ซ่งฝูหลิงสั่งสอนลูกม้าเสร็จก็กลับบ้าน
นางถือตะเกียงไปดูหมี่โซ่วที่กำลังหลับสนิทก่อน ลูบตัวน้องชายที่อยู่ในผ้าห่มว่าอุ่นหรือไม่
จากนั้นก็หันตัวเดินไปที่เตาไฟ
หยิบกระบอกเป่าลมของนางออกมา เป่าให้ไฟในเตาแรงขึ้นอีกหน่อย
เพิ่มไฟ ต้มน้ำร้อน อยากล้างหน้าล้างเท้าสระผมก่อน จากนั้นก็หันกลับไปเติมฟืนใส่เตาให้หนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงและต้มน้ำให้พวกเขาด้วย กลับมาจะได้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น
ทำนั่นทำนี่ไม่หยุด ซ่งฝูหลิงเอาน้ำที่เก็บไว้ในบ้านมาเทใส่หม้อต้มเป็นน้ำร้อนจนหมด นางเองก็ทั้งล้างทั้งขัด ใช้ไปมากกว่าครึ่ง จากนั้นถึงได้เข้าบ้านไปนั่งบนเตียง
คลำกระเป๋าท่ามกลางความมืดหาวิตามินกับแคลเซียมออกมากิน ‘ยากิน’ ของพ่อแม่ก็เอากระดาษห่อไว้เรียบร้อยวางบนขอบหน้าต่าง จากนั้นก็ทาครีมบำรุงผิว
ทาครีมบำรุงริมฝีปาก ทาบาล์มขนแกะที่เท้า ชโลมน้ำมันกำจัดเหาที่เส้นผม
อันที่จริงเหาบนหัวซ่งฝูหลิงหายไปหมดนานแล้ว เฉียนเพ่ยอิงเคยบอกนางอย่างชัดเจน แต่นางคิดว่า อืม ขอทาไปอีกสักสองวัน ใช้หวีเสนียดสางให้ลื่น และก็คิดเสียว่าทำให้เลือดลมไหลเวียน
เอนตัวลงบนเตียง ซ่งฝูหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก
ถึงแม้เมื่อวานตอนกลางวันจะนอนเอาแรงไปแล้ว แต่เมื่อคืนไม่ได้นอนเพราะทำขนมเค้ก วันนี้ตอนกลางวันเร่งเดินทาง กลับมาก็ไม่ได้พัก ในที่สุดก็เสร็จงานสักที
อยู่ในผ้าห่มอุ่นมาก ไม่นานซ่งฝูหลิงก็หลับสนิท
คนที่กลับถึงบ้านก่อนคนแรกคือหนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วง
ทั้งสองคนพอเห็นน้ำร้อนในหม้อ น้ำในกระติกหมดแล้วจึงพากันเอากระติกเปล่าไปที่บ่อน้ำ
คนหนึ่งจับ อีกคนตักน้ำ
หนิวจั่งกุ้ยกำชับซื่อจ้วง
“เดี๋ยวกลับไป พวกเราก็กลับห้องตัวเอง เจ้าเองก็ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด ล้างเท้าด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำ แต่ว่านะซื่อจ้วง มันไม่ดีจริงๆ เจ้าดูคุณนายกับคุณหนูก็น่าจะเข้าใจ รักความสะอาดจะตาย…
…พวกเราเป็นบ่าว จะสร้างความยุ่งยากให้เขาไม่ได้ เข้าใจไหม…
…นายท่านทำกับพวกเราเหมือนเป็นคนรับใช้ที่ไหนกัน แต่ยิ่งครอบครัวของนายท่านไม่เห็นพวกเราเป็นคนนอก พวกเราก็ยิ่งต้องระวังตัวเอง อย่าทำให้พวกเขาลำบาก”
ซื่อจ้วงพยักหน้าอย่างจริงจัง
เขาไม่ชอบทำความสะอาดจริงๆ ครอบครัวอื่นก็ไม่ได้ล้างกันขนาดนี้ พอทำงานเสร็จก็ล้มตัวนอนกันทันที คนที่จัดเก็บนิดหน่อยก็ถือว่าเป็นคนเจ้าระเบียบแล้ว
ดังนั้นบางครั้งซื่อจ้วงก็ไม่ได้จงใจ แค่ไม่ชินจึงลืมทำไป
สิบกว่าครอบครัวเริ่มทยอยดับไฟ
คืนนี้คนทำขนมเค้กต่างก็กลับกันเร็ว
ทว่าซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงที่อยู่ในโรงเพาะปลูกพริกยังไม่กลับบ้าน
เวลานี้ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่ข้างกำแพงอุ่น กำลังใช้กาวกระเพาะปลาติดขาโต๊ะ
ซ่งฝูเซิงหาท่อนไม้ที่ขนาดพอๆ กันมาสี่ท่อนทำเป็นขาโต๊ะ ท่อนไม้ทั้งสี่นี้มีจุดที่เหมือนกันนั่นก็คือ ต่างเป็นท่อนไม้ที่ตอนนั้นไม่ได้ถูกผ่าให้เล็กเกินไป ยังคงเป็นท่อนกลม เขาหาท่อนที่สูงต่ำเท่ากันก็เอามาใช้เป็นขาโต๊ะ
ส่วนด้านบนก็คือแผ่นไม้กระดาน ทำมาจากบานประตูเก่า
ตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ประตูหลายบานใช้ไม่ได้มิใช่หรือ จึงเปลี่ยนเป็นบานใหม่หมด
จากนั้นประตูเก่าที่ถูกรื้อออกมาก็เสียดายทิ้งไม่ลง ซากไม้ที่แผ่นยาวหน่อยเอามาต่อกันทำเป็นประตูห้องใต้ดิน ส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เหลือก็ทิ้งไม่ลงเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเลือกเอามาทำเป็นไม้กระดานของโต๊ะ
ซ่งฝูเซิงอยากทำเป็นโต๊ะเตี้ย
เพราะเมื่อตอนเย็นเห็นบุตรสาวดีใจที่ได้หนังสือ รู้ว่านางร้อนใจอยากฝึกเขียนอ่าน อยากใช้พู่กันเริ่มเขียนอย่างจริงจัง
ย่อมไม่อาจปล่อยให้บุตรสาวนอนเขียนบนเตียง ทำโต๊ะเตี้ยให้นั่งเขียนบนเตียงดีกว่า อุ่นๆ ไม่หนาว ทั้งยังเอาไว้ใช้กินข้าวได้ด้วย
นอกจากนี้ซ่งฝูเซิงก็ไม่อยากรบกวนคนอื่น ถึงได้ลงมือทำด้วยตัวเอง
งานของคนงานบ้านเขาเยอะมากพอแล้ว
ไม่ต้องเอาเรื่องไกลตัว เอาแค่ถังนม ถังน้ำเล็กใหญ่แต่ละขนาดในบ้านของเขา กับกะละมังไม้สำหรับนวดแป้งทำขนมเค้ก แค่นี้ก็ทำเสียเวลางานหลักของบ้านไปไม่น้อยแล้ว
“อักษรตัวนี้อ่านว่าอะไร” เฉียนเพ่ยอิงถือหนังสือพลางถาม หนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือหัดเรียนที่ลู่พั่นยกให้เด็กๆ
“เหมา ตัวเหมาของคำว่าเหมาตุ้น หอ มอ อี เอา เหมา”
หอ มอ เฉียนเพ่ยอิงเขียนไว้ด้านหลังอักษรนี้ว่า ‘เหมียว’
เขียนเสร็จนางก็มอง รู้สึกแปลกๆ พอคิดได้เฉียนเพ่ยอิงก็หันไปถลึงตาใส่ซ่งฝูเซิง “ข้าถาม ท่านค่อยตอบ อะไรที่ไม่ได้ถามก็ไม่ต้องพูด หอ มอ อี เอา อะไรกัน หอ มอ อี เอา นั่นมันเหมียวมิใช่รึ เมียว เหมียว เหมี่ยว เมี่ยว ข้าไม่ได้อยากหาเรื่องท่านหรอกนะ”
ซ่งฝูเซิงไม่ยอม เขาติดขาโต๊ะพลางเถียง เขาพูดว่าหอ มอ อี เอา คือ เหมา เหมียวมัน หอ มอ เอีย วอเหมียว
เฉียนเพ่ยอิงแก้ให้ถูก “มอเอา รวมกันเป็นเมา มอ เอา เมา ซึ่งก็คือเหมาที่ท่านบอก มอเอาถูก”
“งั้นเหรอ” ซ่งฝูเซิงเกาหัว
เฉียนเพ่ยอิงขี้เกียจจะสนใจเขา
นางใช้ยางลบที่อยู่ท้ายดินสอลบคำที่เขียนผิด พลางคิด
สมัยประถมเขาเรียนมายังไงกันแน่ มิน่าตอนคุยวีแชทถึงชอบส่งเป็นเสียงมา เมื่อก่อนเวลาส่งข้อความก็ชอบพิมพ์ผิด
อีกทั้งในใจก็ยิ่งรู้สึกว่า เหลวไหลเกินไปจริงๆ
ในบ้าน คนที่เรียนไม่ได้เรื่องที่สุด พอมาอยู่ในสมัยโบราณกลับกลายเป็นคนที่มีความรู้ที่สุด
แต่นางกับลูกสาวกลับลำบาก ไม่มีความทรงจำของร่างเดิม
อักษรของสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะอักษรของยุคราชวงศ์นี้ แปลกประหลาดมาก เท่ากับว่าต้องเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่ต้น
มิน่าลูกสาวนางถึงได้รีบร้อนอยากเรียนหนังสือ กลัวว่าถ้าเด็กๆ ได้หนังสือจะรีบร้อนเรียนยิ่งกว่า กลัวถูกจับได้ว่าอ่านไม่ออกแบบนั้นจะยิ่งโมโห ก็จริง ให้คนที่เมื่อก่อนอ่านออกเขียนได้ถือดินสอไปขอคำชี้แนะว่าอักษรตัวนี้เขียนอย่างไร ลูกสาวของนางจะไม่รู้สึกแย่ได้รึ
เฉียนเพ่ยอิงคิดแค่ว่า หลังจากที่นางถามเสียงอ่านของแต่ละอักษรจากซ่งฝูเซิงเสร็จ ก็จะใช้ดินสอเขียนพินอินกำกับไว้ในหนังสือ เหมือนอย่างอักษรเหมาของคำว่าเหมาตุ้นเมื่อครู่ จากนั้นก็ประกอบเป็นคำ เขียนคำว่าเหมาตุ้น แบบนี้ลูกสาวของนางก็จะจำได้เร็วขึ้น
และนางก็จะได้ถือโอกาสฝึกจำอักษรไปด้วยตอนเขียนพินอิน
เป็นคนไม่รู้หนังสือ ตอนไม่เป็นไม่รู้สึกอะไร พอไม่รู้หนังสือจริงๆ ถึงตระหนักได้ว่าความรู้สึกนั้นมันช่างแย่เหลือเกิน
“ท่านดูสิ อักษรตัวนี้อ่านว่าอะไร”
ซ่งฝูเซิงเหลือบมอง “เซ่อ ตัวเซ่อของคำว่า ต้าเซ่อเทียนซย่า”
“หึๆๆ ไอ๊หยา ท่านพี่ น่าทึ่งจริงๆ ท่านเขียนอักษรโบราณเป็น เขียนอักษรเซ่อของยุคปัจจุบันเป็นหรือเปล่า ข้าชักสงสัยแล้วว่าท่านแยกอักษรเซ่อกับห่าวไม่ออก”
ซ่งฝูเซิงทำเสียงจึ๊ ทำไมยังแฝงไปด้วยการดูถูกอยู่อีก “ตัวหนังสือของสมัยปัจจุบันข้าไม่ไหว แต่ของยุคสมัยนี้ข้าไหวนี่ ข้าสามารถพูดออกมาได้อย่างน่ายกย่อง ที่รัก แบบนี้เรียกอะไรรู้ไหม เขาเรียกว่าดวงดี”
ทั้งสองคนทำงานพลางเรียนรู้อักษร หยอกล้อโต้เถียงกันไป
สุดท้ายทั้งสองคน คนหนึ่งเอาหนังสือหนีบไว้ใต้รักแร้ ล็อคประตู อีกคนอุ้มโต๊ะเตี้ยยืนรอภรรยาอยู่ข้างๆ พวกเขากลับบ้านพร้อมกัน ล้างหน้าล้างเท้าท่ามกลางความมืด คลำทางขึ้นเตียง ดื่มน้ำ กินแคลเซียมด้วยกัน
ในผ้าห่ม ซ่งฝูเซิงเอาเท้าเขี่ยภรรยา ไม่อยากให้นางนอนหันหลังให้เขา
ในขณะเดียวกัน มีคู่สามีภรรยาในเมืองเฟิ่งเทียนที่ความสัมพันธ์ดียิ่งกว่าซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงกำลังคุยกันกลางดึก
แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่ใช้ตัดสินความสัมพันธ์ของสามีภรรยา อาจไม่ใช่ว่าความรักของคนโบราณสมัยศักดินาไม่ดี ยุคสมัยปัจจุบันที่คนเท่าเทียมกันถึงจะดี
ณ จวนฉี
ฉีตงหมิงถาม “คนบ้านเจ้าสามปากมากอีกแล้วรึ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามชักขาดการสั่งสอน แม้แต่สตรีคนเดียวก็คุมไม่ได้ คนบ้านเจ้าสามก็เหมือนกัน เรื่องวุ่นวายในเรือนตัวเองมีอยู่ไม่น้อย ยังจะมือยาวมายุ่งเรื่องชาวบ้าน”
ฉีตงหมิง พี่เขยคนที่สามของลู่พั่น ตำแหน่งในตอนนี้คือ หัวหน้าทหารที่มีหน้าที่ตรวจค้นบ้าน ขุนนางใหญ่คนไหนต่างก็ไม่ยินดีให้เขามาปรากฏตัวที่บ้านทั้งนั้น
ลู่จือหว่านนั่งยืดตัว “เรือนของพวกเราใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมมีข่าวเล็ดลอดออกไปบ้าง ข้าไปเจอคนคุมงานของสวนเกษตรกับร้านค้าพวกนั้นมา พวกนางรู้ว่าข้าชดใช้เงินไปอีกแล้ว และก็น่าจะไปพูดบางอย่างกับท่านแม่ ท่านพี่ หรือข้าจะไม่ถนัดดูแลกิจการจริงๆ”
“เหลวไหล เวลาของเจ้ายังมาไม่ถึงต่างหาก ยังไม่ถึงเวลาให้เจ้าได้แสดงฝีมือ อีกอย่างชดใช้เงินแล้วอย่างไร พวกเราพอใจ ไม่ได้เอาเงินพวกเขามาชดใช้เสียหน่อย”
ลู่จือหว่านพูด “ท่านเข้าใจเพียงส่วนเดียว ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินจริงๆ ท่านพี่ไม่เข้าใจส่วนอื่น ที่ข้าทนไม่ไหวก็คือ มันเสียหน้าน่ะเสียหน้า”
มันคล้ายกับว่านางไม่ถนัดดูแลกิจการ อีกทั้งนางยังเป็นสะใภ้ใหญ่ เหมือนว่าอีกหน่อยนางได้เป็นฮูหยินดูแลทั้งครอบครัว จะทำให้จวนฉีเละเทะเสียอย่างนั้น
ดังนั้นเรื่องเงินน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถูกคนหัวเราะเยาะลับหลังเรื่องนี้ ทำอะไรก็ขาดทุน ในใจรู้สึกไม่ยอมจริงๆ
แม้แต่ปี้เถาที่อยู่ข้างกายยังพูดว่า “คุณหนูเจ้าคะ ปล่อยเช่าร้านเถอะเจ้าค่ะ อย่าทำการค้าเองเลย ทำสิ่งไหนก็ขาดทุนสิ่งนั้น เก็บค่าเช่าเอาดีกว่าเยอะเจ้าค่ะ”
หากปล่อยเช่าตั้งแต่ตอนแรกก็คงจบแค่นั้นแล้ว
ทว่าบัดนี้ นางขนสินค้าทางทะเล แต่เรือก็อัปปาง ขนเครื่องกระเบื้อง แจกันกระเบื้องกับถ้วยชามสวยๆ ทั้งนั้น เหตุใดถึงไม่มีคนซื้อ นางไม่เชื่ออาถรรพ์อะไรพวกนั้นหรอก