เมื่อกู่เจิงกับขลุ่ยบรรเลงท่อน ‘ปล่อยให้ความรักอยู่ในใจเราสอง บุปผาที่เบ่งบานนิรันดร์นั้น’ พร้อมกัน คนที่จิตใจพลุ่งพล่านขึ้นมาก่อนไม่ใช่ชาวบ้านที่มาดูความครึกครื้น และก็ไม่ใช่เถ้าแก่ร้านค้าที่อยู่ตามถนนแถวนั้นได้ยินเสียงแล้วตามมา แต่เป็นข้างร้าน
ข้างร้านเป็นร้านหนังสือสามชั้น
มีนักเรียนยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ทันใดนั้นมือที่กำลังเปิดหนังสือได้หยุดลง
มีนักเรียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือที่กำลังจะเขียนหยุดชะงัก ค้างอยู่อย่างนั้นไม่จรดลงไป เริ่มเงี่ยหูฟัง
ณ ชั้นสาม
หลินโส่วหยาง บุตรชายสายตรงคนเล็กของเสนาบดีกรมอาญาถามติงเจียน (น้องชายที่เป็นญาติฝั่งมารดาของลู่จือหว่าน) “เสียงนี่ดังมาจากในร้านของพี่สามใช่หรือเปล่า”
ติงเจียนพยักหน้า วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ
ยิ้มพลางพูด “หมินหรุ่ยไม่อยู่ งั้นก็ข้าแล้วกัน ข้าจะเลี้ยงขนมที่ชื่อว่าขนมเค้กให้พวกเจ้าได้ลองกิน” จากนั้นกวักมือเรียกบ่าวรับใช้ชายเพื่อให้ออกไปซื้อ
ซย่าเหวินอวี่บุตรชายสายตรงของอู่อันโหวเดินไปที่หน้าต่างด้วยความสงสัย ทั้งยังได้ถามขึ้น “วันนี้หมินหรุ่ยจะกลับมาได้หรือเปล่า พรุ่งนี้ก็เทศกาลตงจื้อแล้ว”
“พูดยาก อย่าเห็นว่าในเมืองหิมะไม่ตก แต่ได้ยินมาว่าที่นั่นหิมะปลิวว่อนแล้ว”
ติงเจียนก็เดินไปที่หน้าต่างเช่นกัน
เสียงดนตรีฟังดูแปลกใหม่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งสามยืนอยู่ด้วยกัน
นี่คือที่ชั้นสาม
ส่วนริมหน้าต่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง มีคุณชายตระกูลร่ำรวยหลายคนที่เริ่มเสียสมาธิแล้ว
มีทั้งที่นิ่งขรึม อยากรู้อยากเห็น กระซิบคุยกับบ่าวรับใช้เพื่อให้ไปดูเหตุการณ์ข้างร้าน
ดูว่าด้านในขายอะไร มีที่เหมาะสำหรับบุรุษหรือไม่
ในนั้นทำอะไรกันน่ะ ทำไมถึงดึงดูดสตรีสูงศักดิ์มาได้มากเพียงนั้น
มีทั้งประเภทที่ชอบอวด ชอบแสดงออก หนึ่งในนั้นมีชายร่างอวบที่อายุดูเหมือนสิบห้าสิบหกปี หมอบอยู่ริมหน้าต่าง รายงานให้เหล่าสหายทราบ
“นั่นเป็นรถของบุตรสาวเจ้ากรมตรวจตรา ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวคนไหนที่มา
นั่นเป็นรถของบ้านมหาบัณฑิตตำหนักจงจี๋
นั่นเป็นรถบ้านกวงลู่ต้าฟู[1]
นั่นเป็นรถจวนเสนาบดีกรมโยธาธิการ
อ้อ นั่นรถของจวนเสนาบดีกรมกลาโหม
เอ๊ะ นั่นรถของจวนอันหนิงโหว”
ชายร่างอวบเปิดเผยข้อมูลตามรถม้าที่ปรากฏไม่หยุด
ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าฮูหยินหรือคุณหนูที่ลงมามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เพราะเมื่อลงจากรถต่างก็ถูกบรรดาสาวใช้ห้อมล้อมพาเข้าไปในร้านทันที รถม้าก็ถูกพาไปยังโรงรถที่อยู่ด้านหลัง
แต่รู้สึกว่า แค่ได้เอ่ยนามก็พอใจแล้ว หลักๆ คือมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเหลือเกิน
บรรดาคนในครอบครัวของคนชั้นสูงในเมืองเฟิ่งเทียนที่แค่เห็นก็ขาสั่นเหล่านี้ ต่างมากันหมด
ไม่แปลกที่ผู้คนลือกันว่า คุณหนูสามสกุลลู่จะก่อนออกเรือนหรือหลังออกเรือน ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสตรีสูงศักดิ์
เมื่อได้ยินแบบนี้ บ่าวรับใช้ของคุณชายหลายคนก็ลงบันไดอย่างเงียบๆ วิ่งไปข้างร้าน สืบข้อมูลให้เหล่าคุณชายของบ้านตัวเอง
ช่วยเหล่าคุณชายสืบก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ บุรุษเก่งย่อมคู่กับสตรีเลอโฉม ร้านนั้นขายอะไร ให้บุรุษเข้าไปด้วยได้หรือไม่
ขอโทษที งดรับแขกผู้ชายเป็นการชั่วคราว ขายให้ได้แค่ที่ชั้นหนึ่ง
เถ้าแก่ฉีของร้านหนังสือมองคนที่เข้าๆ ออกๆ แล้วก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ผ่านไปไม่นาน ชายร่างอวบที่เมื่อครู่บอกข้อมูลก็ได้ชี้ไปที่หัวมุมชั้นหนึ่งพลางพูด “ดูนั่น คุณชายใหญ่จวนฉีก็มาด้วย”
คุณชายใหญ่จวนฉีมาก็ปกติมิใช่รึ นั่นร้านของภรรยาเขา
ไม่ปกติ
เพราะฉีตงหมิงไม่ได้มองคนเล่นกู่เจิงที่ชั้นบน ไม่เข้าไปดูรูปขนมที่แขวนอยู่บนกำแพงนอกร้าน และก็ไม่ได้เดินเข้าไปดูในร้าน
เขาแค่จ้องกระบอกประทัด ‘พิสดาร’ ที่ดับไปหมดแล้ว
ตอนนี้กระบอกประทัดทั้งห้านั้นได้แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฉีตงหมิงมองเศษพวกนั้นพลางคิดในใจ
เขาต้องไปสืบดูจากเหนียงจื่อสักหน่อยว่าร้านไหนเป็นคนทำของพวกนี้
เพราะของสิ่งนี้อาจมีประโยชน์ในกองทัพ
ต้องทราบก่อนว่า ดอกไม้ไฟใช้แค่ตอนกลางคืน เห็นมันถูกปล่อยออกไปสว่างสวยงาม หลากหลายสีสัน ทว่าหากจุดในตอนกลางวันก็ไม่สามารถแยกสีได้เลย
มองจากไกลๆ สว่างเจิดจ้า มีเสียงดัง มีควันขาว
ตอนนี้กระสุนส่งสัญญาณของกองทัพมีแค่ควันสีขาวเพื่อสั่งการให้หน่วยที่อยู่ด้านหลังทำตามสัญญาณ เช่น เดินขึ้นหน้า หยุด เป็นต้น
บางครั้งไม่ค่อยสะดวกนัก
เพราะไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน มันก็เป็นควันสีขาวทั้งหมด มันมีแค่สีขาว แยกยาก ทั้งยังต้องจุดหลายอัน หนึ่งเสียงสื่อถึงอะไร กี่เสียงหมายถึงอะไร
อีกทั้งยังมีปัญหาในสถานการณ์แบบหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อกองทัพมีความยาวมาก ทัพที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ยินเสียงเลยว่าข้างหน้าดังไปกี่เสียงแล้ว ต้องพึ่งทหารส่งข่าว
ม้าเร็วส่งข่าวก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน
ดังนั้น หากกระสุนส่งสัญญาณสามารถดัดแปลงให้มีสีด้วยได้ กลางวันก็จะมองเห็นว่าเป็นสีอะไร สีแดงคือคำสั่งอะไร สีเขียวคือคำสั่งอะไร ปล่อยให้สูงกว่าเมื่อครู่หน่อย แบบนั้นจะทุ่นแรงไปได้มาก
ฉีตงหมิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ายอดเยี่ยม เรียกบ่าวรับใช้มา “ไป ไปหาสาวใช้ข้างกายนายหญิงของเจ้า บอกว่าข้าให้นางไปถามว่าประทัดนั่นมาจากไหน”
ตอนบ่าวรับใช้ของฉีตงหมิงเข้าไปในร้านเป็นช่วงที่ในร้านกำลังยุ่งที่สุด
ไม่ยุ่งได้เหรอ มีบ่าวรับใช้ตั้งหลายคนมาจากข้างร้าน ทั้งยังมีลูกค้าที่ไม่ได้จองไว้อีกจำนวนหนึ่ง
เสี่ยวหวัง สะใภ้เล็กของท่านยายหวัง อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินลายดอก ผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินลายดอก สวมถุงมือสีขาว กำลังแนะนำขนมให้บรรดาลูกค้าที่ยังไม่ได้ควักเงินซื้อ พลางบรรจุขนมให้ลูกค้าที่จ่ายเงินแล้ว
พอได้ยินเสียงประตูดัง แม้แต่ย่าหม่าที่กำลังรับเงินก็ยิ้มกว้างพลางพูดพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ” ตะโกนเสร็จถึงทำงานในมือต่อ นี่เป็นกฎของร้าน
บ่าวรับใช้ของฉีตงหมิง หลังจากเข้าร้านมาก็ไม่ค่อยกล้าพูดเสียงดัง
น่าแปลก พอเข้ามาในร้านนี้ก็รู้สึกอุ่นมาก จมูกได้กลิ่นหอมหวานอยู่ตลอด
อีกทั้งในสถานการณ์ที่ชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยลูกค้า มีคนที่พาเด็กมาด้วย เดิมทีควรหนวกหูแต่ไม่เลย
ดูเหมือนบรรดาลูกค้าก็รู้สึกเหมือนเขา ถูกบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยขนมนี้ ถูกแสงไฟที่สาดส่อง ถูกพื้นที่ลงขี้ผึ้งและการตกแต่งร้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ต้องลดเสียงลงไปโดยปริยาย
ถึงขนาดที่เขายืนอยู่ตรงประตูห่างออกไปค่อนข้างไกล ก็ยังได้ยินเสียงหญิงสาวที่หยิบขนมใส่ถุงอยู่คนนั้นกำลังพูดแนะนำ
“อันนี้เรียกว่า โอบกอดสี่พี่น้อง เจ้าค่ะ ก็คือมีขนมเค้กสี่สีวางอยู่ด้วยกัน แบบนี้ก็จะได้ชิมทุกแบบ ราคาก็ถูกกว่าหน่อยด้วย คุ้มกว่าซื้อแยกเยอะเลยเจ้าค่ะ…
…ชิ้นเดียวหกสิบห้าเหวิน ซื้อยกชุดสี่ชิ้นแค่สองเหรียญเงินเท่านั้น…
…ตัวนี้หรือเจ้าคะ ตัวนี้เรียกว่ากระป๋องคุกกี้เขย่า ข้างในมีคุกกี้สารพัดสี ไม่ว่าจะรสชาติไหนก็ลิ้มลองได้ครบเจ้าค่ะ…
….ถ้าอยากซื้อขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง ขนมปังแท่ง ชีส เอากลับไปชิมให้หมด ไม่ต้องแยกซื้ออย่างละนิดละหน่อย ทางร้านของเรามีชุดเก้าห้องเจ้าค่ะ”
ในขณะเดียวกันย่าหม่าก็มองตารางราคาที่หลานสาวคนเล็กวาดให้นาง “ทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเหวิน ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเกาที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงิน เดินเข้ามาโค้งตัวแล้วถาม “เชิญด้านในเจ้าค่ะท่านลูกค้า” เพื่อสื่อว่าห้ามขึ้นชั้นบน อย่างน้อยวันนี้ไม่รับแขกผู้ชาย แต่เดินเข้าไปด้านในได้
“ไม่ล่ะ ข้ามาหาคน รบกวนเจ้า…” บ่าวรับใช้ของฉีตงหมิงก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองพูดว่ารบกวนคนอื่น เมื่อก่อนเวลาไปไหน บรรดาเถ้าแก่ร้านค้าข้างนอกต่างต้องเรียกเขาว่านายท่านทั้งนั้น วันนี้กลับรู้สึกเหมือนไหว้วานบ่าวรับใช้ด้วยกัน เป็นการรบกวนอีกฝ่ายแล้ว
เมื่อท่านย่าหม่าแหวกม่านที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ภาพที่เข้ามาในสายตาคือ ซ่งฝูหลิงกำลังสอนเสี่ยวซ่งทำชานมดอกไม้ขนมเค้ก ทั้งยังปลอบคนอื่นด้วยว่าไม่ต้องเครียด ใช่ว่าดอกไม้ขนมเค้กทุกแก้วจะถูกบีบออกมาได้หน้าตาเหมือนกันหมด ผ่อนคลายหน่อย
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนพวกนี้ก็คือจริงจังเกินไป จับที่บีบครีมราวกับถือระเบิดไว้ในมือ กลัวว่าจะทำมันลั่น
เดิมทีเรียนที่บ้านก็ทำได้ดี พอถึงเวลาจริงกลับเครียด เล่นเอาวันนี้นางต้องลงมือด้วยตัวเอง
แต่วันนี้ลูกค้าก็เยอะเกินไปด้วย จะเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนอะไรก็ไม่ได้ เดี๋ยวงานจะไม่ทัน
“ผู้ดูแล” ท่านย่าหม่าเรียก
ซ่งฝูหลิงเดินไปหา หลังจากฟังจบว่าเรื่องอะไร “ท่านย่าไปบอกปี้เอ๋อให้สั่งคนไปหาท่านพ่อ บอกให้เขาช่วยเขียนวิธีทำให้หน่อย”
พูดจบก็ไม่ได้อะไรมากอีก
——————————-
[1] ชื่อตำแหน่งขุนนางระดับกลาง