ซ่งฝูเซิงไม่อยากพาหมี่โซ่วเข้าเมืองไปด้วย
ไม่ได้ไปเที่ยว แต่นี่ไปทำงาน
เด็กตัวแค่นี้ติดตามไปด้วย ตอนนี้ออกเดินทางตอนเช้ามืด ต่อให้รถม้าวิ่งเร็วเพียงใด กว่าจะถึงที่นั่นก็ตีสองตีสาม เป็นช่วงที่คนกำลังง่วงนอนที่สุด
และก็ไม่มีที่ให้หมี่โซ่วนอน พาเด็กตัวแค่นี้ไปจะจัดการอย่างไร
ทว่ากลับนึกไม่ถึง
เมื่อเฉียนหมี่โซ่วเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของซ่งฝูเซิง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนก็ยกตะเกียงน้ำมันขึ้น “หืม?”
เฉียนหมี่โซ่วก็สังเกตอีกฝ่าย “เอ๋?”
เถ้าแก่ “…”
เปลี่ยนๆ แผนทั้งหมดต้องเปลี่ยนแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์โน้มตัวไปกระซิบข้างหูเถ้าแก่ “พ่อครัวขนมสองคนซ่อนตัวเรียบร้อยแล้วขอรับ พ่อครัวใหญ่ของเราก็ตามมาด้วย ขอเพียงแต่พาไปเรือนด้านหลัง เอาอิฐตรงกำแพงออกก็มองเห็นได้ขอรับ”
“ยังจะพาไปเรือนหลังอะไรเล่า เรือนหน้า เชิญไปที่ห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมสิ”
“แต่เจ้านาย”
“ฟังข้าเถอะน่า พอเจ้านายรู้ก็มีแต่จะชมที่ข้าจัดการเช่นนี้”
เถ้าแก่กำชับเสี่ยวเอ้อร์เสร็จก็รีบเดินเข้าไปถามซ่งฝูเซิง “ท่านขาดเหลืออะไร ต้องการอะไร ก็บอกได้เลย ข้าจะส่งคนไปให้ ท่านแค่เข้าไปทำขนมในห้องด้านบนก็พอ เรื่องอื่นข้าจะจัดการให้”
ทั้งยังบอกอีกว่า “ปกติลูกค้าที่ใช้ห้องด้านบนจะมาดื่มสุราหลังเที่ยง ท่านทำงานตามสบาย ไว้พวกเราเสร็จงานเมื่อไรค่อยเก็บกวาดก็ได้”
ที่นั่นไม่เพียงแต่จะเก็บเสียงดี มีกำแพงให้ความอุ่น ทั้งยังมีเก้าอี้ยาวให้พักผ่อน ให้เด็กนอนตรงนั้นได้
ซ่งฝูเซิงเหลือบมองหมี่โซ่วที่กำลังยิ้มอยู่ในอ้อมกอด เขาเข้าใจทันที
นี่เป็นเหตุสุดวิสัย “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนเถ้าแก่ด้วย ขอบคุณมากขอรับ แค่ช่วยเอาโต๊ะกลมในรถม้าเข้าไปไว้ในห้องให้ก็พอ เรื่องอื่นพวกข้าจัดการเองได้ขอรับ”
ขณะพูดเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงก็ได้หิ้วครีมสี่ถังเข้ามาแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์หลายคนก็ได้ใช้สองมือประคองถือตัวเค้กเข้ามา
ภายในห้องด้านบน
ลำพังแค่ตะเกียงน้ำมันก็ถูกจุดแล้วหกตะเกียง นี่ยังไม่รวมเทียน ตะเกียงเทียนที่เอาไว้ให้แขกชั้นสูงโดยเฉพาะ ได้ถูกจุดไว้ทั้งหมด
ซ่งฝูหลิงยืนอยู่หน้าโต๊ะกลมที่ลุงรองทำให้ เป็นโต๊ะกลมที่มีถาดเหล็กหมุนได้วางอยู่บนนั้น นางกำลังตั้งใจทำดอกไม้ประดับบนขนมเค้ก
ซ่งฝูเซิงเป็นลูกมือให้บุตรสาว ช่วยทาครีมสีขาวลงบนตัวขนมเค้ก
เฉียนเพ่ยอิงห่มผ้าให้หมี่โซ่วที่หลับสนิทไปแล้ว
เก้าอี้ยาวที่เถ้าแก่ว่า ในสายตาของเฉียนเพ่ยอิง อันที่จริงก็คือเก้าอี้เอนตัวในยุคปัจจุบัน
คาดว่าสาเหตุที่เตรียมเก้าอี้เอนไว้ในห้องคงเป็นเพราะกลัวว่าถ้าแขกดื่มจนเมาจะได้นอนพักสักหน่อยหรือไม่
อีกทั้งภายในห้องยังมีเครื่องดนตรี
เถ้าแก่เอาผ้าห่มมาให้
เฉียนเพ่ยอิงหาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ หยิบถ้วยชาบนโต๊ะรับแขกขึ้นมาจิบชาร้อน
ใบชากระหยิบมือ น้ำกาใหญ่ เถ้าแก่ก็เอามาให้ด้วยตัวเองเช่นกัน
ทั้งยังบอกอีกว่า ภายในตู้ที่อยู่ในห้องมีภาชนะที่ใช้อุ่นชาได้ มีอุปกรณ์ชงชาสำหรับชงเอง เพราะแขกชั้นสูงบางคนชอบพกใบชามาเอง ชงชาเอง พวกท่านเอาออกมาใช้ได้ ใช้กาน้ำใบนี้ต้มก็พอ
จากนั้นเถ้าแก่ก็ไม่ได้ขึ้นมาอีก เช่นนี้เรียกว่ารู้งาน
ช่วยเอาของที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นมาให้ อะไรที่นึกได้ก็ตระเตรียมไว้ให้หมด อีกทั้งยังไม่มารบกวน รู้จักมีมารยาท
เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่รู้สึกว่า เดี๋ยวก็มาเคาะประตู เดี๋ยวก็ขึ้นมา อยากแอบขโมยวิชา
ดูเอาแล้วกัน พาหมี่โซ่วมาด้วยก็มีข้อดีมากเช่นนี้
แตกต่างจากที่คิดไว้ก่อนมาอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพ่อ เอาขวดครีมสีม่วงออกมาให้ข้าหน่อย” ซ่งฝูหลิงกระซิบหลังจากเหลือบมองน้องชาย
ไม่มองไม่ได้หรอก ตอนนี้น้องชายของนางฉลาดเหลือเกิน รู้จักแกล้งหลับหลอกพวกเขา จากนั้นก็วิ่งข้ามสะพานมาร่ำร้องจะขอไปเมืองเฟิ่งเทียนด้วย ยังมีอะไรที่เฉียนหมี่โซ่วไม่กล้าทำอีก
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามเฉียนเพ่ยอิง กลอกตา จากนั้นก็เข้าไปในพื้นที่พิเศษ
สีม่วงเป็นสีที่หาได้ยากในสมัยโบราณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนหน้าหนาวที่ผลไม้มีน้อยมาก
แน่นอนว่าการที่พวกเขาได้สีม่วงแบบนี้มาก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน
ได้มาจากเปลือกองุ่น พยายามคั้นพยายามรีดน้ำจากเปลือกออกมา
ก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนวันๆ แอบกินองุ่น ไม่ปล่อยพื้นที่พิเศษทิ้งไว้เฉยๆ ต้องเปลี่ยนแปลงทุกวัน โชคดีที่หลักการของพื้นที่พิเศษมีอยู่ว่า ผลไม้อย่างแอปเปิ้ล เชอร์รี่ องุ่น มะเขือเทศราชินี รวมไปถึงพริก ล้วนเป็นพืชที่ประกอบไปด้วยเม็ด เปลือก เนื้อผลไม้ หากจะเปลี่ยนสภาพก็ต้องปล่อยให้เปลี่ยนไป มิฉะนั้นพริกจะปลูกไม่ขึ้น เปลือกองุ่นก็เก็บไม่ได้
ตอนแรกสุดที่เก็บเปลือกองุ่น เนื้อที่เอาออกมาจะเก็บไว้ให้หมี่โซ่ว
เฉียนเพ่ยอิงคิดว่า พวกเขาสามคนได้กินผลไม้จากพื้นที่พิเศษ ทั้งยังได้กินวิตามินบำรุงกับแคลเซียม มีเพียงหมี่โซ่วที่ไม่ได้กินสักอย่าง เด็กน้อยน่าสงสารเหลือเกิน
จึงคิดหาวิธีออกมาได้ว่า เปลือกองุ่นลอกออกมานางก็เก็บไว้ น้ำนมแรกของวัวก็เอาไปนึ่ง หรือไม่ตอนต้มนมก็ใส่น้ำจากเปลือกลงไปให้หมี่โซ่วด้วย คนให้เข้ากันแล้วเอาให้เขาดื่ม
ฤดูหนาวแบบนี้เป็นช่วงที่ผลไม้ออกผลผลิตน้อย หมี่โซ่วก็จะได้ลิ้มรส
น้ำองุ่นแค่ครึ่งขวด ลองคิดอย่างโง่ๆ ต้องใช้เปลือกองุ่นตั้งเท่าไร ต้องเก็บสะสมทุกวันเชียวนะ ตอนนี้พวกเขาสามคนอยู่ในระดับที่พอเห็นองุ่นก็กลายเป็นเครื่องจักรลอกเปลือกไปแล้ว
ครั้งนี้ขนมเค้กที่ซ่งฝูหลิงจะทำ นางวางแผนใช้น้ำที่คั้นออกมาจากเปลือกองุ่น
ต้องขออภัย สามสิบเก้าก้อน ทำส่งได้แค่สิบเอ็ดก้อน แค่อยากตั้งใจทำให้ดีหน่อย ทำให้สวยหน่อย
ฟ้าสว่างแล้ว
เปิดหน้าต่างออกก็สามารถมองเห็นถนนศูนย์กลางที่ครึกครื้นที่สุดเส้นนี้ มีผู้คนมากมายสัญจร
ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดื่มชา กินคุกกี้นิ้วมือ
ซ่งฝูเซิงก็ใช้ถ้วยชาโบราณชงกาแฟดื่ม
ตอนที่เขาเข้าพื้นที่พิเศษไปเอาครีมสีม่วงได้แอบหยิบกาแฟมาให้ลูกสาวสี่ซอง ให้ภรรยาสองซอง เขาสองซอง
เขาชี้ “จดหมายฉบับนี้ใส่ไว้ตรงไหนของขนมเค้ก” เขาถามบุตรสาว
ซ่งฝูหลิงตอบว่าจะวางไว้ตรงไหนอันที่จริงขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต เพราะนางจะใส่ไว้ตรงฝาขนมเค้ก
ไม่สามารถใส่ไว้ใต้ขนมเค้ก หรือเอาไม้เสียบจดหมายฉบับนี้ปักลงไปบนเค้กที่คนอื่นซื้อหรือเปล่า แบบนั้นจะดูไม่ใส่ใจ
อย่างไรเสียเมื่ออีกฝ่ายอ่านจบ ถ้าไม่เข้าใจอันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ ทางนั้นไม่มีความจำเป็นต้องมาคิดในมุมของเรา แต่ถ้าเข้าใจนั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายจิตใจดี เป็นคนมีความเมตตา
ดังนั้นพวกเราก็ต้องคิดให้ดี ติดไว้กับฝาครอบก็แล้วกัน ถึงแม้ความเป็นไปได้ที่จะเห็นว่ามีของอยู่ตรงฝาครอบมีอยู่น้อยมาก ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต
“แบบนั้นก็ต้องกำหนดว่าก้อนไหน” เฉียนเพ่ยอิงซดกาแฟแล้วกระซิบ “เจ้าคงไม่ได้จะให้ท่านพ่อเขาคัดลอกสิบเอ็ดฉบับหรอกนะ”
“จะได้ยังไงล่ะท่านแม่” ซ่งฝูหลิงปัดเศษขนมบนมือ ยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
ไอ๊หยา จากใจเลยนะ สวยหมดเลย ทำไมนางถึงได้มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ดูท่านางจะเป็นเชฟเบเกอร์รีชั้นแนวหน้ามาแต่กำเนิด ชาติก่อนนางอยู่ยุคปัจจุบัน ถูกพ่อแม่ทำเสียเวลาซะแล้ว
แต่ว่าใส่ไว้ในฝาขนมเค้ก ‘มวลบุปผา’ ก็แล้วกัน
ดอกไม้ใจกลางสีม่วง ซ่อนอยู่ในเกสร น่าจะเป็นก้อนที่สวยที่สุดแล้ว ก้อนที่สวยที่สุดก็มักจะอยู่ในมือของเจ้านายผู้หญิง
สตรีย่อมมีประสาทสัมผัสที่อ่อนไหว
เริ่มจัดการห่อ
เถ้าแก่ได้มาเคาะประตูในเวลานี้
เฉียนหมี่โซ่วก็ตื่นขึ้นมาตอนนี้เช่นกัน ไอ๊หยา ไม่ได้รบกวนการนอนของเด็กน้อยเลยสักนิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอนเสียจนใบหน้าแดงก่ำ
เถ้าแก่ถามว่าจะไปกินข้าวข้างล่างด้วยกันหรือไม่ พวกเขาเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว
ซ่งฝูเซิงปฏิเสธ แค่นี้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว พวกเขาพกอาหารแห้งมากันเอง แต่ต้องรบกวนให้เถ้าแก่บอกให้เสี่ยวเอ้อร์เอาน้ำมาให้หน่อย พวกเขาอยากล้างหน้าล้างตา เพราะกว่าภรรยากับเด็กจะได้มาสักครั้งไม่ใช่ง่ายๆ อยากให้พวกเขาออกไปเดินเล่นสักหน่อย ร้านรวงข้างนอกเปิดหมดแล้ว
ความหมายก็คือ เขากับซ่งฝูหลิงอยู่ทำงานที่เหลือต่อ เฉียนเพ่ยอิงจะพาหมี่โซ่วออกไปเดินเล่น
เถ้าแก่ได้ฟังก็คิด ก็ดี ภรรยาของเขาคงอยากออกไปซื้ออะไรมาให้กิน แบบนั้นก็ได้
เอ๊ะ ได้ออกไปเดินเที่ยวแล้ว หมี่โซ่วดีใจจนตบมือไม่หยุด
เฉียนเพ่ยอิงจัดการล้างหน้าให้เด็กน้อย ยิ้มพลางดุ “ดูเจ้าซิแอบหนีออกมา ฟันก็ไม่ได้แปรงใช่ไหม เลิกหันหนีสักที พวกเราต้องรีบหน่อย ยังต้องกลับมาหาท่านลุงกับพี่สาวของเจ้าอีก”
ล้างใบหน้าน้อยๆ จนสะอาดสะอ้านแล้ว ทว่าไม่ได้พกน้ำมันบำรุงผิวหน้ามาทาให้หมี่โซ่วด้วย จำต้องแกล้งทำเป็นค้นกระเป๋าเสื้อ บีบ ‘เซรั่ม’ ของบุตรสาวออกมาทาหน้าให้เด็กน้อยหน่อย
หมี่โซ่วใช้มือน้อยๆ ถูใบหน้า เอามาดมใกล้ๆ จมูก “ข้ากับพี่มีกลิ่นเดียวกันเลย”
“จมูกไวเหมือนกันนะเรา”
“ก็ต้องไวอยู่แล้ว ผ้าห่มของพี่ก็กลิ่นนี้เหมือนกัน”
ซ่งฝูหลิงพูด “ไอ๊หยา เจ้ามุดเข้าผ้าห่มข้าทั้งยังแอบดมตั้งแต่เมื่อไร”