกให้เขาหนึ่งเส้น มัดไว้กับตัวเขาก็ได้ เขากับซุ่นจื่อมัดไว้คนละตะกร้าแล้วขี่ม้า

ชั่วขณะที่ซ่งฝูหลิงมองลู่พั่นสะพายตะกร้าผักไว้บนหลังจริงๆ ใส่ชุดคลุมขนจิ้งจอกสะพายตะกร้าผัก นางไม่ได้หัวเราะออกมาแบบเมื่อครู่อีก ไม่หัวเราะที่เขากินพริกน้ำจิ้มไม่เป็นเหมือนเมื่อครู่อีก ไม่ได้แกล้งไอหัวเราะ

รู้สึกเพียงอบอุ่นหัวใจ

ไม่ใช่แค่ซ่งฝูหลิง ในใจของซ่งฝูเซิงเองก็เกิดความตื้นตันแบบที่บรรยายไม่ถูก

พวกเราเป็นใคร พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านตัวเล็กๆ

อีกฝ่ายเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน ยุคสมัยโบราณที่ไม่พูดเรื่องความเสมอภาค แบ่งชนชั้นชัดเจน แทบจะมองชาวบ้านเป็นเหมือนคนรับใช้

แต่คุณชายลู่กลับไม่ใช่

ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ข้างม้า ในที่สุดก็มีความกล้า ล้วงเขี้ยวหมาป่าออกมา

ก่อนหน้านี้ ลุงซ่งจะให้เขาเอาให้จนได้ แต่เขากับลูกสาวคิดเหมือนกัน

จะเอาให้ทุกอย่างไม่ได้ เราอาจเห็นเป็นของมีค่า แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบเดียวกัน

แต่วินาทีนี้ ซ่งฝูเซิงใช้สองมือยื่นเขี้ยวหมาป่ากับกระดูกสะโพกหมาป่าให้ พลางพูด “คุณชายลู่ ในบันทึกเมิ่งซีมีความเชื่อที่ว่า แขวนปูแห้งที่ประตูช่วยปัดเป่าโรคภัย หวังว่าเขี้ยวหมาป่ากับกระดูกนี้ก็มีผลแบบนั้นเหมือนกัน หวังว่าคุณชายจะรับไว้”

บนท้องฟ้ายังคงมีหิมะตกหนักดุจขนห่านโปรยปราย

ลู่พั่นสะพายตะกร้า ขี่ม้าขึ้นสะพานไปพร้อมซุ่นจื่อ

หิมะค่อยๆ บดบังสายตาของทุกคน

เงาของท่านแม่ทัพเล็กที่อยู่เหนือผิวก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป

มือปราบฉีหมิงมาหา เขาเพิ่งเสร็จเรื่องในหมู่บ้านเหรินจยา ออกมาจากบ้านสกุลไจ๋

ท่านลุงซ่งถึงได้รู้

อะไรนะ แม่ทัพเล็กไม่ได้บังเอิญผ่านมาเหรอ เป็นเพราะไม่วางใจเหรอ

ให้ตายเถอะ มีคนสงสัยว่าพวกเราปล่อยหมาป่าเข้าหมู่บ้านอย่างนั้นรึ มีคนโวยวายจะรื้อบ้านพวกเราด้วยงั้นเหรอ

ขี้โม้เก่งจริงๆ อยากมาก็มาเลย!

ลุงซ่งมัวแต่โมโห แต่ซ่งฝูเซิงกลับซักถามอย่างละเอียด

เขาฟังพลางคิดในใจ ได้ ข้าจะจดรายชื่อเอาไว้ รอก่อนเถอะ รอวันที่พวกเราลืมตาอ้าปากได้เมื่อไร แม้แต่ซื้อไก่ซื้อเนื้อสัตว์ก็จะไม่ซื้อจากร้านคนพวกนี้ ข้าเป็นผู้ชายใจแคบแบบนี้นี่แหละ

ฉีหมิงบอกซ่งฝูเซิงอีกว่า เขาจะกลับไปรายงานนายอำเภอตามความจริง

แม่ทัพลู่มาที่นี่

คนป่วยเป็นหลี่เจิ้งที่ดีไม่ได้

ว่าไปตามจริง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Score 10
Status: Completed

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น

สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี

ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย!

แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Options

not work with dark mode
Reset