พวกซ่งฝูเซิงต่างคิดว่าคุณหนูสามสกุลลู่พึ่งพาไม่ได้ ถึงได้ไม่มายุ่งอีก
นางจะไม่สนใจก็ได้ เรื่องอะไรก็ตาม พอไปถึงคุณหนูใหญ่ พูดสองคำก็จบเรื่อง นางจะทำอะไรได้ ส่วนที่เหลือก็ต้องจัดการกันเอง
ซ่งฝูเซิงครุ่นคิด ถ้าเช่นนั้นเขาจัดการแล้วกัน เอาเงินมาลงทุน
เอาเงินสองส่วนที่มีอยู่ในมือโยนใส่ลงไป สร้างร้านให้ลูกสาวก่อน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกไปตั้งแต่เช้ามืด ลูกสาวของเขากับหมี่โซ่วยังไม่ตื่น
ไปพร้อมกลุ่มของท่านยายกัวที่เอาขนมไปส่งเมืองถงเหยา และก็ไปพร้อมกับขนมยี่สิบกว่าถาด บรรทุกท่านย่าหม่าที่อยากจะตามไปด้วยให้ได้
ซ่งฝูเซิงเองก็ไม่ได้ห้ามท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่าอยากไปก็ไป ก็พอดีจะได้พาไปตรวจชีพจร ไม่อย่างนั้น ถ้าบอกว่าจะพานางไปหาหมอ นางไม่มีทางยอมไป
โรคหวัดร้อนที่นางเป็น จนถึงตอนนี้ยังไม่หาย ดูท่าทางไม่เพียงแต่จะไม่ดีขึ้น ยังมีเค้าลางว่าจะเป็นหนักอีกด้วย ไม่กล้าไปที่ห้องอบขนมแล้ว จามบ่อย พูดจาเสียงก็แหบ ไม่ไหวต้องไปจับยากลับมาต้มกินสักหน่อย
ท่านย่าหม่าไม่รู้แผนของลูกสาม นางคิดในใจ วันนี้ต้องเอาตัวอย่างขนมกลับมา วันหน้ายังต้องขึ้นราคาอีก ประเดี๋ยวโรงเตี๊ยมกับหอนางโลมได้ข่าวจะไม่พอใจพวกเรา
นั่นเป็นแหล่งหาเงินที่นางสร้างมา นางอยากไปอธิบายกับพวกเขาด้วยตัวเอง
สุดท้ายไม่ต้องสนว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ช่าง นางก็อยากออกหน้า นี่คือความจริงใจ
ก็เหมือนกับที่ลูกสามสอนนางพูด ก็บอกเขาไปตามความจริงเถอะ
นางไม่ได้เป็นเถ้าแก่คนเดียว ตัดสินใจอะไรไม่ได้มาก หลายเรื่องอย่างเช่นราคา ต้องสุดแล้วแต่ทางเมืองเฟิ่งเทียน ต่อไปจะไปร่วมกันเปิดร้านกับคนอื่นแล้ว เถ้าแก่ใหญ่ไม่สะดวกออกหน้าว่าเป็นใคร แต่ไปสืบจากที่ตั้งร้านดูก็รู้ว่าเป็นของใคร
อีกทั้งเรื่องเกี่ยวกับขนมเค้กวันเกิด ต่อไปก็ทำได้เพียงขายปลีกแล้ว
อย่างไรเสีย เมื่อก่อนจ่ายแค่ตำลึงสองตำลึงก็ซื้อขนมเค้กก้อนสิบหกนิ้วได้แล้ว โรงเตี๊ยมกับหอนางโลมได้กำไรส่วนต่างไปมากโข ต่อไปก็ไม่ต้องคิด ต้องสิบตำลึง
ซ่งฝูเซิงยังได้พาหนิวจั่งกุ้ยไปด้วย เอาเกวียนที่มีวัวเทียมสองตัวที่คุณหนูสามให้มาแยกเป็นสองเล่ม วัวหนึ่งตัวเทียมหนึ่งเกวียน
เพราะเขาไปเมืองถงเหยาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะไปเอาโมเดลขนมเค้กกลับมา ต้องไปตามหาช่างไม้ฝีมือดีอีกด้วย เพื่อปรึกษาทำป้ายร้าน ดูว่าจะทำตู้โชว์ได้หรือเปล่า สั่งทำโต๊ะเก้าอี้หลายชุดใช้เวลากี่วัน ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไร
ถ้าราคาแพงเกินไป เขายังต้องไปที่อำเภออื่นอีก เมืองเฟิ่งเทียนไม่ต้องเก็บเอามาพิจารณาเลย ข้าวของเมืองเฟิ่งเทียนราคาสูงลิ่ว
เอาเป็นว่า ซื้อของต้องเทียบราคา เงินในกระเป๋ามีไม่มาก ต้องใช้อย่างประหยัด
อีกทั้งขากลับจะตีรถเปล่าไม่ได้ อยากซื้อกระเทียม
กระเทียมเหลืองในแปลงเพาะปลูกใต้ดิน งอกอีกครั้งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ขายแพงขนาดนั้น ของต้องดี
คนรวยซื้อของก็แบบนี้
พวกเขาซื้อของราคาแพงได้ แต่ของนั้นต้องดีจริง จะบอกว่าขายราคาถูกๆ ให้ไม่ได้หรือ แต่คนรวยเขาไม่ซื้อของถูก คนที่กินของแพงแบบนั้นได้ เขาจะเอาของถูกทำไม แค่อยากได้ของดี
ดังนั้นซ่งฝูเซิงไม่อยากหลอกลวง กระเทียมเหลืองงอกอีกรอบเขาก็วางแผนว่าจะถอนทิ้งแล้วปลูกใหม่
“กระเทียมขึ้นราคาก็ยังต้องซื้อ ขึ้นเท่าไรก็ซื้อ ต่อให้พวกเราได้กำไรน้อยลงก็จะอยู่ว่างไม่ได้ เข้าใจไหม” ลุงซ่งตะโกน
“รู้แล้ว กลับไปเถอะ ลุงแก่แล้ว ไปนอนพักอีกหน่อย”
ชายชราไม่กลับ แต่ถือคบเพลิงเดินขึ้นหน้ามาอีก เขาเป็นห่วง “ระวังด้วยฝูเซิง เมื่อวานเจ้าขุดร่อง พั่งยาเกือบหล่นลงไป ฟ้ามืด เดินระวังๆ”
“รู้แล้ว คราวนี้มีหนิวจั่งกุ้ยไปด้วย วางใจเถอะ”
ซ่งฝูเซิงมีหรือจะรู้ แบบนี้เรียกว่า คนมีบุญแค่อยู่เฉยๆ ก็สมดั่งใจ คนไร้วาสนาเหนื่อยแทบตายก็ยังไม่สมหวัง
พอเขาบรรทุกแม่ออกไป คนของคุณหนูสามก็มา
สะใภ้เล็กสกุลสวี่ เมื่อก่อนเป็นสาวใช้ใหญ่ของลู่จือหว่าน เมื่อถึงวัย ได้ถูกปล่อยไปให้แต่งงานกับหัวหน้างานที่รับผิดชอบงานใหญ่ของลู่จือหว่าน
สะใภ้เล็กนั่งรถเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นเวลาประมาณแปดโมงกว่า
เวลานี้คนที่เดินอยู่ในหมู่บ้านย่อมสังเกตเห็น
เหล่าสตรีตัวขาวอวบอ้วน สองมือโผล่ออกมานอกเสื้อกันหนาว เดินหน้าเข้าไปหา มองด้วยสายตาอิจฉาพลางถาม “ท่านมาหาใครรึ” ดูบุคลิกท่าทางสิ แถมยังมีสาวใช้ด้วยนะ
สาวใช้ที่อยู่ข้างสะใภ้เล็กแหวกม่านออก บอกว่านางต้องการมาหาซ่งฝูเซิงที่อยู่หมู่บ้านเหรินจยา
“ซ่งฝูเซิงหรือ” เหล่าสตรีร่างอวบขมวดคิ้ว ซ่งฝูเซิงคือใครกัน
“คนที่เพิ่งมาอยู่หมู่บ้านของพวกท่าน”
“อ๋อ ท่านหมายถึงคนพวกนั้นหรือ เอ๊ะ พวกท่านมาหาพวกเขาทำไมกัน เป็นญาติหรือว่าอะไร ทำไมช่วงนี้มีรถมาหาเขาบ่อย”
คนพวกนั้นเพิ่งจะมาอยู่ แล้วไปรู้จักกับคนรวยได้อย่างไร
สาวใช้ร้ายกาจไม่เบา แสดงสีหน้ารำคาญ ถามทาง แค่บอกว่าอยู่ไหนก็พอแล้ว ทำไมพูดมากขนาดนี้ “ท่านรู้จักหรือไม่”
เหล่าสตรีร่างอวบยิ้มให้ ไม่กล้าล่วงเกินคนรวยตามสัญชาตญาณ แต่ในใจกลับคิด ชิ ดูท่าทางอวดดีนั่นสิ พวกอาศัยเจ้านายคุ้มกะลาหัว “แหะๆ ข้าก็แค่ลองถามดูเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่น เอ่อคือ พวกเขาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตรงข้ามนู่นแน่ะ”
“มีคนมา จะข้ามแม่น้ำแล้ว” ตอนเช้ายามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ล้วนเป็นเอ้อร์เนียนปาที่อายุมากกว่าซ่งจินเป่าหลายปีที่ขยันขันแข็ง กลัวว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเดี๋ยวน้องซ่งจินเป่าจะหนาว จึงปล่อยให้นอนอู้ไปก่อน
วันนี้พอทุกคนได้ยินเสียงแจ้งเตือนกลับดูใจเย็นกว่าปกติมาก
มาก็มาสิ ยังไม่ได้เอาพวกม่านผ้าห่มขึ้นสักหน่อย ไม่มีแดดจะเอาขึ้นทำไม
กลับเป็นสะใภ้เล็กสกุลสวี่ที่นั่งอยู่บนรถ พอผ่านกระท่อมเวรยามก็แปลกใจเล็กน้อย นี่มีคนเฝ้ายามด้วยหรือ
พอเห็นลุงซ่ง สะใภ้เล็กสกุลสวี่รวมถึงสาวใช้ที่นางพามาก็ไม่ได้ทำท่าทางหยิ่งยโสเหมือนตอนเจอเหล่าสตรีร่างอวบ ท่าทีดีมาก
อีกทั้งตอนเห็นบ้านเก่าๆ พวกนี้เป็นครั้งแรก ใบหน้าก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าบ้านเรือนพวกนี้ปกติมาก
อันที่จริงนับตั้งแต่สะใภ้เล็กสกุลสวี่ลงจากรถ เข้ามาในเขตบ้าน ก็ได้สังเกตเห็นก้อนหินกองพะเนินที่เอาไว้สำหรับสร้างบ้านแล้ว ลองสูดกลิ่นก็พอจะรู้ตำแหน่งของห้องอบขนม
เพียงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า แนะนำตัวกับลุงซ่ง
สะใภ้เล็กสกุลสวี่บอกว่า พวกนางมาจากเมืองเฟิ่งเทียน ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย อยากพบบุตรสาวของซ่งฝูเซิง แม่นางซ่งฝูหลิง
อีกฝ่ายแต่งตัวดี พูดจาสุภาพ เล่นเอาลุงซ่งทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ พวกเขาเป็นคนบ้านนอก เนื้อตัวสกปรก อีกฝ่ายกลับพูดอย่างเป็นทางการด้วย
บุตรสาวของซ่งฝูเซิงก็พั่งยามิใช่รึ อ๋อ ใช่ ตอนนั้นฝูเซิงเคยบอกอยู่ว่าลูกสาวมีชื่อแล้ว ชื่อฝูหลิงไง “พั่งยาหรือ”
ลุงซ่งตะโกนเรียก เหล่าสตรีหลายคนที่แอบฟังอยู่ตลอดก็ตะโกนเรียกตาม “พั่งยา รีบมาเร็ว พั่งยา”
ยามนี้ซ่งฝูหลิงเพิ่งตื่น ตอนนี้เพิ่งหาของกินให้น้องชายเสร็จ
เช้านี้ทั้งสองคนไม่ได้กินข้าวพร้อมกับทุกคน ของที่กินเป็นคุกกี้จุ่มนม คุกกี้เป็นคุกกี้เนยที่ใช้วัตถุดิบจัดเต็ม ตั้งใจใส่เนยแบบที่ไม่หวง
หลังจากตัวเองกับน้องชายกินอิ่มก็กำลังทำอาหารให้เสี่ยวหง หั่นแครอท ต้มโจ๊ก
พอได้ยินเสียงหลายคนตะโกนเรียกนางจึงยืนขึ้น เอาผ้ามาเช็ดมือแล้วออกไป พลางคิดในใจ คุณหนูสามคงไม่ได้ส่งคนมาอีกแล้วนะ
อันที่จริงเช้าวันนี้ตื่นมา พอได้ยินว่าพ่อของนางออกไปแล้ว นางก็พูดว่า นางรู้สึกว่า คุณหนูสามอาจส่งคนมา ทำไมคุณพ่อถึงได้ใจร้อนขนาดนี้
เล่นเอาเฉียนเพ่ยอิงโมโหจนโยนผ้าสำหรับนึ่งอาหารทิ้ง น้อยใจแทนสามี บอกว่าจะไม่ทำอาหารให้ลูกสาวแล้ว “รู้สึกแบบนั้นทำไมไม่รีบบอก พ่อของเจ้าหนาวจะตาย ตื่นแต่เช้านั่งเกวียนออกไปตอนไปฟ้ายังมืดอยู่เลย”
ซ่งฝูหลิง “เรื่องของความรู้สึกมันพูดส่งเดชได้เหรอ”
เฉียนหมี่โซ่ว “ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกของพี่สาวถูกตลอดเลย”
เฉียนเพ่ยอิง “เจ้าสองคนนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยใช่ไหม อยากกินอะไรกินกันไปเลย รู้สึกกันเก่งดีนัก”
ซ่งฝูหลิงพาสะใภ้เล็กสกุลสวี่กับสาวใช้เข้าไปในบ้านตัวเอง ท่ามกลางเหล่าป้าๆ น้าๆ ที่ขยิบตาให้
ลุงซ่งคอยต้อนรับคนคุมรถม้า
นางเองก็ไม่เข้าใจ พวกป้าๆ น้าๆ ขยิบตาให้นางหมายความว่าอย่างไร
จะหมายความว่าอย่างไรได้ ก็อยากให้พั่งยาต้อนรับให้ดี พูดคุยให้ดี
พี่สาวแท้ๆ ของแม่ทัพเล็ก จะต้องเป็นคนเก่งมากอย่างแน่นอน พวกเราห้ามเสียเปรียบ
ร่วมมือเปิดร้านกับคนรวยที่เดินถือโคมตามหายังหายาก ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
พั่งยา เจ้าต้องรักษาวาสนาเอาไว้ให้ดี เจ้าต้องจับคุณหนูสามไว้ให้แน่น อย่าปล่อยนางหลุดมือไป พั่งยา เจ้าต้องต้อนรับขับสู้คนที่คุณหนูสามส่งมาให้ดี ด้วยเหตุนี้พวกนางถึงขยิบตาให้ กลัวว่าซ่งฝูหลิงยังเด็ก บรรดาป้าๆ น้าๆ ถึงได้ขยิบตาเป็นเชิงเตือน
สะใภ้เล็กสกุลสวี่รับถ้วยน้ำ เหลือบมองถ้วยชาอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่ทันให้สังเกตได้ เอ่ยขอบคุณซ่งฝูหลิงแล้วเม้มริมฝีปากจิบชา
ลองลิ้มรส เป็นชาขิง
น้ำตาลทรายแดง ขิง ชา ประเด็นสำคัญอยู่ที่ชา
ครอบครัวแบบนี้ดื่มชา
สะใภ้เล็กสกุลสวี่คิดในใจ ต่อให้ใบชาที่ใช้เป็นชาระดับล่างสุดเอามาทำชาขิง ดื่มทั้งปีก็ต้องใช้เงินประมาณหนึ่ง
อีกทั้งมองออกเลยว่าเด็กคนนี้น่าจะดื่มบ่อย เพราะไม่ได้ตั้งใจชงให้นางเป็นพิเศษ
หลังจากนางเข้ามาในบ้าน ไม่นานก็ยกน้ำชามาให้ นั่นก็แสดงว่ามีพร้อมอยู่ในบ้านตลอด
“แม่นางซ่ง ข้าได้รับคำสั่งจากคุณหนูให้มาพบเจ้า เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องหารือกับเจ้า”
“เชิญว่ามาได้”
“เรื่องเป็นแบบนี้ คุณหนูส่งคนไปหาวัวนมแล้ว อีกประเดี๋ยวจะเอามาส่งให้เจ้า น่าจะพรุ่งนี้ได้ ไม่รู้ว่าเอาวัวนมมาเพิ่มให้เจ้าสี่ตัวพอใช้หรือไม่”
ซ่งฝูหลิง…“พอเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นเฉียนหมี่โซ่วก็กำหมัดคารวะสะใภ้เล็กสกุลสวี่ จากนั้นถึงพูดกับซ่งฝูหลิง “ท่านพี่ ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน ไม่รบกวนพวกพี่ๆ คุยกันแล้ว”
ซ่งฝูหลิง…ไม่ชินกับหมี่โซ่วที่เป็นแบบนี้เลยจริงๆ “ไปเถอะ”
หมี่โซ่วถอยหลัง หลังจากเดินถอยออกไปอย่างมีมารยาทก็หันหลังแล้ววิ่งออกไป
ในบ้านมีแขกมา ต้องระวังเรื่องมารยาท
แต่พอวิ่งออกไปก็กลับเป็นคนเดิม หมี่โซ่ววิ่งไปที่คอกม้า “เสี่ยวหง ทำยังไงดี จะมีวัวมาเพิ่มอีกสี่ตัว ที่นอนของแกจะแคบยิ่งกว่าเดิมแล้วนะ”
เสี่ยวหงคิดในใจ เลิกพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้เถอะ ข้าวข้าล่ะ
“เฮ้อ เสี่ยวหง ข้ารู้ว่าแกกลุ้มใจ ซื่อจ้วง มานี่หน่อย” หมี่โซ่วกวักมือเรียกซื่อจ้วง “จูงเสี่ยวหงออกไปเดินเล่นหน่อย จะได้สบายใจ ข้ากลัวมันไม่สบาย”
เสี่ยวหง ข้าไม่ได้กลัวไม่สบาย พอมาถึงบ้านเจ้า เรื่องที่ข้าจะเป็นบ้าที่สุดคืออาหารของข้า!
“แม่นางซ่ง คุณหนูฝากมาบอกว่า นางได้ส่งหัวหน้างานไปเสาะหาทำเลตั้งร้านด้วย”
“ทำเลอะไรหรือ ไม่ใช้ร้านที่มีสองชั้นนั่นแล้วหรือ”
“ไม่ใช่แบบนั้น เมื่อวานเจ้าบอกว่าพวกเจ้าก็ได้ขายขนมไปที่อำเภอจยา เมืองถงเหยา อำเภออวิ๋นจง คุณหนูเลยคิดว่า ไม่สู้ทำไปพร้อมกันทีเดียว ทำร้านทั้งหมด”
ซ่งฝูหลิง “…”
“เพียงแต่ แม่นางซ่ง ฉุกละหุกไปหน่อย เกรงว่าคงหาทำเลที่เหมาะสมอย่างในเมืองเฟิ่งเทียนไม่ได้”
เฉียนเพ่ยอิงที่แอบฟังอยู่ตรงหัวมุมพอฟังถึงตรงนี้ก็หันตัวเดินออกเงียบๆ
เห็นที นี่ต่างหากที่เหมือนจะเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการ
ที่แท้สมัยโบราณ เจ้านายจะไม่มาคุยโดยตรง
ให้ตายเถอะ จะตั้งอีกสามร้าน
คุณหนูลู่คนนั้นเด็ดได้ใจจริงๆ