ทุกคนพอได้ฟังต่างก็คิดว่าการกำหนดราคาของลู่จือหว่านดูเพ้อฝันไปมาก
ถึงขนาดที่ท่านย่าหม่ารู้สึกว่า คุณหนูสกุลใหญ่ผู้นี้อาจอยู่ในตระกูลใหญ่เกินไป ใหญ่ถึงขนาดนี้ไม่รู้ถึงความลำบากของคนข้างนอก จะทำให้นางเสียเวลาหาเงิน
กล้าขายแพงขนาดนั้น นี่ไม่เท่ากับตั้งใจทำให้การค้าเล็กๆ ที่เก็บเล็กผสมน้อยของนางต้องเจ๊งลงหรอกหรือ ดูเหมือนสมองจะมีปัญหา
ทว่าเวลานี้ ฉีตงหมิง สามีของลู่จือหว่านกลับเอ่ยปากชม “เจ้าฉลาดมาก”
ชื่นชมจากใจจริง
“ใช่ไหมล่ะ” ลู่จือหว่านถูกชมก็ดีใจมาก นางที่อยู่ในสภาพมีแต่ชุดตัวใน ปล่อยผมสยาย นั่งยืดตัว อยากนั่งมองพูดคุยกับสามี
ฉีตงหมิงรีบเอาผ้าห่มคลุมให้นาง ประเดี๋ยวจะไม่สบาย
เขาทะนุถนอมภรรยาของเขามาตั้งแต่เด็ก
ตอนนั้นท่านพ่อยังเป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ เขาได้แต่มองอยู่ไกลๆ วาดฝันไว้ว่าอยากแต่งงานกับลู่จือหว่าน
ต่อมาท่านพ่อของเขาสวรรค์คุ้มครอง ได้เลื่อนขั้นเร็ว ขุนศึกอาศัยผลงานการรบ เขาเองก็ยื้อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ยื้อเรื่องมีครอบครัวไปจนกระทั่งมีคุณสมบัติที่จะไปทาบทามสู่ขอกับสกุลลู่ได้ ฝันที่สวยงามเป็นจริง อีกทั้งภรรยายังได้ให้กำเนิดบุตรชายที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย
ปีที่คลอดบุตรชาย เขามีงานรัดตัวอยู่ด้วยไม่ได้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ก็จะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
และก็นับแต่ให้กำเนิดบุตรชาย สุขภาพของภรรยาเขาก็ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านสกุลลู่แล้ว ทนความหนาวเย็นไม่ได้
มองลักยิ้มที่อยู่ข้างริมฝีปากของลู่จือหว่าน ความคิดของฉีตงหมิงเตลิดไปไกล บอกว่า “เจ้านอนหนุนแขนข้าสิ พวกเราคุยกันในผ้าห่ม หืม? คุยในผ้าห่มไม่ทำเสียเวลาหรอก จริงๆ นะ”
“เอาดีๆ ท่านพี่ ท่านฟังข้าพูดให้จบสิ”
“ได้ๆๆ ข้าตั้งใจฟังอยู่” หลังจากฉีตงหมิงเอาแขนออกให้หนุนนอนก็มองลู่จือหว่านพลางยิ้ม
“ดูสิท่านพี่ เอาแค่ในเมืองนี้ ขุนนางที่ขั้นสี่ขึ้นไปมีอยู่กี่บ้าน...
…พวกเราไม่ต้องไปนับทุกคนที่จะฉลองวันเกิด และก็ไม่ต้องไปนับว่าทุกคนที่ฉลองวันเกิดจะต้องซื้อขนมเค้ก…
…พวกเรานับแค่นายของแต่ละจวน นายท่านกับฮูหยินของแต่ละบ้าน หรือฮูหยินเฒ่า มีความนิยมล่าสุดเรื่องขนมเค้กวันเกิดในเมืองเฟิ่งเทียน คนเป็นลูกหรือลูกสะใภ้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านอย่างข้า พอได้ยินเข้าก็ต้องสั่งซื้อให้พวกเขาหรือเปล่า…
…มองอีกมุมหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในบ้านของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปแต่ละบ้าน เอาแค่ฉลองให้คนคนเดียวในครอบครัว ก็สั่งจองขนมเค้กราคาสิบตำลึงที่ถูกสุดในร้านเรา…
…ขอแค่หนึ่งครอบครัวสั่งขนมร้านของเรา ในหนึ่งปีจ่ายแค่สิบตำลึง ท่านพี่ ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปมีทั้งหมดกี่ครอบครัว ท่านพี่น่าจะรู้ดีกว่าข้า”
ไม่คำนวณอย่างละเอียดยังไม่รู้สึก ฉีตงหมิงขมวดคิ้ว ดีไม่ดีในหนึ่งปี ภรรยาของเขา เอาแค่ร้านขนมเค้ก ก็สามารถชดเชยส่วนที่ขาดทุนจากการขายสินค้าทางทะเลกับเครื่องกระเบื้องได้แล้ว
“เหนียงจื่อ จ่ายเงินซื้อบ้านละสิบตำลึง ถ้าเช่นนั้นกิจการที่เป็นสมบัติของเจ้า อย่างน้อยๆ รายได้ในหนึ่งปี พันสองพันตำลึงก็คงไม่มีปัญหา…
…อีกอย่าง จวนไหนกันที่ทั้งปีจะซื้อแค่ขนมเค้กวันเกิดก้อนเดียว มีหรือจะใช้จ่ายแค่สิบตำลึงในร้านของเจ้า…
…ถ้าเขาไม่ซื้อ เอาแค่คนแบบข้า ถ้าเหนียงจื่อไม่พูด ข้าก็คงไม่รู้ ถ้าซื้อ ก็จะซื้อให้ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ด้วย…
อีกทั้งเจ้ายังไม่ได้นับพวกตระกูลขุนศึกที่มีขั้นยศพวกนั้น และยังไม่ได้นับพวกตระกูลพ่อค้าร่ำรวยข้างนอกกับพวกเศรษฐีรอบๆ อีก…
…ข้าจะบอกให้นะเหนียงจื่อ คนพวกนั้นต่างหากที่ยอมจ่ายอย่างแท้จริง…
…เอาแค่ก่อนหน้านี้ พวกบ่าวรับใช้ยังพูดกันอยู่ว่า คณิกาชื่อดังของหอว่านฮวาหายไปทีละคน ดันใครออกมาก็ขายได้ แล้วพวกนางไปไหนกันล่ะ ทั้งหมดล้วนถูกพ่อค้าพวกนั้นทุ่มตั๋วเงินซื้อไปหมดอย่างไรล่ะ จะคณิกาคนไหนก็ต้องซื้อด้วยเงินหรือทองคำแท้สองสามพันตำลึงแล้วส่งไปรับใช้ตามจวนต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์…
…ข้าว่านะ ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์อย่างพวกเราเมื่อเทียบกับตระกูลพ่อค้าพวกนั้นยังดูมีแต่เปลือกเลยด้วยซ้ำ”
ฉีตงหมิงครุ่นคิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ “เจ้าทำเช่นนี้ เท่าที่ข้าดู กำหนดราคาแพงขึ้นอีกหน่อยดีกว่า เอาให้แพงหน่อย ต่อให้จวนต่างๆ ไม่รู้ เศรษฐีพวกนั้นก็ต้องซื้อไปมอบให้อยู่ดี การแสดงออกอย่างอื่นไม่นับ ขนมเค้กวันเกิดมีความหมายแฝง เจ้าก็บอกอยู่มิใช่หรือว่าด้านบนเขียนข้อความได้ และถ้าเจ้าขายไม่แพง พวกเขาก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะซื้อไปมอบให้”
ลู่จือหว่านรู้สึกว่า คุยกับใครก็ไม่มีหัวข้อสนทนาร่วม มีแค่สามีของนางเท่านั้นที่คุยถูกคอกันที่สุด
ลู่จือหว่านตบหลังมือ “ใช่ไหมล่ะ ท่านพี่ การก้าวเดินของข้าก้าวได้สั้นมากแล้ว คนอย่างข้า เฮ้อ เสียอยู่อย่าง ทำอะไรขอเอาแน่เอานอนไว้ก่อน สุขุมเยือกเย็นเกินไป”
ฉีตงหมิงเห็นด้วย “เหนียงจื่อ เจ้าลองคิดดูอีกที ใจเย็นเกินไปก็ไม่ดี เรื่องนี้พอคำนวณดูกำไรมากทีเดียว”
“แต่ข้าก็ทำนางลำบากใจไม่ได้ ข้าประทับใจในตัวนาง”
“ใครรึ คนทำขนมหรือ ทำไมล่ะ”
“นางบอกทำไม่ได้ ให้สาวใช้ที่หมดสัญญาไปช่วยก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ข้าว่านะ คนทำขนมพวกนั้นของนางต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง แม้แต่ดอกไม้บนขนมก็ทำไม่ได้ ต้องพึ่งนางอยู่คนเดียว ต้องสอนไปทีละนิด ใช่ว่าคนเยอะจะทำได้ ช่างเถอะ ข้าค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำเรื่องขนมเค้กวันเกิดให้เป็นกระแสขึ้นมาในเมืองเฟิ่งเทียน”
ฉีตงหมิงถาม “จริงสิ คนทำขนมเค้กนั่นเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ หรือ ฝีมือสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหรือ เจ้าได้ถามหรือยัง”
ลู่จือหว่านเอนตัวลงพลางพูด “จริงเจ้าค่ะ อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูสบายตา ท่านลองเดาดูว่าข้าถูกใจนางตรงไหน”
“เจ้าบอกมิใช่หรือว่าเพราะหมินหรุ่ยเคยเจอคนพวกนั้นแล้ว”
ลู่จือหว่านส่ายหน้า เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
นางบอกว่าสิ่งที่ทำให้นางยิ่งไว้ใจและถูกใจก็คือ บิดามารดาของซ่งฝูหลิงเป็นคนที่เก่งมาก
ครอบครัวธรรมดา พ่อแม่มีลูกสาวแค่คนเดียว
บิดาของเด็กคนนั้นไม่เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่รีบร้อนให้บุตรสาวแต่งงานมีลูก ไม่ให้ความสำคัญกับลูกสาว ตรงกันข้าม กลับให้ความรักกับลูกสาวคนนี้มาก ทะนุถนอมดุจของล้ำค่า
เด็กผู้หญิงของครอบครัวทั่วไปถูกมองเป็นของล้ำค่าได้ นางได้ยินแล้วก็มีความสุข
ในสายตาของลู่จือหว่าน หลักฐานที่ยืนยันว่าซ่งฝูหลิงได้รับความรักจากพ่อแม่มีอยู่สองอย่าง
อย่างแรกคือผิวพรรณ มือคู่นั้นแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่หญิงชนบททั่วไป อย่าว่าแต่ทำงานเหมือนชาวบ้านทั่วไป ถึงขนาดที่นุ่มนวลเนียนกว่ามือของคุณหนูสกุลใหญ่อื่นๆ เสียด้วยซ้ำ
อย่างที่สองก็คือ สาเหตุที่ซ่งฝูหลิงทำขนมเค้กเป็น
ไม่ได้ยินเด็กคนนั้นพูดหรือ แรกเริ่มสุดเพราะเตาอบ อยากอบเนื้อสัตว์กิน อบขนมกิน ทำแป้งม้วนเนื้อสัตว์กิน
นี่ต้องเป็นเด็กที่โตมาในครอบครัวแบบไหน เพิ่งจะอพยพลี้ภัยมาก็อยากกินของดีๆ พวกนี้
เด็กผู้หญิงในครอบครับธรรมดาต้องคำนึงว่าในบ้านมีอาหารเหลือหรือไม่ มีเงินหรือเปล่า ต่อให้เป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายนางกลับบ้านไป กล้าคิดเรื่องพวกนี้ด้วยรึ
และที่พบเจอได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่พ่อแม่ของนางจะไม่ห้าม ปล่อยให้ลูกสาวกล้าคิด ยังซื้อวัวนมให้อีกด้วย สาเหตุเป็นเพราะกลัวลูกสาวตัวไม่สูง ด้วยเหตุนี้เด็กคนนั้นถึงได้คิดอีกว่าจะอบขนมที่ใช้นมด้วย
เด็กคนนั้นคิดเยอะมากเพราะเรื่องกิน
ขนมเค้กจึงค่อยๆ มีที่มาเช่นนี้
ซึ่งในระหว่างการคิดนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้กินไปเท่าไร ต้องใช้แป้ง น้ำตาล ไข่ไก่ นม ไปเท่าไร แต่พ่อแม่ของนางก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวนาง
หลังจากนั้นยิ่งทำก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำยิ่งดี ท่านย่าของนางจึงเอาออกมาขาย
ลู่จือหว่านยิ้มพลางพูด
“ท่านพี่ หากข้าร่วมมือทำขนมเค้กกับคนอื่น ไม่สิ ขอแค่เป็นในเรื่องอาหารการกิน พูดตามตรง ข้าไม่ค่อยวางใจ…
…ข้ากลัวพวกเขาจะไม่กล้าใช้ของดี ของแพง สุดท้ายทำให้ข้าขายหน้า…
…ข้ายอมขาดทุนเสียดีกว่า…
…ฮูหยินในจวนหลายคนที่ขายหน้าก็เพราะเรื่องพวกนี้ บ่าวรับใช้ทำงานไม่ตั้งใจ มีลับลมคมใน คนข้างนอกมีแต่จะถามว่าจวนไหน ใคร ร้านไหน สวนไหน…
…แต่ให้ร่วมมือกับเด็กคนนี้ ข้ากลับวางใจได้เต็มที่…
…นี่ก็เกี่ยวข้องกับที่ท่านพ่อท่านแม่ของรักนางมาก ฟังจากที่นางเล่าก็รู้ได้ แม้เด็กคนนั้นจะไม่ได้เล่าเยอะก็ตาม”
พูดตามตรงลู่จือหว่านก็แค่รู้สึกว่า ซ่งฝูหลิงไม่คำนึงถึงต้นทุน ไม่คิดเรื่องประหยัดต้นทุนจะช่วยให้ได้กำไรมากขึ้น แค่ขอทำให้ดี แม้จะช้าหน่อยหรืออาจไม่ได้กำไรเลยก็ตาม จุดนี้เป็นนิสัยที่หาได้ยากที่สุดของนาง
“คอยดูแล้วกัน ท่านพี่ ร้านขนมเค้กนี้ข้าจะไม่ตรวจสอบบัญชี อีกสามเดือนให้หลังเมื่อสมุดบัญชีมา กลับจะสะอาดหมดจดกว่าสมุดบัญชีใดๆ”
ฉีตงหมิงหันไปมองภรรยา “เจ้าให้คะแนนนางสูงมาก”
แน่นอนอยู่แล้ว มองออกได้จากสายตา เด็กคนนั้น จริงใจ ไม่เจ้าเล่ห์