ทะลุมิติทั้งครอบครัว 302 เรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง / 303 ยิ้มอะไรอยู่

ตอนที่ 302 เรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง / ตอนที่ 303 ยิ้มอะไรอยู่

ตอนที่ 302 เรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง

ซ่งฝูเซิงพูดกับหมี่โซ่ว “หมี่โซ่ว รีบลงมา ไม่ต้องให้พี่แม่ทัพเล็กอุ้มแล้ว ไปหาพี่สาวของเจ้าก่อน ดูว่าพี่สาวของเจ้าอยู่ในบ้านหรือห้องทำขนม ถ้าอยู่ในห้องทำขนมก็ให้นางต้มชา”

หมี่โซ่วถึงลงมา

อันที่จริงหมี่โซ่วมีคำพูดในใจอยากบอกลู่พั่น แต่พวกผู้ใหญ่คุยกันอยู่ เขาจะพูดแทรกก็ไม่ได้ อีกทั้งพี่แม่ทัพเล็กก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วย

หมี่โซ่ววิ่งหน้าตั้งไป

ลู่พั่นเหลือบมองเด็กที่ไม่ได้สวมหมวกคนนั้นพลางคิดในใจ หิมะตกอยู่ ข้างนอกหนาว ทำไมไม่รู้จักใส่หมวก แต่เขาไม่ได้พูดออกไป

ตอนก้มตัวเล็กน้อยเข้าไปในบ้านซ่งฝูเซิง ภายในบ้านจัดโต๊ะเก้าอี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

โต๊ะเป็นโต๊ะที่พวกเกาถูฮูกับเถียนสี่ฟายกมาจากห้องทำขนมเค้ก ยกเอามาวางหลายตัว เป็นโต๊ะใหญ่ต่อกัน วางอยู่กลางห้องใหญ่ของบ้านซ่งฝูเซิง บนโต๊ะปูผ้าคลุมเตียงไว้

ซ่งฝูหลิงเป็นคนกำชับบอกให้เอาผ้าที่คลุมผ้าห่มในบ้านมาปูบนโต๊ะด้วย

ไม่อย่างนั้นแขกเห็นเข้า แม้แต่โต๊ะใหญ่ที่ดูดีสักตัวก็ไม่มี ถึงกับต้องเอาโต๊ะมาต่อกัน น่าเวทนา

จะให้ท่านแม่ทัพเล็กขึ้นไปนั่งขัดสมาธิกินข้าวบนเตียงก็ไม่ได้หรือเปล่า ขายาวขนาดนั้น นั่งเดี๋ยวเดียวคงเป็นตะคริว

เวลานี้ ซ่งฝูหลิงยกกาน้ำชาเดินมาเจอน้องชายพอดี “ทำไมวิ่งหัวโล่งออกมาล่ะ หน้าต่างหลังบ้านกับบนพื้นมีแต่เลือด เจ้าไม่กลัวแล้วรึ รีบกลับไป”

เฉียนหมี่โซ่วบอกว่าท่านลุงให้มาหา “พี่สาว ต้มชาให้พี่แม่ทัพเล็กหรือยัง”

“ต้มแล้ว นี่ไม่ใช่หรือไง เพิ่งทำเสร็จ” ชานมสุริยันจันทรา

ชานมสุริยันจันทราที่ว่า ก็คือชาเขียวผสมนม

ไม่กล้าชงชาส่งเดชนี่นา

เพราะตอนนี้ในบ้านเหลือแต่พวกของในพื้นที่พิเศษ ชาจินจวิ้นเหมย ชาต้าหงเผา ชาเถี่ยกวนอิม

หากชงให้ท่านแม่ทัพเล็กดื่ม พอเขาชิม อืม พวกท่านเอามาจากไหนหรือ ครอบครัวพวกท่านมีฐานะอะไร ดื่มชาดีกว่าข้าเสียอีก

เอามาผสมนม เติมน้ำตาล รับรองว่าเขาชิมไม่ออกแน่ว่าใบชาอะไร

“ใช่หมี่โซ่วหรือเปล่า หมี่โซ่ว” ทันใดนั้นย่าหม่าได้ตะโกนขึ้น

“อื้อ ท่านย่า” หมี่โซ่ววิ่งหน้าตั้งเข้าไป

ท่านย่าหม่าเรียกหมี่โซ่วให้เข้าไปหยิบขนมเค้ก เก็บถาดที่ยังไม่ตกพื้น

เฮ้อ เมื่อคืนหมาป่าทำลายข้าวของไม่น้อยเลยจริงๆ ชะลอมใส่ขนมเค้กถูกตะกุยตรงหน้าต่างจนล้มระเนระนาด

จริงๆ เลย ท่านย่าหม่าถอนหายใจอีกครั้ง

เมื่อวานเพิ่งเปิดร้าน วันนี้ก็หยุดเสียแล้ว

เลิกคิดเรื่องพวกนี้ก่อน แม่ทัพเล็กมาทั้งที พวกเราต้องต้อนรับให้ดี ถ้าไม่ไหว อีกเดี๋ยวให้หนิวจั่งกุ้ยนั่งเกวียนไปบอกเป่าจูแล้วกัน

ตอนที่ซ่งฝูหลิงยกกาน้ำชาเข้าไปในบ้าน นางนึกไม่ถึงว่าภายในบ้านจะเหลือเพียงแม่ทัพเล็กคนเดียว

ไม่ทราบว่าท่านพ่อล่ะ ท่านพ่อท่านแม่ของนางไปทำกับข้าวแล้ว เช่นนั้นท่าลุงซ่งที่คอยอยู่ด้วยตลอดล่ะ

ท่านลุงซ่งกลัวท่านแม่ทัพเล็กบทจะไปก็ไป กำลังรวมกลุ่มถอนเขี้ยวหมาป่าอยู่ด้านนอก

อยากเอาให้แม่ทัพเล็กสักหน่อย

ถ้าทันเวลา จะให้ดีเอาหนังหมาป่าไปด้วย

แต่ของแบบนั้นต้องถลกกันสดๆ ยังสดใหม่อยู่

เขายุ่งมากจริงๆ

ต้องทราบก่อนว่ายังต้องเด็ดพริก ตัดกระเทียมเหลืองอีก ใช่ไหมล่ะ กว่าจะมาสักครั้งไม่ใช่ง่ายๆ พวกเราต้องให้ ‘ผลผลิต’ กลับไปหน่อย พวกเราไม่มีอย่างอื่น

ทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ ให้อะไรได้ก็ให้ เอาเป็นว่าอย่าปล่อยให้แขกกลับไปมือเปล่า

ท่านแม่ทัพเล็กมีบุญคุณกับทุกคน เรื่องแล้วเรื่องเล่า ให้คิดอย่างลึกซึ้งมากไปกว่านี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะซาบซึ้งถึงขั้นที่ กลางวันคิด กลางคืนร้องไห้ นึกถึงเรื่องที่ตอนนั้นท่านแม่ทัพเล็กไม่ให้พวกเขาไปเป็นทหาร ทั้งยังจัดการให้พวกเขามาอยู่ในเมืองหลวง

ลู่พั่นได้ยินเสียงก็เงยหน้าหันไปมอง สายตามองไปยังซาลาเปาประหลาดที่อยู่บนศีรษะของซ่งฝูหลิงก่อน แต่เพียงแวบเดียวเขาก็หันหน้าหนี

ชายหญิงแตกต่าง

ซ่งฝูหลิงถือกาน้ำชาเข้าไป สังเกตสีหน้า นางดูสุขุมกว่าลู่พั่นเสียด้วยซ้ำ

ฉีกยิ้มเหมือนบริกร “ท่านแม่ทัพ เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”

ลู่พั่นเหลือบมองบนโต๊ะ “อืม วางไว้ตรงนั้นแหละ”

“ท่านแม่ทัพ หนาวหรือไม่ ข้าเติมฟืนให้จะได้อุ่นๆ” ประเด็นคือไม่เติมไม่ได้หรอก ไฟในเตาจะดับแล้ว

ลู่พั่นเสียงแข็งเล็กน้อย “ไม่หนาว”

ราวกับต้องการพิสูจน์ว่าไม่หนาวจริงๆ ลู่พั่นถอดชุดคลุมขนจิ้งจอก แต่หลังจากเขาถอดออกมาแล้วกลับไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน

ยื่นชุดคลุมออกไปด้วยความเคยชิน

เขายื่นออกไปสิบกว่าวินาทีก็พบว่าซ่งฝูหลิงไม่ได้รับ เขาจึงหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย

ซ่งฝูหลิงเติมฟืนเสร็จนั่งยองอยู่หน้าเตา กำลังหันไปมองลู่พั่นด้วยความสงสัยพอดี ดวงตาดำขลับสุกใสราวกับกระจกสีนั้นเหมือนกำลังพูดว่า ‘ยื่นเสื้อให้ข้าทำไม’

ลู่พั่นเม้มริมฝีปาก “วางตรงไหน”

ซ่งฝูหลิงถึงได้กระจ่าง อ๋อ ที่แท้ก็ไม่รู้จะวางตรงไหน “วางบนเตียงก็ได้เจ้าค่ะ”

ตอนที่ 303 ยิ้มอะไรอยู่

ซ่งฝูหลิงมองลู่พั่นถือชุดคลุมยืนขึ้น

คนคนนี้พอยืนขึ้นตัวสูงมากทีเดียว

สูงกว่าพ่อของนางกว่าครึ่งช่วงหัว เทียบกับนาง ยิ่งทำให้นางดูเตี้ยอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเหยาหมิง[1]ยืนกับหลี่เหวิน[2]

สายตาของซ่งฝูหลิงเปล่งประกาย ก้มหน้าเหลือบมองมือขาวนวลของตัวเองที่เลอะผงถ่าน

จำไว้ว่าอีกเดี๋ยวหลังจากคนคนนี้ไปต้องกินแคลเซียมกับวิตามิน เมื่อวานนางลืมกิน ตกใจหมาป่าด้วย เดี๋ยวส่วนสูงจะไม่เพิ่ม

“ท่านแม่ทัพ ถ้าอย่างนั้นข้าขอออกไปก่อน” ซ่งฝูหลิงยิ้มพลางชี้ไปที่ถ้วยชา “ท่านลองชิมดู นี่เป็นชานมตัวใหม่ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจะดื่มได้หรือไม่ อีกเดี๋ยวหมี่โซ่วก็กลับมา หากมีเรื่องอะไรให้เขาไปเรียกข้าได้ ลุงซ่งเดี๋ยวเสร็จงานก็กลับมาเช่นกันเจ้าค่ะ”

ซ่งฝูหลิงพูดจบก็พยักหน้าให้ลู่พั่นอย่างสุภาพแล้วหันตัวเดินออกไป

ลู่พั่นก้มตัวเอาชุดคลุมวางลงบนเตียง

มองตามหลังซ่งฝูหลิงที่มัดซาลาเปาไว้บนหัว

หันตัวเดินออกไป ไม่ใช่ถอยหลังก่อนเล็กน้อยแล้วถึงหันตัวเดินออก

อยู่ในห้องคนเดียว ลู่พั่นจึงไม่นั่งลงอีกต่อไป

เขายกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชานม ดื่มติดต่อกันสองถ้วย รสชาติดีทีเดียว

หันไปสำรวจรอบห้องเล็กๆ ห้องนี้

เขาพบว่าครอบครัวนี้ เสื้อผ้าไม่ได้ถูกพับไว้ทั้งหมด แต่ติดกระบองไม้ไว้บนกำแพง ใช้ของสิ่งหนึ่งที่คล้ายราวไม้แขวนผ้าแขวนเสื้อผ้าตัวหนาเพื่อไม่ให้เกิดรอยยับ แล้วไปแขวนกับกระบองไม้อีกที

เสื้อคลุมของพี่สาวหมี่โซ่วมีจำนวนมากที่สุด

บนเตียง ผ้าห่มไม่ได้ถูกพับตามแนวนอน แต่พับเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส

ผ้าห่มสะอาดมาก ปลอกผ้าห่มมีลวดลายสีสัน

ตรงขอบหน้าต่างมีกระถางต้นไม้วางอยู่หลายกระถาง ในนั้นปลูกหัวหอม ด้านข้างมีกระจาดที่ใส่อุปกรณ์เย็บผ้า

สายตาของลู่พั่นหยุดที่บนเตียงใกล้ประตู ตรงนั้นมีโต๊ะขนาดเล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวหนึ่งวางอยู่

บนโต๊ะมีกองพู่กัน กระดาษ มองออกว่าบนนั้นน่าจะมีหนังสือที่เขาให้หมี่โซ่ววางอยู่ด้วย

ลู่พั่นวางถ้วยชาลง ย่างเท้าเดินเข้าไป

หยิบปึกกระดาษที่อยู่บนสุดขึ้นมาดู ใบหน้าปรากฏความพอใจขึ้นมาทันที

เพราะลู่พั่นมองออกว่า คนเขียนบรรจงจรดทีละขีดด้วยความตั้งใจ

อีกทั้งเมื่อเปิดดูไปเรื่อยๆ กระดาษปึกหนา ก็สามารถมองออกได้ว่าน่าจะเขียนวันละหลายแผ่นทุกวัน พัฒนามากทีเดียว

ทันใดนั้นมือที่เปิดกระดาษได้หยุดชะงัก หยิบภาพวาดใบหนึ่งที่แทรกอยู่ออกมา

ทันใดนั้นเอง

“ไม่ต้องสะบัดเท้า ไม่เป็นไร เข้ามาสิเจ้าคะ” ซ่งฝูหลิงพาซุ่นจื่อเข้ามาในบ้านอย่างสุภาพ

ซุ่นจื่อยังคงสะบัดหิมะที่เท้าอย่างเหม่อลอย

ที่เหม่อลอยเป็นเพราะ คนนี้น่ะหรือแม่นางซ่ง เมื่อครู่เขายังไม่กล้ายอมรับ

“คุณชาย ข้า…”

ลู่พั่นส่ายมือห้าม สายตาจ้องไปยังซ่งฝูหลิงที่เพิ่งเข้ามา “ใครเป็นคนวาดอันนี้”

“อะไรหรือเจ้าคะ” ซ่งฝูหลิงก้าวขึ้นหน้า ขยับเข้าไปดู

ลมเย็นลมร้อนพัดผ่าน ปีกจมูกของลู่พั่นขยับ ได้กลิ่นหอมของผู้หญิง ก็ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นบนศีรษะหรือกลิ่นบนใบหน้า กลิ่นไม่ค่อยเหมือนกัน

เขาถอยออกไปเล็กน้อยอย่างไม่ทันให้รู้สึกตัว ลู่พั่นชูภาพในมือขึ้นเพื่อให้พูดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “ในนี้มีภาพอยู่สองภาพ อักษรเหมือนเด็กไร้เดียงสาไม่กี่ขวบเขียน เจ้าไปเรียกเขามา”

ซ่งฝูหลิงเห็นกระดาษใบนั้นแล้ว นางวาดเอง แค่กวาดตามองคร่าวๆ ก็จำได้

ไม่กี่ขวบรึ แถมยังไร้เดียงสาด้วย?

คนคนนี้พูดจาทำไมถึงได้ทำร้ายจิตใจคนนัก

“ข้าเขียนเอง”

คิ้วของลู่พั่นขยับเล็กน้อย มือที่จับกระดาษออกแรงมากขึ้น มองซ่งฝูหลิง เงียบไม่พูดอะไร

จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเคยเห็นอักษรของเจ้า

ซุ่นจื่อมองคนนี้ มองคนนั้น แล้วเหลือบมองกระดาษที่อยู่ในมือคุณชาย

เขาเพิ่งจะเข้ามา โปรดอภัยที่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์

และก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าสองคนนี้กำลังจ้องหน้าเล่นทายปริศนาอะไรกันอยู่

ซุ่นจื่อ “คือว่า”

“เจ้าเขียนรึ”

“เจ้าค่ะ มีอะไรหรือ”

ลู่พั่นเข้าใจแล้ว เอาเถอะ ดูท่าก่อนหน้านี้จดหมายที่อยู่ในชะลอมขนมเค้กจะเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิด

อีกทั้งเรื่องที่หมี่โซ่วบอกว่าพี่สาวของเขาเขียนหนังสือเก่งก็…

“เจ้าลองบอกมาก่อนว่าสิ่งที่เจ้าวาดคืออะไร”

ซ่งฝูหลิงรับกระดาษมา “นี่คือที่ตีไข่แบบใช้มือหมุน ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อย อันนี้เป็นที่คั้นน้ำแบบใช้มือหมุน ข้าทำขนม อยากใช้พวกมัน”

ลู่พั่นขัดจังหวะ ก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จับกระดาษขึ้นมาแล้วชี้ไปที่บรรทัดหนึ่ง “ตรงนี้เจ้าเขียนอะไร”

ซ่งฝูหลิงตอบ “เสาค้ำสองข้างของที่ตีไข่ ข้าคิดว่า เวลาใช้มือข้างหนึ่งจับฐาน เอาเสาค้ำสองอันนี้ช่วยประคองวางไว้เหนือชามแล้วใช้มือหมุนก็ตีไข่ได้แล้ว อีกทั้งพอมีเจ้าสิ่งนี้เวลาตีไข่ก็ควบคุมได้เอง ไข่ที่ตีออกมาเป็นเนื้อเดียวกัน เฟืองที่ข้าใช้เป็นกลุ่มเฟืองทรงกรวย เขียนอธิบายไว้”

ลู่พั่นเข้าใจในทันที “ดูท่าสิ่งที่เจ้าวาดไว้ข้างๆ ก็คือแกนเกลียวแนวตั้ง”

“เจ้าค่ะ ก็คืออันนั้น”

ซ่งฝูหลิงเกิดความรู้สึกในที่สุดก็เจอคนที่เข้าใจ พูดทีเดียวก็เข้าใจ ไม่เหมือนพ่อของนางที่พอพูดเรื่องเสาค้ำช่วย เขาก็ถามต่อ แล้วเสาหลักมันอยู่ตรงไหน

ลู่พั่นก้าวขึ้นหน้าอีกครึ่งก้าว “อันนี้คือรางรึ”

ซ่งฝูหลิงพยักหน้าให้ลู่พั่น “เจ้าค่ะ ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดถูกหรือไม่ ข้าคิดว่า พอออกแบบใบมีดทรงโค้งหลายใบ ก็ต้องออกแบบรางที่เว้ารับแกนหมุน เหนือด้ามหมุนต้องออกแบบให้มีช่องเว้าสอดรับกับรางอันนี้ ส่วนหัวเสียบเข้าไปในราง”

ลู่พั่นพูดต่อ “แบบนั้นใบมีดทรงโค้งก็ต้องติดไว้ด้านนอกแกนหมุน อีกทั้งใบมีดแต่ละใบต้องอยู่บนแกนในตำแหน่งที่สูงต่างกัน”

“ต้องสูงไม่เท่ากันด้วยหรือ”

“ต้องแบบนี้”

“หา? แบบนั้นข้านึกไม่ถึงจริงๆ” ซ่งฝูหลิงยิ้ม “ตอนนั้นมัวแต่สนใจวาดตาข่ายรางกรอง คั้นน้ำก็ต้องกรองแยกกากออกไป”

ลู่พั่น “ต่อให้เป็นตาข่ายกรองก็ต้องทำตัวยึดไว้ ตัวยึดต้องเป็นห่วงกลม”

“แบบนั้นจะยึดมันไว้ตรงไหน เจาะรูตรงไหน”

“ตรงนี้” ลู่พั่นหยิบพู่กันบนโต๊ะ

ซ่งฝูหลิงรีบพูดขึ้น “เดี๋ยวข้าฝนหมึก” เดินไปสองก้าวทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ ยังจะฝนหมึกอะไรเล่า “ใช้ดินสอถ่านได้หรือไม่”

“เอามา”

ซุ่นจื่อดูอยู่ตลอด ไม่ได้พูดแทรกแม้แต่น้อย ฟังแล้วก็งงจับต้นชนปลายไม่ถูก สองคนนี้คุยเรื่องอะไรกันน่ะ ไม่เข้าใจ

อีกทั้งดูสิ ดูสองคนนั้นสิ จับกระดาษใบเดียวกัน ชี้นั่นชี้นี่ แถมยังยืนคุยอยู่ข้างกันด้วยนะ

นี่ก็วาดรูปเพิ่มอีกแล้ว

คุณชายของพวกเขาพูดกับสตรีเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

“พี่แม่ทัพเล็ก” ในที่สุดหมี่โซ่วน้อยก็กลับมาพร้อมถือถาดมาด้วย “พี่แม่ทัพเล็ก ขนมนี่ท่านย่าให้เอามาให้ ถ้าหิวก็กินก่อนได้ รองท้องไปก่อน”

ลู่พั่นนั่งอยู่ที่ริมเตียง กำลังใช้ดินสอถ่านวาดบนกระดาษ พอได้ยินเสียงก็พูดโดยไม่เงยหน้ามอง “เจ้ารองท้องไปก่อน บนโต๊ะมีน้ำชา”

เขาคิดว่าเด็กน้อยจะต้องหิวแน่นอน

พูดจบก็เงยหน้ามองซ่งฝูหลิง “เจาะรูที่ตำแหน่งนี้”

ซ่งฝูหลิงพยักหน้า

“ใบมีดต้องหมุนอยู่ด้านนอกแกน ด้ามหมุนต้องยึดไว้กับข้างในแกน”

ลู่พั่นพยักหน้า

“ส่วนนี้เจ้าทำกลับกันพอดี”

ซ่งฝูหลิงยิ้มให้ ขอบคุณมาก ไม่อย่างนั้นนางคงเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แน่

ลู่พั่นมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างดุจบุปผาบานสะพรั่งของซ่งฝูหลิง “เจ้า”

“พี่แม่ทัพเล็ก” หมี่โซ่วเบียดเข้ามา

สีหน้าเหมือนซุ่นจื่อ เงยหน้ามองคนนี้แล้วหันไปมองคนนั้น

“พี่แม่ทัพเล็กกับพี่สาวข้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ”

“พี่แม่ทัพเล็ก มองพี่สาวข้ายิ้มทำไมเหรอ”

จากนั้นก็เอียงหน้ามองด้วยความสงสัย เน้นย้ำอีกครั้ง “พวกพี่กำลังคุยเรื่องสนุกอะไรกันอยู่เหรอ”

ในสายตาของหมี่โซ่ว พี่สาวของเขายิ้มบ่อย ไม่แปลก แต่มุมปากของพี่แม่ทัพเล็กก็มีรอยยิ้ม แสดงให้เห็นว่ามีเรื่องสนุกเกิดขึ้น

ยิ้มแล้วเหรอ

ลู่พั่นกับซ่งฝูหลิงมองหน้ากัน เพียงแวบเดียวเขาก็รีบเบือนสายตาไปด้านข้าง ยืนขึ้นทันที กำมือวางที่ริมฝีปาก “อะแฮ่ม” กระแอมเสร็จก็เหลือบมองซุ่นจื่อ

ซุ่นจื่อ “…” คุณชาย มองแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เวลานี้กำลังส่งสัญญาณให้ข้าพูดอะไรหรือเปล่า ข้าควรถอยหรือขัดจังหวะดีล่ะ

ลู่พั่นไม่หวังพึ่งซุ่นจื่อ “ท่านลุงเจ้าล่ะ” อุ้มหมี่โซ่วแล้วเดินออกนอกบ้าน

เดินไปได้สองก้าวก็แหวกม่านกลับเข้ามา ดึงกระดาษใบนั้นไปแล้วแหวกม่านเดินออกไปอีกครั้ง

ซ่งฝูหลิงถลึงตามองไปที่ประตูด้วยความตกใจ “เอ๊ะ?”

เอ๊ะ? อย่าเอาไปสิ ข้ารื้อเครื่องปั่นกว่าจะวาดออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะ เครื่องปั่นนั่นพื้นที่พิเศษก็ไม่คืนสภาพให้ข้าด้วย ข้าจำขั้นตอนประกอบทั้งหมดก็ไม่ได้

ผ่านไปไม่กี่วินาทีซุ่นจื่อก็เดินกลับมาอีก

ซ่งฝูหลิงคิดว่าเขาเอากระดาษมาคืน

แต่ซุ่นจื่อกลับยิ้มให้ แค่ชี้ไปที่เตียง

คุณชายของเขายังไม่ได้ใส่ชุดคลุมก็ออกไปแล้ว

————————————————————–

[1] นักกีฬาบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงของจีน

[2] ดาราหญิงชาวจีน

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Score 10
Status: Completed

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น

สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี

ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย!

แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Options

not work with dark mode
Reset