ปรับปรุงร้าน
ทุกวันเริ่มทำงานกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง พอฟ้ามืดสนิท เหล่าคนงานถึงแยกย้าย
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือร้านหนังสือของลู่พั่นที่อยู่ข้างกัน
ต้องทราบก่อนว่า ร้านหนังสือไม่ใช่แค่ขายหนังสือหรือขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ยังมีคนร่ำเรียนจำนวนมากที่มาเขียนอ่านหนังสือที่นี่
บรรดานักเรียนที่ซื้อหนังสือไม่ไหวจะชอบมาขลุกตัวอยู่ที่นี่ มาอยู่ทีก็ทั้งวัน
ทว่าข้างร้านกลับมีแต่เสียงอึกทึก ใครจะทนไหว
บางครั้งกำลังเขียนเข้าถึงอารมณ์ ขณะที่กำลังจรดปลายพู่กัน ข้างนอกก็มีเสียงตึง ตกใจสะดุ้งโหยง พู่กันเบี้ยว พอหันกลับมาดูอีกทีหมึกก็เลอะกระดาษเสียแล้ว
ต่อมาคนที่ได้รับผลกระทบก็คือร้านขนมเก่าแก่ ร้านประเภทที่ทำมาจนมีชื่อเสียงแล้ว
บรรดาเถ้าแก่ของหลายร้านจิตใจเริ่มไม่เป็นสุข
เดิมทีการแข่งขันก็สูงอยู่แล้ว ขนมโบราณสิ้นเปลืองวัตถุดิบมาก กำไรกดจนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย นี่ยังจะมีมาเปิดอีกร้าน
อีกทั้งต้องเผชิญกับ ‘คนใหม่’ ในวงการ
อยากจะทำเหมือนเมื่อก่อน ที่ถูกใจอันไหนก็เข้าไปขอซื้อสูตร แต่นี่ทำไม่ได้
ซื้อกิจการก็ไม่ไหวเหมือนกัน
อยากแอบใส่ร้ายป้ายสี ทำลายคู่แข่ง ก็ไม่มีความกล้าที่จะลงมือ
อยากให้ขุนนางของศาลาว่าการที่ควบคุมพวกร้านค้าช่วยออกหน้าแทนพวกเขา ออกมาข่มเหงสักหน่อย อย่างน้อยที่สุดก็ประมาณว่า มีสิทธิ์อะไรที่กันพื้นที่หน้าร้านไว้กว้างขนาดนั้น
ยังไม่ทันได้เข้าไปประจบ ขุนนางใหญ่ก็จัดหนัก ‘เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า เจ้าอยากให้หมวกขุนนางของข้าหลุดจากหัวหรือไง’
สรุปว่า จะทางสะอาดทางสกปรก ก็เดินไม่ได้ทั้งนั้น
ร้านขนมร้านใหม่ที่กำลังจะเปิดร้านนั้นกำลังเตรียมร้านอย่างออกหน้าออกตา
ราวกับกำลังตะโกนบอกพวกเขาว่า
‘ร้านของพวกเจ้ารวมตัวกันเข้ามาเลย ข้าไม่กลัวสักนิด
สู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ คุณหนูสามสกุลลู่หนุนหลังอยู่ เก่งขนาดนี้นี่แหละ
เอาชนะไม่ได้สินะ แบร้ๆๆ ลั้นลาลั้นลา’
ในบรรดาคนพวกนี้ คนที่หงุดหงิดที่สุดดูจะเป็นพี่ใหญ่ของวงการ สกุลหู
สกุลหูมีสาขาย่อยมากมายในแต่ละพื้นที่
ตอนนี้ผู้เฒ่าใหญ่สกุลหูไม่มีอารมณ์กอดอนุที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่แล้ว พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
ผู้เฒ่ารอง “จะให้ว่าไงล่ะ พี่ใหญ่ ข้าบอกท่านนานแล้ว เถ้าแก่ร้านที่เมืองถงเหยาส่งจดหมายมาบอกข้านานแล้ว ท่านเป็นคนพูดเองว่าไม่สำเร็จหรอก”
ถูกต้อง ไม่สำเร็จหรอก
ตอนนั้นผู้เฒ่าใหญ่สกุลหูมองพวกท่านย่าหม่าเป็นเพียงกลุ่มเด็กเล่นขายของ
อีกทั้งยังเปลี่ยนที่เล่นไปเรื่อย
เขาคิดว่า ‘กลุ่มเด็กเล่นขายของ’ ที่เข็นรถเร่ขาย มีหรือจะสู้ ‘กลุ่มคนจริง’ อย่างพวกเขาได้ เอาแค่คนพวกนั้น อยากซื้อห้องเปิดร้านก็คงต้องกระเสือกกระสนกันครึ่งปี ไว้ค่อยจัดการกับคนพวกนั้นก็ยังทัน รอเขาว่างก่อน
ผู้เฒ่าสามเอ่ย
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้จะโทษพี่รองที่ต่อว่าท่านไม่ได้นะ พี่ตัดสินใจผิดจริงๆ…
…ตอนนั้นพี่รองสั่งให้คนตามไปแล้ว สะกดรอยตามไปว่าคนพวกนั้นอาศัยอยู่ที่ไหน ตามยายๆ พวกนั้นไปจนรู้ที่อยู่แล้ว…
…ท่านกลับพูดว่า เบื้องหลังหลี่เจิ้งของหมู่บ้านนั้นไม่ธรรมดา บอกให้พวกเรารอก่อน...
…รอแล้วไง รอจนเกิดเรื่องใหญ่กว่าแล้ว…
…ให้ข้าพูดนะ ควรลงมือทั้งต่อหน้าและลับหลังตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถ้าพวกเขาสนิทกับหลี่เจิ้งคนนั้นจริง ทำไมถึงไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน”
ตอนนั้นผู้เฒ่าใหญ่ได้ฟังก็แค่รับฟังไว้ พูดตามตรง ไม่ได้เก็บเอาคนพวกนั้นมาใส่ใจ ในใจเอาแต่คิดอยากขลุกอยู่แต่ในห้องอนุที่เพิ่งใช้เงินซื้อมาแปดร้อยตำลึง
ผู้เฒ่าใหญ่สกุลหู ถูกน้องรองกับน้องสามตำหนิจึงหยิบเอา ‘ขนม’ ที่อยู่บนโต๊ะมาบิดออก ลองชิม “เรื่องมันผ่านไปแล้วยังจะพูดให้ได้อะไร เมื่อวานพวกเจ้ากินเหล้ากับพี่เฉินร้านอีผิ่นเซวียน เขาไม่ได้เล่ารึว่าคนพวกนั้นรู้จักกับจวนฉีได้ยังไง”
ผู้เฒ่ารอง “เปล่า ไม่พูดเลยสักนิด”
ผู้เฒ่าสาม “กลับเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมที่พูดออกมาว่าไม่ได้รู้จักกับจวนฉี”
“หืม?”
“จวนลู่ต่างหาก”
“อึก” นี่มันขนมบ้าบออะไร ฝืดคอ
วัตถุดิบก็ไม่แน่น
ถึงแม้จะไม่รู้วิธีทำ แต่อย่าคิดว่าเขาแยกไม่ออก เนื้อเบาอ่อนยวบ ไม่มีความละเอียด ทั้งหมดใช้การทำให้ฟูขึ้นมา คนชั้นสูงพวกนั้นทำไมถึงปล่อยให้คนพวกนี้หลอกได้ ทำขนมได้ไม่จริงใจขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่ารสนิยมก็งั้นๆ
แต่ผู้เฒ่าใหญ่กลับพูดออกไปว่า
“วงการเดียวกันใช่ว่าจะต้องตัดสินว่าใครใช้ได้ใช้ไม่ได้เสมอไป วิธีทำต่างกัน ยามจำเป็นก็ร่วมมือกันได้ใช่ไหมล่ะ…
…กินขนมของพวกเราพอแล้วก็ลองกินของพวกเขาบ้าง…
…กินของพวกเขาเบื่อแล้วก็จะกลับมาหาพวกเราอีก ถูกไหม…
…นี่ก็เหมือนกับผู้หญิงพวกนั้นในบ้านของพวกเรา คนเก่ามีดีของตัวเอง คนใหม่ก็มีดีของตัวเอง ถูกไหม”
ถูกกับผีสิ ผู้เฒ่ารองกับผู้เฒ่าสามคิดในใจ ตอนนี้พี่ใหญ่คิดแต่เรื่องผู้หญิง แตกต่างจากตอนเพิ่งเริ่มสร้างกิจการ เหมือนเป็นคนละคน ยิ่งแก่ก็ยิ่งไม่สนใจหาเงิน
แต่สุดท้ายหลังจากที่ทั้งสามคนหารือกัน กลับได้ข้อสรุปร่วมกันในเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ วันเปิดกิจการก็ยังต้องส่งของขวัญไปให้
สามวันต่อมา ซ่งฝูเซิงนั่งเกวียนไปเอาป้ายร้านสามแผ่นกลับมา
เดิมทีมีอยู่สี่แผ่นที่เหมือนกัน แต่ทิ้งหนึ่งแผ่นไว้ที่เมืองเฟิ่งเทียน
สามแผ่นนี้ต้องเอาไปติดที่ร้านในอำเภออื่น
“รีบมาดูสิ นี่ใครกัน” ทุกคนส่งเสียงกระซิบกระซาบรุมล้อมกันเข้ามา
เป่าจื่อวัยสองขวบ ลูกชายของหลี่ซิ่ว ชี้ป้ายพลางพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ท่านย่าซ่ง”
ทุกคนยิ้มออกมาทันที
เด็กไม่โกหก
นั่นก็แสดงว่าภาพนี้วาดได้เหมือนมาก วาดได้ดี อย่าเห็นว่าเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แม้แต่เป่าจื่อก็ยังมองออกว่าเป็นท่านย่าหม่า
ทุกคนเหมือนเห็นสิ่งแปลกใหม่ ล้อมกันเข้ามาดูป้ายร้านพร้อมแสดงความคิดเห็น ป้ายร้านก็ใส่รูปได้ด้วย
มีเพียงพวกคนร่ำรวยที่ชาตินี้จะมีภาพวาดได้ และก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนรวยทุกคนที่มีด้วย
คนจนยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ซ่งจินเป่าพูดด้วยความตื่นเต้น “เมื่อไรจะวาดให้ข้าบ้างล่ะ ข้าไม่รู้เลยว่าตัวเองหน้าตาเป็นยังไง”
พ่อของเขาด่าทันที “อยากจะเอากับเขาด้วยทุกเรื่อง เลิกฝันไปได้เลย ชาตินี้เป็นไม่ได้หรอก”
“ขนาดท่านย่ายังได้วาดเลย ข้าเพิ่งอายุเท่าไร ทำไมชาตินี้จะเป็นไปไม่ได้”
ทำพูดไป มีความเป็นไปได้จริงๆ นะ
คำขอของซ่งจินเป่า ถึงขนาดที่ไม่ต้องรอวันหน้า ตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้
แต่ความฝันจะเป็นจริงหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับว่าพี่พั่งยาของเขาจะเติมเต็มให้หรือไม่
เพราะซ่งฝูเซิงไปเอาป้ายร้านกลับมารอบนี้ ได้ซื้อสีกลับมาจากร้านวาดภาพให้ลูกสาวด้วย
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าซื้อกลับมาเพื่อให้ลูกสาวหาเวลาว่างวาดภาพให้ทุกคน
ก็แค่คิดว่าไปร้านวาดภาพทั้งที จะให้มือเปล่ากลับมาก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่อง ถ้าไม่ได้อะไรสักหน่อยก็เหมือนไปเสียเที่ยว
อีกทั้งซ่งฝูเซิงก็เคยชินจนติดเป็นนิสัยแล้ว เขาคิดในใจ
ครอบครัวคืออะไร ครอบครัวก็คือ เวลาอยู่ข้างนอกเจออะไรดีๆ ก็ซื้อกลับบ้าน เอากลับมาให้ครอบครัว ไม่ใช่ต้องจดเป็นรายการไล่เรียงในวันสองวัน แต่สะสมทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ นานวันเข้า ถึงมีคำพูดที่ว่า ครอบครัวเป็นสิ่งล้ำค่า
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเคยชินกับการเห็นอะไรก็ซื้อ เขาเลยลองถามจิตรกรดูว่ามีของถูกๆ หรือไม่ อย่างเช่นพวกสีที่ทำเสีย ขายให้เขาหน่อย อยากซื้อกลับไปให้ลูกสาวเอาไปวาดรูปเล่น
ทางนั้นยังคิดว่าลูกสาวของเขาเป็นเด็กเล็กที่อายุไม่กี่ขวบ จึงขายให้เขาในราคาถูก
พอได้ยินซ่งจินเป่าพูดแบบนี้ ซ่งฝูเซิงก็หันไปมองลูกสาวของเขาที่ยุ่งอยู่ในห้องทำขนมพลางคิด ไว้รอลูกสาวเขายุ่งเรื่องงานช่วงนี้ให้เสร็จก่อน ได้มีเวลาพักดีๆ จะหาเวลาว่างให้ฝูหลิงวาด ‘ภาพครอบครัว’ ให้ทุกคน
จะให้ดีต้องวาดก่อนที่บ้านพวกนี้จะถูกรื้อ ทุกคนยืนอยู่หน้าบ้าน วาดออกมาสักภาพหนึ่ง
ในอนาคต ใส่กรอบให้ดี แขวนไว้ที่ห้องชุมนุมของพวกเขา