เวลาประมาณบ่ายโมงกว่า บรรดาฮูหยินคุณหนูของแต่ละบ้านต่างแยกย้าย รถม้าคันแล้วคันเล่ามาจอดรับที่หน้าร้าน
ครั้งนี้คนที่ลู่จือหว่านเชิญมาล้วนไม่ใช่ฮูหยินใหญ่ของบ้าน แต่เป็นสะใภ้ที่อายุยังน้อย รวมถึงคุณหนูของแต่ละจวน
นางคิดว่าของแปลกใหม่ก็ต้องอาศัยคนอายุน้อยๆ นี่ล่ะ
อีกทั้งคนพวกนี้ยังต้องมีหัวข้อสนทนาร่วมกันกับนาง จึงจะคุยด้วยกันได้
ช่วงบ่าย เวลาประมาณสองโมงกว่า มีคนเปิดประตูเข้ามาอีก เสี่ยวเกาที่กำลังเช็ดตู้โชว์รีบหันไปโค้งตัวพลางขอโทษ “ขายหมดแล้วเจ้าค่ะ”
แขกที่มา “…” อะไรกัน มีโจรปล้นเหรอ แค่ป้ายนอกร้านเขียนว่าเปิดทุกวันจนถึงบ่ายสามโมงครึ่งมันก็มากเกินไปแล้วนะ แล้วนี่เพิ่งจะกี่โมงกี่ยาม ขายหมดแล้วรึ
…
“มา พวกเราปรบมือให้ตัวเองหน่อย”
เสียงปรบมือของท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียนดังที่สุด
ท่านย่าหม่ามีความสุขมาก เงินที่นางรับมาในวันนี้ คุณพระช่วย ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
วันนี้พวกลูกค้าสตรีซื้อชุดเก้าห้องกันคนละชุด ไหนจะดื่มชา ชิมนั่นชิมนี่ คุณหนูสามเป็นคนจ่ายทั้งนั้น
ท่านย่าหม่ามองซ่งฝูหลิง สายตาเต็มไปด้วยคำว่า ขอบใจนะ
พั่งยา ความรู้สึกของย่าทั้งหมดในวันนี้ ราวกับใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน ล้วนมาจากเจ้าทั้งนั้น
ขอบใจนะที่ช่วยให้ย่าได้กลายเป็นเจ้าของร้าน เอาภาพเหมือนของย่าแขวนไว้ข้างนอกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ขอบใจที่เจ้าเชื่อว่าย่าทำได้
ย่าไม่รู้หนังสือ แต่เจ้าบอกว่า ย่าทำได้
ตารางราคาที่เจ้าวาด ให้ย่ามองภาพแล้วบอกตามราคาที่อยู่ด้านล่าง ก็จะสามารถคิดเงินได้ถูกต้อง
ท่านย่าหม่ารีบร้อนหันไป บอกความรู้สึกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว วันมงคลห้ามร้องไห้ นางแสร้งทำเป็นยุ่งมาก พูดก็ส่วนพูด บ่นก็ส่วนบ่น จะมีความสุขมากแค่ไหนก็ต้องเก็บร้านให้เรียบร้อย
ท่านยายเถียนก็ยิ้มจนใบหน้าปรากฏรอยยับ คุกเข่าเช็ดพื้นก็ยังหัวเราะออกมา
คิดในใจ
วันหลัง หากใครบอกว่านางล้างห้องน้ำเป็นงานลำบาก นางจะบอกไปว่า นางยังสามารถบริการคนเข้าห้องน้ำได้ดียิ่งกว่านี้อีก
ถ้าคนเข้าห้องน้ำต้องการ นางถึงขั้นคุกเข่าบริการก็ยังได้
รู้หรือไม่ว่าวันนี้นางได้สินน้ำใจเท่าไร ไอ๊หยา สองตำลึงครึ่งเชียวนะ ผู้จัดการกับผู้ดูแลบอกแล้วว่าเงินเหล่านี้ให้พวกนางเก็บกันเอง
นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยนะ อีกทั้งในที่นี้ก็มีแค่ฮูหยินอายุน้อยไม่กี่คนที่ตกรางวัล คนอื่นยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นก็แสดงว่ายังมีช่องว่างให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก
เสี่ยวเกา เสี่ยวหวัง เสี่ยวซ่ง พวกนางสามคนก็ทำงานพลางยิ้ม ทั้งยังรู้จักสรุปอีกด้วย
สะใภ้เล็กของท่านยายหวังพูดอย่างมีความสุข “วันหลังข้าต้องขายแบบนี้ ข้าต้องยืนตรงนี้ วันนี้ข้าสังเกตเห็นแล้ว…”
สะใภ้ใหญ่ของเกาถูฮูก็ตบมือพลางพูด “ถูกต้อง ข้าก็ได้ข้อสรุปเหมือนกัน เวลาที่ข้าเชิญคนเข้าไปข้างในควรหันหลังให้บันได และก็ไม่จำเป็นต้องส่งลูกค้าไปถึงด้านหน้าผู้จัดการร้าน ส่งครึ่งทางแล้วโค้งตัวบอกให้เดินต่อไปก็พอแล้ว”
ภรรยาของซ่งฝูกุ้ยเป็นคนนิสัยดีมาก ทำงานพลางบอกข้อบกพร่องของตัวเองให้ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิงฟัง บอกว่าวันนี้นางทำงานช้า ลูกค้าเยอะ เลยลนลานไปหน่อย
…
“เป่าจู รีบพักผ่อนนะ เจ้าเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน ต้าเต๋อจื่อ เจ้ากับน้องลงกลอนประตูหน้าหลังให้เรียบร้อยด้วยนะ”
เป่าจูยืนโบกมืออยู่ที่ประตูหลังร้าน “ทุกคนค่อยๆ เดินทางอย่ารีบร้อน พรุ่งนี้เจอกันเจ้าค่ะ”
พอกลับเข้ามาเป่าจูก็แทบจะไม่ได้พัก
พี่ชายนางถาม “ดึกป่านนี้ยังทำงานอีกรึ”
“พรุ่งนี้ก็เทศกาลตงจื้อแล้ว พี่ ในเมื่อพวกเรามาอยู่ที่ร้านนี้แล้วก็ต้องให้ความใกล้ชิดกับพวกเขาหน่อย ข้าคิดว่าตอนกลางคืนจะทำถุงเท้าให้ผู้จัดการกับท่านย่าเถียน พวกนางสองคนอายุมากสุดในร้านแล้ว”
ทั้งยังกำชับพี่ชายตัวเองอีก “ท่านพี่ วันหลังท่านพี่เป็นคนเติมน้ำเถอะ เอาไปไว้ในห้องครัว ในร้านมีแค่ท่านพี่คนเดียวที่แรงเยอะสุด ทำให้เสร็จล่วงหน้า”
ต้าเต๋อจื่อพยักหน้าตอบรับ วันหลัง งานที่ใช้แรงเยอะอย่างยกน้ำ กวาดลานด้านหลัง เขาจะเป็นคนทำเอง อายุยังน้อย ออกแรงมากหน่อยไม่เป็นอะไร
เขาชะโงกหน้าไปมองด้านนอก “หิมะตกแล้ว พวกนางเองก็ลำบากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถึงบ้านหรือยัง”
ถึงบ้านแล้วๆ ก็แค่ทางเดินลำบาก ยิ่งเดินหิมะก็ยิ่งตกหนัก
ทั้งสี่กลุ่ม บ้างก็นั่งเกวียน บ้างก็เข็นรถ ต่างรีบเร่งกลับบ้าน
‘คนในครอบครัว’ หลายคนออกมาต้อนรับ ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากก็ประกาศขึ้นก่อน “ลุงซ่งบอกว่า พรุ่งนี้ตงจื้อ พวกเราจะห่อเกี๊ยว เร็วเข้า กลับบ้าน รีบเข้าบ้าน”
ท่านย่าหม่านับเงินของอีกสามกลุ่มที่เหลือเสร็จก็ถือเงินเดินออกมาพูด “ฝูกุ้ย”
“เอ้อ!”
“เอาไป ข้าเลี้ยง พรุ่งนี้พวกเจ้าขายพริกเสร็จซื้อไก่ตัวอ้วนๆ มาสิบตัว พรุ่งนี้เช้าพวกเรากินเกี๊ยว ตอนเย็นกินไก่ตุ๋น”
พวกเด็กๆ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
คืนนี้แต่ละครอบครัวก็มีภรรยากับลูกสาวที่จุดตะเกียงทำงานกลางดึกอยู่บ้างเช่นกัน รวมถึงต้ายา เอ้อร์ยา เถาฮวา วุ่นอยู่ในห้องทำขนมมาทั้งวันแล้ว แต่กลับอยากทำถุงเท้ารองเท้าให้พวกผู้ใหญ่
เถาฮวาผู้เป็นหลานสาวมีความตั้งใจดี ทำรองเท้าให้ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงด้วยเหมือนกัน เริ่มเตรียมตั้งแต่สิบวันก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ เพราะนางยังต้องทำให้ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ของตัวเอง และก็ท่านย่าหม่าด้วย
ถ้าจะให้บอกว่าคืนนี้ครอบครัวที่นอนหลับสบายที่สุดก็คงเป็นครอบครัวของซ่งฝูเซิง
ถึงแม้ซ่งฝูเซิงจะรู้ว่าเทศกาลตงจื้อในสมัยโบราณจะมีธรรมเนียมปฏิบัติกันเช่นนี้ คนอายุน้อยต้องทำสิ่งของให้ผู้อาวุโสด้วยตัวเอง แต่ว่าเขาเหนื่อยนี่ คิดในใจ อย่าไปยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัตินักเลย
พริกที่เขาปลูก เนื่องจากยังไม่โตเต็มที่นัก จึงยังไม่ได้ขายมาตลอด พรุ่งนี้เขายังต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปเด็ดพริก พาคนไปบุกเบิกตลาดค้าพริกของเขา เด็ดครั้งแรกได้ไม่กี่กิโล แต่ก็ต้องออกไปอยู่ดี
เขาไม่คุย
ซ่งฝูหลิงก็ไม่คุย
ถ้าเขารู้ว่านางเองก็ ฮือๆๆ เหนื่อยจังเลย อยากหลับแบบตื่นเองตามธรรมชาติ
วันนี้ถึงขนาดที่นางไม่ตรวจบัญชี เอาเงินไว้ที่ท่านย่าหมด กลับมากินข้าว และก็ไม่ได้ไปสรวลเสเฮฮากับทุกคนด้วย นางมาถึงก็ปีนขึ้นเตียง ไม่นานก็หลับไป
ตอนที่ท่านย่าหม่ามาดูนาง ซ่งฝูหลิงกลิ้งออกจากผ้าห่มของตัวเองไปอยู่ในผ้าห่มของหมี่โซ่วอย่างไม่รู้ตัวแล้ว น้องชายอบอุ่น ร่างเล็กๆ ของน้องชายอบอุ่นมาก
สิบห้าครอบครัว บ้านหลี่ซิ่วดับไฟท้ายสุด นางก็อยากทำถุงเท้าให้ลุงซ่งกับท่านย่าหม่าเหมือนกัน เป็นผู้หญิงเลี้ยงลูกคนเดียว ทั้งตั้งเตาทั้งก่อไฟ งานเยอะจึงเพิ่งจะเย็บผ้าเสร็จ
หลี่ซิ่วเพิ่งล้มตัวนอนลงไปได้ไม่นาน เวลานี้ตีหนึ่งกว่าแล้ว ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ เหมือนมีสัตว์อะไรร้อง จึงลืมตาขึ้นทันที
ตบๆ เรียกลูกชายที่อยู่ข้างกัน จุดตะเกียงลงจากเตียงอีกครั้ง คลำหามีดในห้องครัวแล้วถึงเปิดประตูออกไปมองรอบๆ ไอ๊หย่าแม่จ๋า “ช่วยด้วย!”
บ้านที่อยู่ติดกับบ้านนางคือบ้านของซ่งฝูกุ้ย
ซ่งฝูกุ้ยวิ่งออกมาโดยไม่ได้ใส่รองเท้าให้ดีอีกแล้ว สมองกึ่งหลับกึ่งตื่น
รู้สึกเหมือนในสมองกำลังคิดเรื่องกินน่องไก่กินเกี๊ยวอะไรพวกนั้น
พอวิ่งออกมาดูก็ตื่นจากฝันทันที ตื่นตัวแบบไม่ไหว ตกใจมากด้วยเช่นกัน
เห็นเพียงดวงตาสีเขียวมันขลับยืนอยู่นอกรั้วบ้าน มีหมาป่าสองตัวเหยียบถูกเหล็กแหลมคาอยู่ ขนาดได้รับบาดเจ็บก็ยังจะพยายามเข้ามาในบ้าน
เวลานี้ข้างนอกหิมะกำลังตกหนัก ซึ่งก็หมายความว่า ปกติกองไฟที่ก่อไว้ข้างนอกวันนี้คงดับ หิมะตกจะไปติดได้อย่างไร ลมก็แรงด้วย
ครอบครัวซ่งฝูกุ้ยกับหลี่ซิ่วรีบช่วยกันตะโกนเรียก ตะโกนอยู่สักพักทุกคนถึงทยอยกันออกมา
เพราะวันนี้ทุกคนเหนื่อยกันหมด หลับเป็นตาย
ทุกคนไปเอาเหล็กง่ามที่เตรียมไว้ออกมาทันที
เสียเงินซื้อไปมากขนาดนี้ มีความรู้สึกว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ตัดภาพไปที่ซ่งฝูหลิงที่ตกใจดวงตาเบิกโพลง ได้ยินแต่เสียงฝูงหมาป่าร้องโหยหวนราวกับกำลังส่งสัญญาณให้พรรคพวกที่อยู่บนเขา
เห็นหมาป่าตัวหนึ่งวิ่งตรงมาที่พ่อของนาง “หลบไป!”
ซ่งฝูหลิงที่ผมสยาย ผลักไปหนึ่งทีแล้วเอาคันธนูออกมายิง
เวลาตีสี่กว่าบนเส้นทางหลวง
มือปราบสองกลุ่มจากเมืองถงเหยารีบร้อนมายังหมู่บ้านเหรินจยา
คนที่นำมาเป็นชายวัยยี่สิบกว่าที่สูญเสียแขนขวาครึ่งหนึ่ง
ตอนถึงทางแยก ทันใดนั้นเขาก็ลงจากม้า คุกเข่าอย่างจริงจัง
ในสภาพร่างกายที่เขาสูญเสียแขน เขายังสามารถทำงานได้ ทั้งยังเป็นมือปราบ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ ‘ท่านแม่ทัพ’ ที่เขาศรัทธามากที่สุดในใจ
ลู่พั่นมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตามใบหน้า ชุดคลุมขนจิ้งจอกก็เต็มไปด้วยหิมะ
เขานั่งอยู่บนม้า มองชายที่คุกเข่าอยู่
คนผู้นี้ปลดระวางจากกองทัพ ทุกครั้งที่เห็นแขนของคนผู้นี้ ในใจจะเกิดความรู้สึกเสียดาย
ซุ่นจื่อที่อยู่ด้านหลังลู่พั่นใส่ผ้าปิดปากที่มีอักษรซุ่นปักอยู่ มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะที่ขนตาของเขาเช่นกัน
แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนเพิ่งกลับมาจากค่ายทหารชานเมือง วันนี้เป็นเทศกาลตงจื้อต้องรีบกลับมา ฝ่าลมพายุมาตลอดทาง
“จะไปไหน”
“เรียนท่านแม่ทัพ หมู่บ้านเหรินจยาเกิดเหตุหมาป่าลงจากเขามาทำร้ายคน มีคนตายสี่ เจ็บเจ็ดแล้วขอรับ”
ลู่พั่นพยักหน้า เร่งม้าวิ่งไปข้างหน้าต่อ
แต่เท้าม้าเพิ่งวิ่งออกไปได้ไม่กี่สิบเมตร หัวหน้ามือปราบที่รายงานลู่พั่นเพิ่งยืนขึ้น กลับเห็นม้าของแม่ทัพหันหัวกลับมาอย่างกะทันหัน
ชุดคลุมหนังจิ้งจอกของลู่พั่นฝ่าพายุหิมะพลิ้วสะบัด
“ไป!”
ซุ่นจื่อก็รีบหวดแส้ หมู่บ้านเหรินจยา เสี่ยวหมี่โซ่วอยู่ที่นั่น อีกทั้งเด็กคนนั้นเคยบอกว่า พวกคนที่หนีภัยมาก็อยู่ที่ริมเขาด้วย