ที่ด้านล่างโรงเตี๊ยม
ซ่งฝูเซิงกับเจ้านายเฉินเองก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้พูดเข้าประเด็นในทันที
ทั้งสองคนกำลังกินเม็ดแตง พลางจิบน้ำชาอยู่ในห้องพักผ่อนของเถ้าแก่
ตอนซ่งฝูเซิงเพิ่งมาถึง รู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวที่อยู่ในห้องด้านบน
ทว่าเมื่อได้คุยถามตอบกับเจ้านายเฉินไปเรื่อยๆ จนเริ่มออกอรรถรส จิตใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง
และก็เหมือนเป็นโชคชะตาฟ้ากำหนด เขาพูดคุยไปพร้อมกับบุตรสาว คุยหลายเรื่องเหมือนกัน ถึงขนาดที่จังหวะการพูดคุยก็เช่นเดียวกัน
เจ้านายเฉินถาม “นี่มันโชคชะตาเล่นตลกเสียจริง พวกเจ้าหนีภัยมาด้วยกันอย่างนั้นรึ”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า
ที่ด้านบนโรงเตี๊ยม ซ่งฝูหลิงเองก็ตอบลู่จือหว่าน “ระหว่างทาง ทุกคนช่วยปกป้องท่านพ่อของข้าหลายครั้ง คนเรามักจะเห็นน้ำใจกันยามลำบาก ท่านพ่อของข้าเองก็ตัดสินใจว่า ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหนก็จะอยู่ด้วยกัน ตอนนี้พวกเราทุกคนก็อาศัยอยู่ด้วยกันเจ้าค่ะ”
เจ้านายเฉิน “ที่แท้น้องซ่งก็รู้จักคุณชายลู่จากตอนนั้นรึ”
ซ่งฝูเซิงตอบ “ถูกต้อง ตอนนั้นข้าเกือบจะต้องไปเป็นทหารแล้ว”
ที่ด้านบนโรงเตี๊ยม ซ่งฝูหลิงก็ตอบลู่จือหว่าน
ตัวนาง ท่านพ่อ ชาวบ้านทุกคน ต่างรู้สึกขอบคุณคุณชายของจวนผู้สำเร็จราชการมากเหลือเกิน
อีกทั้งคุณชายของจวนผู้สำเร็จราชการยังมีอีกชื่อหนึ่งในใจของพวกเขาด้วย
เขาถูกเรียกว่า แม่ทัพเล็ก
แม่ทัพเล็กปรากฏตัวประหนึ่งลอยลงมาจากฟ้าสองครั้ง
ครั้งแรกอยู่ในใจของพวกเด็กๆ ที่หิวโหย พี่แม่ทัพเล็กให้ไข่ไก่กับขนม
อีกครั้งหนึ่งเป็นความหวังในสายตาของพวกเขา ตอนนั้นรวมเงินกัน กังวลว่าจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารจึงอยากซื้อของขวัญ แต่ทุกคนกลับได้ยินซุ่นจื่อที่อยู่ข้างกายแม่ทัพเล็กบอกว่า แม่ทัพเล็กไปคุยให้แล้ว ทำให้พวกเขามีป้ายสีแดง
ดังนั้น การเรียกว่าแม่ทัพเล็กจึงมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา
ลู่จือหว่านคิด ที่แท้ก็รู้จักน้องชายของนางเพราะแบบนี้
เจ้านายเฉินถามซ่งฝูเซิง “แล้วหมี่โซ่วล่ะ ทำไมหมี่โซ่วถึงเข้าตาคุณชายลู่ได้”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ พูดติดตลก เป็นเพราะหมี่โซ่วไปตามตื๊อ
อีกอย่าง ใช่ว่าใครก็สามารถทำให้หมี่โซ่วของเราเป็นฝ่ายตามตื๊อก่อนได้หรอกนะ
“หมี่โซ่วของเราไม่ค่อยเหมือนเด็กคนอื่น…
…อาจเพราะช่วงแรกค่อนข้างติดข้ากับท่านป้าของเขา ก็เลยรู้จักสังเกตสีหน้าคนกระมัง กลัวว่าพวกเราจะทิ้งเขา…
….เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก อีกทั้งยังดูคนเก่งด้วย…
…ใครรังเกียจเขา ใครไม่พอใจเขา ใครเป็นคนดีจริงๆ ใครแกล้งเห็นแก่ตัว ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะดูออก”
พูดเสียจนเจ้านายเฉินเริ่มลนลาน เขาไม่ได้ดูปลอมใช่หรือไม่ เขาจริงใจนะ
ซ่งฝูเซิงดื่มน้ำชาแล้วพูดต่อ
“ยกตัวอย่างเช่น ท่านแม่ของข้า แรกเริ่มก็ไม่ชอบเขา หมี่โซ่วก็ไม่ยุ่งด้วย
จากนั้นยังรู้จักเลือกคนที่จะเข้าหาด้วยนะ
เขาบอกกับข้าว่า ท่านลุง มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะมองใคร มองเห็นอะไร ก็จะขมวดคิ้วก่อน จากนั้นสายตาก็ยังเป็นอย่างนั้น นั่นแสดงว่าเขาเรื่องเยอะ มองอะไรทำอะไรก็ชอบจับผิด มองเห็นแต่สิ่งไม่ดีก่อน ต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้ คนแบบนี้คุยด้วยยาก
คนบางคนนั่งอยู่เฉยๆ หนักแน่นมั่นใจ มองใครก็กล้าตรงไปตรงมา ต่อให้แต่งตัวไม่ดี แต่หางตามีรอยตีนกา นั่นก็แสดงว่าเขาหัวเราะบ่อย มองเห็นแต่สิ่งดีๆ น่าจะเป็นคนที่ใจกว้างคนหนึ่ง
พี่เฉิน ตอนแรกข้าฟังคำพูดของเด็กห้าขวบแล้วเห็นเป็นเรื่องตลก
คิดว่าเขาฟังมาจากท่านพ่อตาของข้า ท่านพ่อตาของข้าขึ้นเหนือลงใต้ บอกให้จำแซ่เอาไว้ คงพูดเรื่อยเปื่อย
แต่ความจริงสามครั้งประจักษ์อยู่ตรงหน้าข้า
ครั้งแรก จับพลัดจับผลูเข้าไปในป่าสน ระหว่างทางเก็บเมล็ดสนได้พอสมควร หมี่โซ่วของเราขายออกไปได้เยอะสุด
มีตอนหนึ่ง ลูกสาวข้าเล่าให้ฟังว่า คนคนนั้นแต่งตัวไม่ดี หมี่โซ่วเอาแต่จ้องเขา แล้วก็ขายออกไปได้
ครั้งต่อมา เราหนีภัยกันใช่ไหมล่ะ ไม่กลัวพี่เฉินหัวเราะเยาะเลยนะ ระหว่างทางต้องคอยขอความช่วยเหลือ ขออาหารมากิน หมี่โซ่วกลับหาคนรวยที่จิตใจดีที่สุดมาได้
ฮูหยินเฒ่าคนนั้นให้ของเยอะที่สุดในบรรดาคนดีที่เราเจอระหว่างทางทั้งหมด ตอนนี้หลายบ้านในบรรดาพวกเรายังใช้ผ้าห่มที่ฮูหยินเฒ่าคนนั้นให้มาอยู่เลย หมี่โซ่วเป็นคนเลือกฮูหยินเฒ่าคนนี้ เขาไม่คุกเข่าให้ใครทั้งนั้น แต่คุกเข่าให้แค่ฮูหยินเฒ่าคนนั้น
จากนั้นก็คือคุณชายลู่
ถูกต้อง ในสายตาของหมี่โซ่ว ลู่พั่นเป็นพี่ใหญ่ที่นิสัยตรงไปตรงมา จิตใจดี ควรค่าให้พึ่งพา
หมี่โซ่วใช้สายตาของเด็กห้าขวบตัดสินพี่ใหญ่ในลักษณะต่างๆ
ลู่พั่นขมวดคิ้วให้เขา หมี่โซ่วไม่กลัว
ลู่พั่นชอบทำสีหน้าเย็นชา หมี่โซ่วคิดว่านั่นเป็นสีหน้าปกป้องของพี่ชาย
ในสายตาของหมี่โซ่ว หัวใจของลู่พั่นจะต้องอบอุ่นอย่างแน่นอน
เวลานี้ซ่งฝูหลิงก็กำลังตอบลู่จือหว่าน “น้องชายของข้าอาจชอบพี่ชายแม่ทัพเล็กของเขามาก”
ลู่จือหว่านฟังจบก็ยิ้ม
พูดตามตรง ฟังถึงตรงนี้นางก็รู้สึกว่า เรื่องบางอย่างก็อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้จริงๆ
พรหมลิขิต มหัศจรรย์จนยากจะบรรยาย
บุตรชายของนางอายุใกล้สี่ขวบแล้วยังเอาแต่ซุกซน เล่นสนุก
เฉียนหมี่โซ่วที่ไปบ้านท่านแม่ของนาง อายุเพิ่งจะห้าขวบ แต่กลับเหมือนผู้ใหญ่ในร่างคนตัวเล็ก
บุตรชายของนางกลับจวนผู้สำเร็จราชการกับนาง พอเอาแต่ใจขึ้นมา แค่บอกว่าท่านน้าเข้าบ้านมาแล้วก็จะทำตัวดีทันที เวลาเห็นท่านน้าก็เหมือนหนูเจอแมว
เด็กที่ชื่อเฉียนหมี่โซ่วคนนั้น กลับรู้สึกว่าหมินหรุ่ยน้องชายของนางนิสัยดีมาก จากนั้นคนพวกนี้ก็ใช้เด็กคนนี้เป็นสื่อกลาง หรือจะพูดได้ว่า น้องชายของนางทำความดีกับคนพวกนี้โดยผ่านทางเด็กคนนี้
รู้จักกันได้อย่างไร ลู่จื่อหว่านพอจะเข้าใจแล้ว
แน่นอนว่าการสอบถามของนางไม่ใช่การตรวจสอบ
เพราะลู่พั่นเก่งพอ
เก่งถึงขั้นที่ว่า ไม่เคยทำเรื่องเหลวไหลแม้สักเรื่องในสายตาของคนในครอบครัว
ข้างนอกมีคนตั้งมากมายหมายตาทั้งบุรุษและสตรี แต่ลู่พั่นไม่เคยตกหลุมพรางของใครทั้งนั้น สมองไม่เคยผิดเพี้ยน
ลู่พั่นเป็นลูกหลานขุนนางรุ่นที่สาม แต่กลับอยู่ในค่ายทหาร ไม่มีใครไม่ยอมรับความสามารถของเขา
คนที่เขาช่วยออกหน้าพูดให้หรือให้การช่วยเหลือสนับสนุนมีทั้งบุตรของตระกูลใหญ่ที่เล่นด้วยกันเติบโตมากับเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ชาติกำเนิดต่ำกว่า เขามองคนมองที่ความสามารถ สรุปคือคนที่เขาออกหน้าช่วย ตอนนี้ต่างมีอนาคตทั้งนั้น แต่ละคนติดตามเขาอย่างแน่วแน่
สรุปว่า ตั้งแต่เล็กจนโต ลู่หมินหรุ่ยยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน
ยอดเยี่ยมถึงขั้นที่ไม่ต้องสนใจว่าเขาทำเรื่องอะไร คนในครอบครัวของเขาไม่เคยกังวลว่าเขาจะถูกคนหลอก และก็ยิ่งไม่มีทางตรวจสอบก่อนเข้าไปยุ่ง ก็แค่อยากรู้เท่านั้น
ก็เหมือนกับที่อยู่ๆ เขาก็เรียกเฉียนหมี่โซ่วมาที่จวน องค์หญิงท่านย่าของเขากับท่านแม่ไม่มีทางสั่งให้คนไปสืบว่าหมี่โซ่วมาจากไหน จะไปที่ไหน พวกนางก็แค่สงสัยว่าในตัวเด็กคนนี้มีอะไรดี ถึงทำให้หมินหรุ่ยของพวกเขาเอ็นดูเป็นพิเศษ
ก็เหมือนกับลู่จือหว่านในเวลานี้ ที่ถามเรื่องพวกนี้ มาจากความสงสัยเสียมากกว่า ไม่ใช่ว่าอยากสืบลักษณะนิสัยใจคอของคนพวกนี้อีกครั้งจากการพูดคุย
ถ้าขนาดน้องชายของนางยังมองไม่กระจ่าง แล้วนางจะมองออกหรือ
อย่ามองน้องชายของนางอ่อนแอจนเกินไป และก็อย่ามองตัวเองเก่งจนเกินไป
พวกนางที่เป็นพี่สาวเข้าใจหลักการนี้ตั้งแต่เด็ก
“ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณนายใหญ่แล้ว เรียกข้าว่าพี่สามแล้วกัน เจ้าน่าจะรู้ว่าข้ากับพี่แม่ทัพเล็กในใจของพวกเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ กันใช่หรือไม่”
ซ่งฝูหลิงยิ้มดวงตาโค้งมน “เจ้าค่ะ”
คราวนี้สาวใช้ทั้งสี่ไม่แปลกใจที่คุณหนูให้ซ่งฝูหลิงเรียกว่าพี่สามแล้ว
ต้องทราบก่อนว่า มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นคุณหนูถึงจะสั่งเป็นพิเศษว่า เจ้าอย่าเรียกข้าว่าคุณนายใหญ่
สาวใช้ทั้งสี่ยังได้เอาที่นั่งพร้อมทั้งยกน้ำชามาให้ซ่งฝูหลิง
หลังจากฟังที่มาที่ไปจบ พวกนางก็มีความทรงจำที่ดีต่อซ่งฝูหลิง
อืม พูดให้ถูกก็คือ เพราะคุณชายเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาถึงเป็นเพราะคนที่คุณชายเคยช่วยไว้พวกนี้ที่เก่งมาก
ปี้เอ๋อสาวใช้ใหญ่ที่ดูเป็นการเป็นงานพูดกับซ่งฝูหลิงโดยได้รับความยินยอมจากลู่จือหว่าน “ครั้งนี้ที่คุณหนูเรียกเจ้ามาเพราะอยากร่วมมือกับเจ้าเปิดร้านขนมเค้ก”
หืม? คุณหนูตระกูลใหญ่ เปิดร้านหรือ
ปี้เอ๋อคิดในใจ
ใช่ คุณหนูของพวกเราไม่เหมือนคุณหนูบ้านอื่น ชอบเปิดร้านมากเหลือเกิน
สวนเกษตรข้างนอก ร้านค้าต่างถิ่น เถ้าแก่พวกนั้น ทำกันได้ดีเหลือเกิน
มีเพียงเมืองเฟิ่งเทียน อยู่ใกล้มาก แต่น่าปวดหัว
คุณหนูของพวกเราต้องการทำเองให้ได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบคม
ทำอันไหนเจ๊งอันนั้น ทำอะไรก็ต้องควักเนื้อ
ก่อนมาคุณหนูได้บอกว่า หากขนมเค้กนี้นางทำแล้วเจ๊งอีก นางก็จะขอล้างมือจากวงการ
ไอ๊หยา ขอโทษด้วยนะน้องฝูหลิง
พอนึกถึงตรงนี้ ท่าทีของปี้เอ๋อก็ดียิ่งกว่าเดิม “เจ้าวางใจได้ พวกเราไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการ แค่จะให้ที่เปิดร้านกับเจ้า ขาดเหลืออะไรก็บอกข้าได้ เจ้ายังอยากทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า” ปี้เอ๋อพูดจบก็มองลู่จือหว่าน ใช้สายตาถามว่า แบบนี้ใช่ไหมเจ้าคะคุณหนู
ไม่ใช่แบบนี้ ตอนอยู่บ้านสอนเจ้าไว้อย่างไร
ปี้เอ๋อ เอาจริงหรือเจ้าคะ
ก็ได้ “ขนมเค้กที่ขนาดใหญ่ที่สุดที่คุณหนูของพวกเราสั่งก่อนหน้านี้ เจ้าขายเท่าไร”
“ขนมที่สั่งก่อนหน้านี้ หนึ่งก้อนหกร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน”
อะไรนะ หึ อีผิ่นเซวียนหน้าเลือดมาก ปี้เอ๋อโมโห
คุณหนูไม่รู้ว่าจ่ายเงินไปเท่าไร แต่นางรู้ นางจ่ายเงินซื้อไปในราคาสองเท่าครึ่ง
ลู่จือหว่านมองสีหน้าของสาวใช้ก็รู้ได้ ดูสิ นางบอกแล้วนางบอกแล้ว ปัญหาอยู่ที่ถูกเกินไป ขนมที่ปี้เอ๋อใช้เงินจำนวนมากซื้อกลับมาก็ราคาถูก
ปี้เอ๋อ “เงื่อนไขของทางคุณหนูก็คือ ต่อไปขนมเค้กใหญ่ขนาดนั้นให้เจ้าขายสิบตำลึง”
ซ่งฝูหลิง “…”
“ทำใหญ่กว่านี้ได้อีกหรือไม่”
“ตอนนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ แต่ทำแบบซ้อนเป็นชั้นๆ ได้ เพิ่มชั้นขึ้นไป” ซ่งฝูหลิงอธิบายคร่าวๆ
ปี้เอ๋อพูด “ถ้าเช่นนั้นต่อไปขนมเค้กสามชั้น ราคาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน ให้ขายยี่สิบตำลึง สามชั้นราคาหนึ่งพันห้าร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน ให้ขายสามสิบตำลึง สามชั้นราคาหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเหวิน ให้ขายห้าสิบตำลึง”
ปี้เอ๋อยังแนะนำซ่งฝูหลิงอีกว่า เจ้าควรทำให้ใหญ่กว่านี้ หรือจำนวนชั้นมากขึ้นไปอีก จากนั้น “ก้อนละหนึ่งร้อยตำลึง”
บากหน้าพูดเรื่องพวกนี้ออกไปเสร็จปี้เอ๋อก็ถอยไปหนึ่งก้าว แสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่นางไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้
นางเองก็ไม่ได้อยากพูด คุณหนูต้องการให้นางพูดให้ได้
รู้สึกเห็นถึงความขายหน้าในตาดำของน้องฝูหลิง
ซ่งฝูหลิง “…”
ร้อยตำลึงเหรอ
คุณหนู พวกท่านรู้กำลังซื้อในราคาร้อยตำลึงของคนข้างนอกหรือไม่
จริงๆ เลย ดีนะที่รู้ประวัติ รู้ว่าพี่สาวคนที่สามของลู่พั่นเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ อีกทั้งแต่งกับสกุลที่มีฐานะสูงศักดิ์เหมือนกัน
หากไม่รู้เรื่องพวกนี้ คงคิดว่าคนตรงหน้าพวกนี้เหมือนจะยากจนจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ออกไปปล้นหมู่บ้านเลยล่ะ
เถ้าแก่เปิดประตูห้องพัก
ซ่งฝูเซิงหันไปทันที
เถ้าแก่เหลือบมองเปลือกเม็ดแตงที่กระจายเต็มพื้นก็เดาได้ว่าเจ้านายกับซ่งฝูเซิงคุยกันอย่างออกอรรถรส “บุตรสาวของท่านตามคุณนายใหญ่จวนฉีออกไปแล้วขอรับ”
“ว่าไงนะ ไปไหนรึ”
ไปเดินดูร้านเครื่องกระเบื้องที่เจ๊งแล้ว
ในสมัยโบราณ นี่ถือเป็นการตกแต่งอย่างวิจิตรมีระดับแล้ว
จานชามกระเบื้องงดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะถ้วย ทำไมถึงมาวางให้ฝุ่นจับแบบนี้
อ๋อ ซ่งฝูหลิงเข้าใจแล้ว ขายแพงเกินไป
บ้านตระกูลใหญ่ๆ โดยพื้นฐานไม่ขาดของพวกนี้ แต่ละบ้านมีกันหลายชุด ชนชั้นสูงที่แท้จริงอาจสั่งทำเป็นพิเศษ หรืออาจมีมากกว่านั้น
ครอบครัวชนชั้นกลาง ต่อให้ชอบของของที่นี่ และก็รู้สึกว่าสวยงาม แต่เกรงว่าทั้งปีก็ซื้อแค่ไม่กี่ชิ้น ส่วนครอบครัวทั่วไปแทบไม่กล้าเดินเข้ามาดูของในร้านนี้เสียด้วยซ้ำ
ของในร้านนี้ไม่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีหรือจะไม่เจ๊ง