ครึ่งชั่วยามต่อมา
ด้านหน้าโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน
เจ้านายเฉิน ซ่งฝูเซิง ซ่งฝูหลิง รวมถึงวัวสองตัวที่ใช้ลากเกวียน พวกเขาอยู่ท่ามกลางลมหนาว ทุลักทุเลพอสมควร
มีลมพายุ หิมะกำลังจะตก
บ่าวรับใช้ที่มีหน้าที่คุมเกวียนกระโดดลงมาจากเกวียน กำมือคารวะซ่งฝูหลิงด้วยความเคารพแล้วออกไป
เขาไปแล้ว เกวียนกลับยังอยู่
เจ้านายเฉินมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด เชิญซ่งฝูหลิงเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ซ่งฝูหลิงปฏิเสธ ส่งสัญญาณบอกท่านพ่อ ไปเถอะ มาสิท่านพ่อ
“คือ?” ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่เกวียน
เจ้านายเฉินรีบถาม “น้องซ่งบังคับเกวียนเป็นหรือไม่ ถ้ากลัวไม่ถนัด ให้ลูกน้องในโรงเตี๊ยมของข้าช่วยได้”
ในที่สุดซ่งฝูเซิงก็ดูปกติขึ้นมาบ้าง บอกว่าไม่ขอรบกวนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา
จากนั้นก็ประคองบุตรสาวขึ้นเกวียนท่ามกลางการส่งสายตาของบุตรสาว เข้าใจว่าไม่สะดวกพูดตรงนี้
จากนั้นตัวเองก็ขึ้นนั่งในตำแหน่งบังคับเกวียน ซ่งฝูเซิงมองหาแส้ที่วางอยู่ด้านข้างแล้วหวดขึ้น “ไป!”
จนกระทั่งออกนอกประตูเมือง ต่อให้ต้องตะโกนคุยกัน ระหว่างทางไม่มีใครได้ยินแล้ว ซ่งฝูเซิงถึงได้หันหน้าไปตะโกนถามบุตรสาวที่อยู่ด้านใน
“มันเรื่องอะไรกันฝูหลิง เกวียนมาจากไหนกัน”
ม่านถูกแหวกออกทันที “อย่าพูดถึงเลยท่านพ่อ ข้าไม่อยากได้เกวียนก็ยัดเยียดให้”
จากนั้นก็ยื่นกุญแจออกมา “และก็จะยกร้านให้ข้าให้ได้ ท่านดูสิ นี่กุญแจ”
“ใครกัน พี่สาวแม่ทัพเล็กเหรอ ทำไมนางต้องทำแบบนี้”
“นางอยากเปิดร้านขนมเค้กร่วมกับข้า ทำไมน่ะเหรอ ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่า ไม่เคยเจอคนที่พึ่งพาไม่ได้แบบนี้มาก่อน และก็ไม่เคยเจอ คนที่อยากร่วมงานกันแต่ไม่ถามอีกฝ่ายว่าอยากร่วมงานด้วยหรือเปล่า คิดเองเออเอง จัดการเอาเองหมด”
ซ่งฝูเซิงฟังแล้วก็เกาหัว “เจ้ารีบเล่ามาให้ละเอียดสิ”
“ถึงบ้านค่อยเล่า ดูหิมะลอยเข้าปากสิ ข้าก็ต้องจัดการตัวเองด้วย”
“ไม่เสียเปรียบใช่ไหม”
“ไม่ ก็แค่งงนิดหน่อย”
ความจริงเป็นที่ประจักษ์ พอลู่จือหว่านออกโรง ไม่ใช่แค่ซ่งฝูหลิงที่งุนงง แม้แต่ซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง และท่านย่าหม่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในเวลานี้ก็งงไปหมดเช่นกัน
“เจ้าบอกว่านางให้ที่ตั้งร้าน อีกทั้งร้านยังเป็นแบบสองชั้น ทำเลก็ดีมาก ต้องการเปิดร้านขายขนมเค้กอย่างนั้นรึ” ซ่งฝูเซิงถาม
“ใช่ ตอนนี้ในร้านมีเครื่องกระเบื้องวางอยู่เต็ม แค่ชั้นวางของแบบโบราณก็มีอยู่หลายอัน พูดแบบนี้แล้วกัน นางทำกิจการเจ๊ง ปิดร้านมาระยะหนึ่งแล้ว”
“เปิดร้านขนมเค้ก แล้วเครื่องกระเบื้องพวกนั้นนางจะขนออกหรือเปล่า”
“นางไม่ได้บอก”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า ได้ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
“นางให้ร้าน ให้เกวียนที่มีวัวเทียมสองตัว แค่ราคาขนมเค้กวันเกิดที่ต้องฟังนาง ขายราคาแพงๆ ก็พอ…
…มีแค่เงื่อนไขพวกนี้ นอกนั้นไม่สนใจรึ…
…จากนั้นก็แบ่งกันครึ่งๆ…
…ชื่อร้านอะไร ขายอะไร ขายยังไง เก็บเงินยังไง นางจะไม่เข้ามายุ่งเลยรึ”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้า “ใช่ ข้ายังอุตส่าห์บอกด้วยความหวังดี เตือนว่าพวกนางจะไม่ออกหน้าเลยสักคนหรือ ปรากฏกลับได้เรื่อง นางเข้าใจผิด บอกว่าอีกประเดี๋ยวถ้าพวกเราคนไม่พอ นางจะแบ่งสาวใช้ที่จวนมาให้ใช้งานคนหนึ่ง”
เฉียนเพ่ยอิงถามลูกสาว “แล้วเจ้าไม่ได้บอกนางให้ละเอียดเหรอว่า พวกเราก็แค่ทำเล็กๆ ทำใหญ่ไม่ไหว ต่อให้อยากร่วมกันเปิดร้านจริง ชั้นสองก็ไม่ได้ใช้หรอก ลูกแม่ เห็นแก่แม่ทัพเล็ก ยังไงเราก็ต้องพูดไปตามตรง เดี๋ยวไม่ใช่ว่านางให้ชั้นสองด้วย แต่พวกเราหาเงินให้แต่ละเดือนได้ไม่ถึงแปดเก้าตำลึง แบบนี้ไม่สู้ปล่อยเช่าเสียดีกว่า”
“ข้าบอกแล้ว ท่านแม่ อันที่จริงข้าก็ไม่อยากร่วมเปิดร้านกับนาง อีกทั้งก็ไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร ข้ายังได้บอกไปด้วยว่าขนส่งลำบาก จากนั้นก็ให้เกวียนข้ามา เป็นเกวียนที่เมื่อก่อนใช้ขนเครื่องกระเบื้อง”
เฉียนเพ่ยอิง “…” ช่วงนี้บ้านนางคงต้องเลี้ยงสัตว์ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ท่านย่าหม่ามองลูกชาย มองลูกสะใภ้ เลอะเลือนไปกันใหญ่แล้ว แต่เรื่องที่ทำให้ท่านย่าหม่าคิดไม่ตกก็คือ
“พี่สาวคนที่สามของแม่ทัพเล็กทำไมไม่ฉลาดเหมือนน้องชาย เป็นพี่น้องแท้ๆ กันจริงหรือเปล่า พวกเจ้าสืบดีแล้วหรือยัง”
ท่านย่าหม่าสงสัยว่าสมองจะมีปัญหา
เพราะถ้าไม่มีปัญหา จะพูดแบบนั้นออกมาหรือ
ขนมเค้กที่ขายก้อนละหกร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน ต่อไปให้ขายสิบตำลึง
ขนมเค้กที่ขายก้อนละหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน กำหนดราคาพิสดารยิ่งกว่า ให้ขายห้าสิบตำลึง
รู้หรือไม่ว่าห้าสิบตำลึงทำอะไรได้บ้าง สร้างบ้านหลังใหญ่สภาพดีในหมู่บ้านด้วยกระเบื้องได้เลยนะ
เอาแค่ก่อนหน้านี้ หลานสาวของนางขายแพงถึงเพียงนั้น ขายหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน นางก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากแล้วที่จะมีคนซื้อ
แล้วจะร่วมมือกับคนที่พูดจาเลอะเลือนแบบนี้อย่างนั้นหรือ
“ท่านแม่ แต่ข้าว่ากลับเป็นเรื่องดี” ซ่งฝูเซิงกลับยิ่งคิดยิ่งสนุก
ทำไมเขาไม่เจอ ‘คนซื่อ’ แบบนี้บ้าง แต่ลูกสาวของเขากลับได้เจอ
“วันนี้เจ้านายเฉินบอกข้าว่า มีคนกำลังหมายตาพวกเราอยู่”
ท่านย่าหม่าตกใจ อุตส่าห์ถ่อมตัวแล้ว ไม่เปิดร้านไม่อะไร แค่เอาไปขายให้โรงเตี๊ยมกับโรงน้ำชา “ใครกัน”
“บุตรชายคนโตของสกุลหูที่เปิดร้านขนมเก่าแก่อยู่ในเมืองเฟิ่งเทียน เคยมาคุยกับเจ้านายเฉิน…
…สกุลหูมีร้านอยู่ทั่วทุกหัวระแหง….
…เอาแค่ตามอำเภอที่พวกท่านแม่ไป สกุลหูก็มีร้านอยู่ที่นั่นหมด…
…หากพวกเราไม่มีคนสนับสนุนที่แข็งแกร่งพอ คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางเสียเงินแพงๆ ขอซื้อสูตร ขอเพียงแต่เราทำต่อไปไม่ได้ หายไป สกุลหูก็จะเป็นร้านขนมอันดับหนึ่งที่โด่งดังแล้ว รังแกพวกเราได้ง่ายๆ…
…ของที่ต้องเข้าปาก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือถูกคนเล่นงานลับหลัง…
…จะกันขโมยไปตลอดได้ยังไง ไม่กลัวโจรขโมย แต่กลัวโจรเฝ้าจับตา”