เด็กลาดตระเวนพูดเสริม “มีคนนอกมาด้วย!”
คิดว่าอาสามจะลงจากรถ ที่ไหนได้ กลับพาคนข้ามสะพานมาด้วย
หลังจากตะโกนออกไปเช่นนี้ ก็เห็นทุกคนประหนึ่งเคยได้รับการฝึกมา
มีกลุ่มคนปรากฏขึ้นบริเวณรอบโรงเพาะปลูกพริกอย่างรวดเร็ว
คนเหล่านั้นปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคาจากทั่วทุกสารทิศ โยนเชือก ผ้าห่มกับม่านฟางขึ้นไปวางบังบนหลังคา
ในขณะเดียวกัน บรรดาคนที่อยู่ข้างล่างก็เอารั้วไม้ที่ซ่งฝูสี่ทำกางออก วางกั้นตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกของโรงเพาะปลูกพริก ด้านหลังก็ล้อมไว้เช่นกัน เอาแม่กุญแจคล้องไว้ เหลือเพียงประตูของโรงเพาะปลูกพริก อยู่ข้างนอกมองไม่เห็นข้างใน
บรรดาคนแก่ที่อยู่ในบ้านใต้ดินก็ชะโงกหัวออกมาเอาหิมะในตะกร้าวางกลบทางเข้า
นี่คือสิ่งที่ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงคิด ซ่งฝูเซิงห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง
ลุงใหญ่คิดว่า อย่าหาว่าพวกเขาใจแคบ พวกเขาก็แค่ไม่อยากให้ใครเห็น ทางเข้าใต้ดินมีแต่หิมะ ดูก็รู้ว่าข้างใต้ไม่มีอะไร รอยเท้าก็ไม่มี เอาเป็นว่าไม่อยากให้ใครรู้แม้แต่นิดเดียว
แม้แต่ด้านนอกห้องทำขนมเค้ก ด้านนอกหน้าต่างกระดาษก็มีม่านฟางบังไว้
และที่เล่นใหญ่ที่สุดคือเอ้อร์ยาที่กำลังอบตัวขนมเค้กอยู่ในห้องทำขนมของซ่งฝูหลิง เวลานี้เหลือนางอยู่คนเดียว นางก็เอากับเขาด้วย
เดิมทีตะเกียงในห้องถูกจุดสว่าง ไฟในเตาที่กำแพงสว่างยิ่งกว่า ต่อมาพอได้ยินว่ามีคนเคาะประตูเตือนว่ามีคนนอกมานางจึงไปเอาม่านฟางลง
อันที่จริงกระดาษที่บุหน้าต่างก็ไม่ได้โปร่งแสง ใครจะไปเห็น ทว่านั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน
ทุกคนคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นของพวกเรา ห้ามให้ใครเห็นทั้งนั้น ทางที่ดีพวกเขาอย่ามาเลยดีกว่า รบกวนชาวบ้านชาวช่อง พวกเราอยู่กันเองก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมารบกวน
เหล่าลูกน้องของโรงเตี๊ยมที่เจ้านายเฉินใช้งาน ได้ติดตามรถม้ามา เมื่อมาถึงต่างก็งงกันหมด
บ้านที่คนพวกนี้อาศัย เหตุใดถึงดูโกโรโกโสได้ขนาดนี้ สู้บ้านของพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ
ต้องทราบก่อนว่า ครอบครัวซ่งฝูเซิงดูเป็นคนที่เก่งมากในสายตาของทุกคนที่ตามมาด้วย
ไม่เพียงแต่จะรู้จักชนชั้นสูง อีกทั้งตัวเองก็ยังค้าขายของที่มีราคาแพงอย่าง กระเทียมเหลือง ขนมเค้ก มีอย่างไหนบ้างที่ไม่ใช่ของที่คนร่ำรวยกินกัน ขายแพงขนาดนั้น ไม่มีเงินได้หรือ
แต่ว่าชีวิตเป็นแบบนี้รึ
ซ่งฝูเซิงไม่รู้ถึงความตกใจของคนพวกนี้ ถ้ารู้บางทีอาจหัวเราะพลางพูด
นี่แหละที่เรียกว่าสร้างครอบครัวด้วยมือเปล่า
ตั้งแต่อาหารการกินไปจนถึงเครื่องนุ่งห่ม ตั้งแต่ต้นหอมหนึ่งต้นไปจนถึงเส้นด้ายที่ใช้เย็บเสื้อผ้า พวกเขาหามาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งนั้น
ครอบครัวอื่น ต่อให้ยากจนข้นแค้นเพียงใด อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีสิ่งของจำเป็นขั้นพื้นฐาน แต่พวกเขาไม่มี
ดังนั้นถ้าอยากหลุดพ้นจากความยากจนอย่างสิ้นเชิง ในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถพึ่งพาแค่การขายผักนอกฤดูกาลกับขนมเค้กแค่ไม่กี่ก้อนได้ เว้นเสียแต่จะจับพลัดจับผลูร่ำรวยขึ้นมา แต่ก็ถือว่าพวกเขาก้าวหน้าไปเร็วมากแล้ว ให้เร็วกว่านี้ก็ฝืนโชคชะตาแล้ว
ลุงซ่งได้ฟังจุดประสงค์ของการมา ที่แท้ก็มาส่งของ ฉีกยิ้มจนเผยให้เห็นฟันสึกที่อยู่ในปาก หนวดเคราก็สั่นตาม เขาใช้กระบอกยาสูบชี้ “ลำบากทุกคนแล้ว รีบเข้าไปดื่มน้ำอุ่นสิ ไม่ต้องเกรงใจ”
คนพวกนั้นรีบโบกมือ ไม่เป็นไร พวกเขาเอาถุงน้ำมาด้วย และก็ต้องรีบกลับเข้าเมืองก่อนฟ้ามืด มิฉะนั้นจะเข้าประตูเมืองไม่ได้
คนพวกนี้รีบเร่ง พอพวกเขาไป คนอื่นๆ ก็เข้าไปรุมล้อมครอบครัวซ่งฝูเซิง
มีทุกคำถาม อีกทั้งยังยกตัวหมี่โซ่วชูขึ้น เกาถูฮู่เป็นคนอุ้มเขาขึ้นมา
ตอนนี้พวกเขาใกล้ชินแล้ว หมี่โซ่วก็คือหมี่โซ่ว ไม่มีใครแทนที่ได้ เป็นตัวแทนของความประหลาดใจ
ซ่งฝูหลิงสรุปเรื่องราวให้ท่านย่าฟัง ขายไปเท่าไร ได้เงินเท่าไร ไม่มีไม่พอใจ นางถามท่านย่าแค่ว่าคิดถึงนางหรือไม่ ท่านย่าหม่าตอบว่า อย่าพูดมาก พูดเข้าประเด็นสำคัญหน่อย ประเด็นสำคัญก็คือไม่มีอะไร ท่านย่ารีบๆ หายป่วยแล้วกัน
ท่านย่าหม่าบอกว่า ถ้าเช่นนั้นเรื่องสำคัญของนางก็คือ พวกเจ้ากินข้าวกันแล้วหรือยัง
“กินแล้วเจ้าค่ะ กินจนอิ่มแปล้เลย กินจนต้องฝืนยัดลงไป”
ท่านย่าหม่าคิดในใจ กินจนจะอ้วกแล้วทำไมเจ้าถึงไม่รู้งาน ห่อกลับมาบ้านสักหน่อย ข้าจะได้ชิมบ้าง
ซ่งฝูหลิงมีหรือจะสนใจท่านย่าที่บ่นนั่นบ่นนี่
ท่านปู่บอกว่า กระดาษพู่กันชั้นดีเหล่านั้นยังใช้ตอนนี้ไม่ได้ วางทิ้งไว้ก่อน ไว้รอให้พวกเด็กๆ เขียนหนังสือได้ประมาณหนึ่งแล้วค่อยใช้ตอนนั้น ยังคงต้องหาเงินซื้อพู่กันราคาถูก เอาของทั้งหมดไปไว้ที่บ้านซ่งฝูเซิง นางจึงเข้าไปด้วย ตามทุกคนยกหีบกลับบ้านตัวเอง
นางอยากดูว่าข้างในหีบมีอะไรบ้าง ตอนอยู่โรงเตี๊ยมไม่ได้เปิดดู นี่ขนกลับมาบ้านแล้วก็ต้องขอคุ้ยดูสักหน่อย
“อ๊า” เฉียนเพ่ยอิงตกใจ “ร้องทำไม”
“ท่านแม่” ซ่งฝูหลิงเรียกท่านแม่ รู้สึกว่าเรียกท่านแม่ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านแม่ของนางไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงถือกระดานในมือออกไปหาท่านพ่อ ซ่งฝูเซิงคุยกับลุงซ่งอย่างคร่าวๆ เสร็จกลับมาพอดี “มีอะไรรึ”
“ท่านพ่อ อ๊า ดูสิ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร” ซ่งฝูหลิงทำประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า
กระดานเหมียวหง ซึ่งก็คือกระดานฝึกเขียนอักษร จะมีอักษรนูนออกมา วางกระดาษเหมียวหงไว้ด้านบน จากนั้นก็ฝึกเขียนตามอักษรที่อยู่ข้างล่างได้
ซ่งฝูหลิงเดาว่า นี่น่าจะเป็นของที่ลู่พั่นใช้ตอนเด็ก
นางดีใจที่สามารถฝึกเขียนอักษรได้แล้ว
นางลากซ่งฝูเซิง จะให้ท่านพ่อของนางไปดูของในหีบอย่างละเอียดด้วยกันให้ได้
สองพ่อลูกนั่งลงตรงหน้าหีบ ซ่งฝูหลิงเอาลูกคิดมาไว้ข้างตัว หยิบหนังสือขึ้นมา “ท่านพ่อ หนังสือพวกนี้เป็นแบบเรียนเริ่มต้นหรือเปล่า” จากนั้นก็หยิบหนังสือในหีบขึ้นมาหนึ่งเล่ม “พวกนี้ก็ด้วยรึ” รู้สึกว่าตัวเองเสียงสูงเกินไป นางลดเสียงลงมาหน่อยแล้วพูดต่อ “รีบดูให้ข้าหน่อย หนังสือพวกนี้เป็นตำราบทกลอนโบราณใช่หรือไม่”
ซ่งฝูเซิงรับมาเปิดดูแล้วพยักหน้า
ซ่งฝูหลิงรีบเอาหนังสือไปกอดไว้ เยี่ยมไปเลย นางเรียนเองได้แล้ว
นางอยากเรียนด้วยตัวเองมานานแล้ว แต่อยากได้หนังสือกลับไม่มีหนังสือ อยากฝึกเขียนพู่กันแต่ก็เขียนได้เหมือนหมาตะกุย อีกทั้งท่านพ่อของนางก็ยุ่งมาก
“ของพวกนี้ต้องเอาไว้ให้หมี่โซ่วใช้หัดเรียนหรือเปล่า” ซ่งฝูเซิงพูด
“ข้าไม่สน ขอข้ายืมใช้ก่อน” เป็นครั้งแรกที่ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าแม่ทัพเล็กคนนั้นเป็นคนดี
หลังจากที่ซ่งฝูเซิงกับภรรยามองหน้ากันก็เอามือเท้าสะเอวมองบุตรสาว เห็นบุตรสาวทำหน้าดีอกดีใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในรถยังพูดว่าง่วงแล้ว กลับบ้านไปจะนอนเลย ทว่าดูจากตอนนี้เหมือนอยากลองฝึกเขียนอักษรมากกว่า
เขาคิดในใจ ต้องถึงขนาดนี้หรือไม่ มีประโยชน์อะไร
แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ซ่งฝูเซิงจะสืบทอดความเก่งของร่างเดิม เขียนอักษรได้ดีเหมือนร่างเดิม ชอบเอ่ยบทกลอนออกมาบ่อยๆ เหมือนร่างเดิม ทว่ากระบวนการคิดของเขาก็ยังคงเหมือนตอนยุคสมัยปัจจุบันที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ เห็นหนังสือแล้วไม่อยากเข้าใกล้
พอออกไปนอกบ้านซ่งฝูเซิงก็เห็นหมี่โซ่วกับพวกเด็กๆ ไม่รู้จักหนาวกัน กำลังห้อมล้อมเรียกลูกม้าด้วยความดีใจ “เสี่ยวหง เสี่ยวหง” เขาคิดในใจ เจ้าสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ยิ่งกว่า
เอาตัวปัญหากลับมาแล้วหนึ่ง
ถ้าปล่อยให้มันหิวจนป่วยตาย หลังจากนั้นหมี่โซ่วเสียใจยังไม่พอ หากทางนั้นถามขึ้นมาก็ดูจะไม่ค่อยดี
แต่ถ้าทำตามใจมันล่ะ ไอ๊หยา ซ่งฝูเซิงเดินเข้าไปอย่างยอมรับชะตากรรม จูงเสี่ยวหง ต่อให้บ่นแค่ไหนก็ต้องหาที่อยู่ให้มัน ต้องเปิดโรงเลี้ยงก่อน
วัวนมสองตัวอยู่ในโรงเลี้ยงวัวนมกันอย่างปกติสุข ทั้งสองตัวรูปร่างบึกบึน ยังได้ถลึงตามองเสี่ยวหงอีกด้วย แต่เสี่ยวหงกลับเอาแต่ใจ ยืนอยู่ตรงประตูเป็นตายก็ไม่เข้าไป
“นี่คือบ้านของเจ้า”
บ้านเจ้าน่ะสิถึงเป็นแบบนี้ บ้านข้าไม่ใช่แบบนี้ เสี่ยวหงถอยหลังไปอีก หันหน้าไปอีกทาง
“เจ้านี่นะ” ซ่งฝูเซิงสองมือเท้าสะเอว
“ท่านลุง ให้เสี่ยวหงไปอยู่โรงเลี้ยงที่ดีกว่านี้หน่อยดีกว่า” หมี่โซ่วกอดขาท่านลุง
ปรึกษากับหมี่โซ่วอยู่สักพัก ซ่งฝูเซิงไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้จูงม้าตัวนี้กลับบ้านมา
เฉียนเพ่ยอิงเห็นแล้วก็งง ให้อยู่ไหนนะ ห้องครัวรึ
“ท่านป้า ข้าขอร้อง เสี่ยวหงอยู่ไม่ได้จริงๆ หมี่โซ่วเห็นมากับตา คอกม้าของมันดีกว่าบ้านของพวกเรา”
ท่านย่าหม่ากอดผักกาดขาวเดินเข้ามาข้างในได้ยินพอดี นางคิดในใจ เดี๋ยวนะ ให้อาศัยอยู่ในห้องครัว แค่คืนเดียวใช่ไหม
ทันใดนั้น เสี่ยวหงที่กินน้ำผึ้งเสร็จก็ดีดขาหลัง อาละวาดไม่พอใจ
ไม่มีใครรู้ว่ามันต้องการสื่ออะไร หมี่โซ่วเริ่มลนลาน สีหน้าเป็นกังวลแต่ก็ทำอะไรไม่ถูก
หมายความว่าอะไรน่ะหรือ ถึงเวลากินผลไม้แล้ว
ยามนี้ของทุกวันมันจะต้องกินผลไม้ตรงเวลา
ซ่งฝูหลิงเดินถือผ้าขนหนูออกมา บิดเอวเล็กน้อย “อยากโดนใช่ไหม”
มหัศจรรย์มาก พอลูกม้าได้ยินก็หยุดทันที แต่จากนั้นก็ดีดขาหลังต่อทำราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น