สะใภ้เล็กสกุลสวี่นั่งอยู่ด้านล่าง สองมือประคองชาร้อนที่ปี้เอ๋อส่งให้นาง พลางรายงานให้ลู่จือหว่านฟัง
“ก่อนหน้านี้ดูเหมือนแม่นางซ่งจะเข้าใจผิดไป พอได้ยินว่าคุณหนูให้คนไปหาทำเลตั้งร้านอีกก็ดวงตาเบิกโพลง ข้าดูแล้วเหมือนนางจะกลัวมากเจ้าค่ะ”
ลู่จือหว่านได้ฟังก็หัวเราะ
สะใภ้เล็กสกุลสวี่พูดต่อ
“พอข้าเห็นท่าทางของนางจึงรีบอธิบาย คุณหนูเคยอ่านจดหมายของนาง พอรู้วิธีทำขนมแบบใหม่นี้อยู่บ้าง มีหรือจะบังคับให้นางทำมากมาย…
…จัดการตั้งร้าน ให้ของอื่นๆ ก็เพื่อแม่นางซ่งทั้งนั้น…
…นางก็ไม่ใช่คนสมองช้า พอพูดแบบนี้ไปก็เข้าใจได้เจ้าค่ะ”
ลู่จือหว่านพยักหน้าเล็กน้อย
พอใจท่าทีของซ่งฝูหลิงมาก
เพราะเหตุใดต้องหาทำเลตั้งร้านอีกสามแห่ง
เหตุผลมีสามข้อ
ข้อแรก ในสายตาของลู่จือหว่าน เป็นเพราะซ่งฝูหลิง เพราะคนพวกนั้นที่ซ่งฝูหลิงพูดถึง
พอได้ยินซ่งฝูหลิงบอกว่าจะไม่แยกจากคนพวกนั้น ท่านย่าของนางยังมีลูกน้องอีกหกคน ล้วนเป็นหญิงสูงวัยอายุมาก แบ่งเป็นคู่ๆ ช่วยกันเอาขนมไปขายตามอำเภอต่างๆ
ขายอย่างไร
ใช้วิธีเข็นรถกับแบกหาม
ซึ่งก็หมายความว่า เวลาอากาศหนาว คนพวกนี้ไม่มีแม้แต่ที่จะให้พักเท้า
ข้อสอง เอาขนมไปส่ง ถ้าลูกค้ารับขนม นั่นก็แสดงว่าโรงเตี๊ยมที่จองขนมน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเกิดวันใดลูกค้าไม่รับ เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็ทำได้เพียงเข็นกลับ หรือไม่ก็ลองเอาไปขายที่ตลาดนัด
แต่ในความเป็นจริง ขายที่ตลาดนัดไม่ค่อยมีความเป็นไปได้ ราคาแพง ขายยาก
ครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ใช้คำพูดของสาวใช้ปี้เอ๋อที่อยู่ข้างกายนางก็คือ
‘คุณหนูเจ้าคะ ถ้ากลับบ้านเกิดตอนเดือนหนึ่งแล้วเจอร้านขายขนมข้างทางที่ขายแพงแบบนี้ อย่างมากก็จะซื้อสักสองชิ้นกลับบ้านไปลอง นี่แค่อย่างมาก ถ้ามากกว่านี้ ไม่กล้าคิด ไม่สู้ซื้อบะหมี่คลุกหรือให้เงินพ่อแม่เสียยังจะดีกว่า มีหรือจะซื้อขนมที่ราคาแพงเช่นนี้’
พอลองฟังดู แม้แต่ปี้เอ๋อของนางก็ไม่มีทางซื้อ
สรุปว่า หากวันหน้าคนพวกนี้เจอคนที่กลับคำพูดก็ต้องขนกลับ หรือไม่ก็ร้องตะโกนขาย
ลู่จือหว่านคิดว่า แบบนั้นไม่ดี ทำลายชื่อเสียงของร้านนาง
ร้านขนมเค้กของเมืองเฟิ่งเทียน ขายราคาแพงขนาดนั้นก็ต้องทำให้เหมาะสม ของที่ขายในเมืองข้างล่าง ขนมที่มาจากร้านเดียวกันแต่กลับขายไม่ออก ตกต่ำถึงขั้นต้องไปเร่ขายในตลาดนัด ไม่มีแม้แต่หน้าร้าน
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์
ข้อสาม มีสาเหตุมาจากฉีตงหมิง ลู่จือหว่านคิดว่า ครั้งนี้สามีของนางคาดหวังในตัวนางมาก ทั้งยังพูดเชิงหยอกล้อว่า ‘ในอนาคตร้านขนมเค้กของเหนียงจื่อ จะต้องขยายจนมีสาขามากกว่าร้านขนมเก่าแก่พวกนั้นแน่นอน’
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีสาขามากหรือไม่ ร้านต่อๆ ไปจะทำเงินให้ได้หรือไม่ ควรค่าให้นางลงทุนขยายร้านและจัดการเรื่องพวกนี้อีกหรือไม่ ต้องใช้ตั๋วเงินอีกกี่ใบ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน
เอาแค่ว่า อย่าเพิ่งทำเป็นพูดไป ร้านเก่าแก่พวกนั้นขยายสาขาไปทางตอนล่างมากจริงๆ รู้สึกว่าใหญ่โตกว่านาง ร้านใหญ่กว่านางมาก มีหน้ามีตามากเหลือเกิน
นางแค่ร้านเดียวฟังดูเหมือนไม่มีเกียรติอย่างนั้นหรือ
ถึงขนาดที่สาขาย่อยสามารถทำกำไรให้นางได้เท่าไร นานแค่ไหนถึงจะคืนทุนที่ตั้งร้าน เรื่องพวกนี้ล้วนไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของลู่จือหว่าน
เหตุผลของลู่จือหว่านฟังขึ้นมาก เรื่องที่ยังไม่ได้ทำ ใครจะรู้ได้ ปีที่แล้วนางยังรู้สึกว่าแต่ละจวนชอบกินของที่ขนมาทางทะเล อย่างน้อยนางก็ชอบกิน ถึงได้ทุ่มเทเหมาเรือออกไป ปรากฏว่าสินค้ายังไม่ทันขนมาถึง เรือก็ล่มไปเสียก่อน
ดังนั้น นี่ก็เพื่อหน้าตา
เวลานี้ สะใภ้เล็กสกุลสวี่หยิบกระดาษหลายแผ่นออกมาแล้วยิ้มพลางพูดต่อ “แม่นางซ่งเข้าใจความหมายของคุณหนูทุกอย่าง รู้ว่าคุณหนูแค่ไม่อยากให้นางขาดเหลืออะไร อยากให้ทำขนมได้อย่างสบายใจ เรื่องตั้งร้านก็เพราะอยากให้พวกนางมีที่ขายของ ทุกอย่างพวกเราจะเป็นฝ่ายจัดการให้ มอบหมายมาให้ข้าจัดการอย่างสบายใจได้”
“อะไรหรือ” ลู่จือหว่านบอกให้ปี้เอ๋อหยิบมา นางต้องดู
สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือภาพป้ายร้าน “ใส่ภาพเหมือนด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ นางบอกว่าทุกร้านป้ายต้องเหมือนกัน ชื่อร้านกับภาพเหมือนของท่านย่านางต้องอยู่ด้วยกัน สะดุดตา ต้องแตกต่างจากร้านขนมร้านอื่นเจ้าค่ะ”
“หืม? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ลู่จือหว่านคิดในใจ ก็ไม่รู้ว่าท่านย่าของนางหน้าตาเป็นอย่างไร จะเอาขึ้นป้ายร้าน แขวนไปแล้วจะเป็นอย่างไรหนอ
“แล้วนี่อะไร”
“คุณหนูเจ้าคะ นี่เป็นภาพขนมที่แม่นางซ่งต้องการให้เอาไปให้จิตรกรวาด อีกทั้งต้องการให้พรุ่งนี้ข้าไปหาอีกครั้งเพื่อเอาขนมหลายชนิดที่นางจะขายตอนเปิดร้านไปวาดรูป จากนั้นก็ให้ทำกรอบรูปตามขนาดเท่านี้ บอกว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะเอาไปแขวนนอกร้าน ช่วยทำให้ผนังของร้านสวยงาม และคนอื่นก็จะเข้าใจง่ายขึ้นด้วย เลือกขนมแบบไหนก็ชี้เอา เลือกได้แล้วค่อยเข้าไปดูของจริงในร้านแล้วซื้อกลับเจ้าค่ะ”
ลู่จือหว่านชี้กระต่ายสีขาวตัวใหญ่ที่ซ่งฝูหลิงวาดบนกระดาษ รู้สึกตกใจมาก ยังวาดรูปเก่งอีกด้วย ทำไมถึงวาดได้ใสซื่อเช่นนี้ “อันนี้หมายความเช่นไร คงไม่ได้จะให้จิตรกรวาดด้วยหรอกนะ ข้าว่านางก็วาดใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องให้จิตรกรวาดใหม่”
“ไม่จำเป็นต้องให้จิตรกรวาด แต่ต้องพิมพ์ภาพเจ้าค่ะ”
สะใภ้เล็กสกุลสวี่ชี้กระต่ายขาวตัวใหญ่พลางบอกลู่จือหว่าน “กระต่ายขาวตัวนี้ แม่นางซ่งบอกว่านางต้องการทำขนมเค้กม้วนกระต่ายขาว ซึ่งก็แบบเดียวกับขนมปังกรอบม้วน เพียงแต่ขนมปังกรอบม้วนสีเหลือง ขนมที่แม่นางซ่งทำเป็นสีขาวทั้งหมด สอดไส้ครีม จึงเรียกว่า ขนมเค้กม้วนกระต่ายขาว
ต้องการให้ช่างพิมพ์ทำแม่พิมพ์รูปกระต่ายนี้ออกมา จากนั้นก็จะประทับตรากระต่ายนี้ลงบนกระดาษขาวที่ใช้ห่อของกิน
เมื่อถึงเวลาก็จะใช้กระดาษที่มีรูปกระต่ายนี้ม้วนห่อขนมชนิดนี้ ขายเป็นม้วนๆ ขนาดของแต่ละม้วนก็จะประมาณแป้งทอดที่จับได้ถนัดมือ”
ต่อมาลู่จือหว่านก็ตาลาย
ซ่งฝูหลิงยังต้องการทำโรลถั่วแดง เครปเค้กที่ม้วนเหมือนผ้าขนหนู แต่ข้างบนเขียนว่าขนมม้วนผ้าเช็ดหน้า
ปี้เอ๋อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาม้วน “คุณหนูดูสิเจ้าคะ ก็คือขนมที่ม้วนเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ”
โดนัทที่มีสีสัน ขนมไข่แบบแผ่น ขนมปังเนย มาการ์เร็ตคุกกี้ เป็นต้น สิบกว่าอย่าง นอกเหนือจากขนมเค้กวันเกิดแล้ว ทุกร้านก็จะมีขนมชิ้นเล็กๆ วางขายไปพร้อมกันด้วย
“นี่คือตู้วางหรือ”
สะใภ้เล็กสกุลสวี่พยักหน้า “คุณหนูเจ้าคะ แม่นางซ่งบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าตู้โชว์เจ้าค่ะ บอกว่าขนมของพวกเราไม่เหมือนร้านขนมร้านอื่น ยามนี้เป็นฤดูหนาวไม่กลัว ทว่าครีมที่อยู่บนขนมเค้ก เมื่อถึงหน้าร้อนจะไม่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว จำเป็นต้องสั่งทำตู้แบบนี้อย่างที่นางต้องการ ด้านล่างมีที่ว่างเอาไว้วางถาดน้ำแข็ง นอกจากนี้…”
ไม่ต้องนอกจากนี้แล้ว และก็ไม่ต้องลำบากใจ ลู่จือหว่านมองออกแล้วว่าซ่งฝูหลิงต้องการวางอะไรบนตู้
นางเองก็มองออก หากวางของสิ่งนั้น ตู้โชว์ก็จะดูมีระดับขึ้นมาไม่น้อย
ลองจินตนาการดู หยิบขนมเค้กที่มีดอกไม้ออกมาจากข้างใน
ไอ๊หยา ถ้าไม่มีภาพอันสวยงามที่จินตนาการในสมอง จิตใจก็คงไม่ปั่นป่วน
ลู่จือหว่านเหลือบมองห้องด้านในที่มีโต๊ะเครื่องแป้ง
เด็กคนนั้นต้องการกล่องกระดาษ ต้องการกระดาษห่อขนม ต้องการผ้าบางที่ใช้สำหรับห่อกล่องขนมเค้ก ของพวกนี้นางมีหมด
มีแค่ของสิ่งนี้
นางมีที่ไหนกันล่ะ
แต่น้องชายนางมี อีกทั้งไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรด้วย
ยังไม่ได้แต่งงาน เก็บเครื่องแก้วหลากสีพวกนั้นไว้ทำอะไรกัน ขอให้นางสักชิ้นสองชิ้นก็พอ นางเป็นพี่สาวแท้ๆ เชียวนะ
“ปี้เอ๋อ”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เป็นนายบ่าวกันมาหลายปีแล้ว แค่เดาก็รู้ว่าคุณหนูอยากให้นางกลับไปที่จวนผู้สำเร็จราชการ
ลู่จือหว่านคิดในใจ ถ้าเกิดว่า ถ้าเกิดน้องชายของนางใจกว้างขึ้นมาล่ะ ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร
ก่อนลู่พั่นขึ้นม้าได้หันไปหาซุ่นจื่อด้วยสีหน้าประมาณว่าพี่สาวคนที่สามของเขาบ้าไปแล้วหรือ ไม่มี
ซุ่นจื่อ “คุณชาย ข้า ข้า ข้าแค่มาถ่ายทอดคำพูด ข้าจะไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้”