เนื่องจากแขกที่คาดไม่ถึงโผล่มาอย่างกะทันหัน อลิเซียจึงไม่บอก คําขอใดๆ กับโรเอลอีก หลังจากไล่จูเลียน่าออกไปแล้ว เธอก็กลับไป นอนอย่างเชื่อฟัง
บนเตียงของโรเอล
โรเอลได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงใช้วิธี เดียวกันกับคราวก่อน จัดการติดตั้งที่กั้นบนเตียงเป็นหมอนข้างไว้ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนกลางคืน แต่มีความรู้สึกแปลกๆ ซ�าซ้อน เมื่อเขาลืมตาตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น และพบว่าอลิเซียนอนอยู่บน หน้าอกตัวเองอีกครั้ง
นี่ทําให้เด็กหนุ่มหมดคําพูดจริงๆ
โรเอลรู้ว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ แต่เขาก็ทําอะไรไม่ ถูกกับคําวิงวอนของอลิเซีย
เราใจอ่อนลงเพราะไม่ได้เจอเธอมาครึ่งปีงั้นเหรอ?
โรเอลถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะเริ่มกิจวัตรตอนเช้า ตามปกติ
…
หลังจากการต่อสู้รอบที่แล้ว ในที่สุดศึกชิงถ้วยก็มาถึง 16 อันดับ แรก ความตื่นเต้นแผ่กระจายไปทั่วถนนของเมืองเลนสเตอร์ ขณะที่ฝูง ชนต่างอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในยุคทองนี้
ผู้เข้าแข่งขันจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเริ่มจับคู่กันเอง และแม้แต่นักเรียนที่ย้ายมาจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์เอง ก็ต้องเจอกันกับคนของพวกเขาด้วยเช่นกัน
โรเอลโชคดีมากที่ได้จับคู่กับนักเรียนชั้นยอดจากสถาบันการศึกษา อื่นของเมืองเลนสเตอร์ ทําให้เขาไม่ต้องยั้งมือใดๆ เพราะเขาได้ลงเงิน เอาไว้แล้ว
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เด็กหนุ่มก็เรียกงูสีทองขนาดใหญ่ออกมา โจมตีศัตรู ทําให้คู่ต่อสู้ล้มลงภายในห้านาที
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถเพิ่มทุนทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ ได้อีก
โรเอลเลือกที่จะอยู่ในสนามแข่งต่อ เพื่อชมการต่อสู้คู่อื่นๆ เช่นเคย และในไม่ช้าเขาก็พบว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองในรอบต่อไปคือเคิร์ต
คู่ต่อสู้ที่เคิร์ตต้องเผชิญในรอบ 16 คนคือจูเลียน่า
จูเลียน่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ของเผ่าเลือด แต่น่าเสียดายที่คาถาเวท ของเธอเน้นหนักไปที่ประโยชน์ใช้สอย ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อหน้ายักษ์ ขนาดมหึมา
หมัดขนาดมหึมาของเคิร์ตทําลายทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียง หมัด ส่งพื้นดินให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ลากจูเลียน่าออกมาจากเงาที่เธอใช้ เคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจึงทําได้เพียงแค่ต่อสู้กับเขา ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่เสียเปรียบ ซึ่งก็ไม่มีใครแปลกใจกับผลการ ประลองที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเธอเอง
“โอ้วววววววววว!”
“เคิร์ต! เคิร์ต! เคิร์ต!”
หมัดมหึมาของเคิร์ตที่โจมตีใส่จูเลียน่าอย่างเต็มที่ สร้างความ ประทับใจให้กับฝูงชนจนหัวใจของพวกเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกของพวกเขาถูกถ่ายทอดด้วยการโห่ร้องที่ดังก้องไปทั่ว สนามแข่ง
ชายสูงตระหง่านโบกมือให้ผู้ชมก่อนจะหันไปมองที่โรเอล ดวงตา ของเขาเต็มไปด้วยเจตจํานงของการต่อสู้
การต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนี้ทําให้ชื่อเสียงของเคิร์ตพุ่งสูงขึ้น และฐาน แฟนคลับของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนไม่สามารถทนรอ
การต่อสู้ระหว่างเคิร์ตกับโรเอลได้อีก ดังนั้นการคาดเดาวางเดิมพันจึง เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“โรเอล นักอัญเชิญผู้มีไหวพริบจะคว้าชัยชนะ หรือผู้สืบทอด สายเลือดยักษ์โบราณ เคิร์ต จะสานต่อมรดกอันยอดเยี่ยมของเขาต่อไป เลือกผู้ชนะแล้ววางเดิมพันได้เลย!”
พนักงานจากโรงเดิมพันอย่างเป็นทางการของศึกชิงถ้วยตะโกน
นอกจากนี้ยังสามารถได้ยินเสียงหึ่งๆ จากโรงพนันเล็กๆ ริมถนน มากมาย
ถือเป็นเรื่องเครียดที่ต้องกลายมาเป็นจุดสนใจ แต่โรเอลก็ไม่คิดว่า มันจะแย่สักเท่าไหร่ ความเครียดเองก็เป็นแรงจูงใจรูปแบบหนึ่งเช่นกัน และเขาก็ต้องการสอนบทเรียนให้กับอีกฝ่ายที่หยิ่งผยองด้วย
เวลาผ่านไปท่ามกลางโฆษณามากมาย
…
หลังจากสัปดาห์แห่งการโหมกระหน�าของการพนัน ศึกการต่อสู้ที่ รอคอยมาอย่างยาวนานก็ได้มาถึงในที่สุด
ที่ปลายด้านหนึ่งของสนามมีเด็กหนุ่มผมดําที่ถือไม้เท้าอย่างใจเย็น และอีกคนหนึ่งเป็นชายสูงตระหง่านที่มีแขนไขว้กัน มีบรรยากาศอัน
รุนแรงระหว่างนักสู้ทั้งสอง ทัศนคติของโรเอลต่อการต่อสู้ครั้งนี้ต่างจาก การต่อสู้ครั้งก่อนๆ มาก
ไม่มีคําพูดใดระหว่างนักสู้ทั้งสองเพราะพวกเขาเข้าใจความดื้อรั้น ของกันและกันดี คําพูดไม่สามารถแก้ไขข้อโต้แย้งของพวกเขาได้ และ โรเอลเองก็คิดว่าการกระทํามีประโยชน์มากกว่าสําหรับผู้สืบทอด สายเลือดยักษ์
“ทําการเลือกสนามประลอง”
“สนามแข่งของคู่ที่ 9 ทะเลทรายขี้เถ้า”
เมื่อพนักงานที่ถือลูกบอลคริสตัลประกาศสนามประลอง ฝูงชนก็ โห่ร้องเชียร์ โรเอลเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินว่าสนามประลองคือทะเลทราย ขี้เถ้า
ทะเลทรายขี้เถ้ามีขี้เถ้าลอยทั่วจากเพลิงไหม้อันโชติช่วง หมายความว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดที่จะสามารถใช้ปกปิดร่างกายได้ ผู้ที่อยู่ ในสนามประลองนี้จะต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ เท่านั้น
มันเหมาะกับทั้งโรเอลและเคิร์ตที่ตั้งใจจะปะทะกันตรงๆ
ก่อนที่ฝูงชนจะมองเห็น โรเอลและเคิร์ตก็ก้าวเข้าไปในสนาม ประลอง ทั้งคู่ถูกฝุ่นผงและเศษหินก้อนเล็กๆ ถล่มทับทันที ภายใน ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ พวกเขายืนห่างกันพันเมตร
หนึ่งพันเมตรอาจเป็นระยะทางที่ยาวไกลสําหรับผู้เข้าแข่งขันคน อื่น แต่ไม่ใช่สําหรับโรเอลและเคิร์ต มันเป็นเพียงไม่กี่ก้าวสําหรับพวก เขาเท่านั้น
สายเลือดของเคิร์ตมีต้นกําเนิดมาจากยักษ์ แต่เขาไม่ได้สืบทอด คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแข็งแกร่งของพวกยักษ์มา แต่ใช้ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิด ‘การย้อนยุค’
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดการย้อนยุคเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ตระกูลกุสตาฟ มันทําให้เคิร์ตปลุกพลังสายเลือดยักษ์ของเขาขึ้นมา และเรียกร่างสูงตระหง่านของยักษ์โบราณออกมาได้ นําสิ่งที่ล่วงลับไป แล้วกลับมาสู่ยุคปัจจุบัน
‘การย้อนยุค’ ของตระกูลกุสตาฟ ขยายพลังเหนือธรรมชาติของ พวกเขาผ่านการเปิดเผยต้นกําเนิดของพลังทางสายเลือด ไม่ต่างจากโร เอลหรือผู้ที่รับเอาคุณสมบัติต้นกําเนิดแห่งปัญญามากนัก พวกเขา ทุ่มเทให้กับการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของยักษ์เป็นอย่างมาก นั่น ทําให้พวกเขาค้นพบความจริงเกี่ยวกับกรันด้า
ตรงกันข้ามกับร่างกายที่แข็งแรง ตระกูลกุสตาฟเป็นตระกูลของ นักวิชาการ พวกเขาพิถีพิถันและถี่ถ้วนในการวิจัย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทําไมความขัดแย้งระหว่างเคิร์ตและโรเอลจึงรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะ มันเป็นการปะทะกันระหว่างนักวิชาการผู้ภาคภูมิใจสองคน ที่ได้ ข้อสรุปที่แตกต่างกันในหัวข้อเดียวกัน
ภายใต้แสงแดดจ้า เด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่คนละฟากของ ทะเลทราย ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก พวกเขาต่างปล่อยพลังและพุ่ง ออกไปโดยไม่ลังเล
“การย้อนยุคจงสําแดง!”
ด้วยเสียงคํารามอันเกรี้ยวกราด เคิร์ตได้ปลดปล่อยพลังเวทออกมา อย่างมหาศาล ซึ่งทําให้พลังสายเลือดยักษ์ของเขาไปถึงระดับสูงสุด ภายใต้อิทธิพลของพลังทางสายเลือด ร่างกายของเขาเปลี่ยนรูปร่าง อย่างรวดเร็ว เลียนแบบยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่
กล้ามขาที่เปี่ ยมล้นไปด้วยพลังระเบิด เอวหนาที่ไม่ขาดความ ยืดหยุ่น ไหล่กว้างที่ให้พลังมากขึ้น และแขนคู่หนึ่งที่ควบคุมความ แข็งแกร่งเกินบรรยาย
เมื่อเผชิญหน้ากับโรเอล เคิร์ตก็เลือกที่จะขยายร่างทั้งตัวอย่าง สมบูรณ์เป็นครั้งแรกในงานประลอง ความสูงส่งของเขาชวนให้นึกถึง เทพเจ้า ทําให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้
“โอ้วววว!!!”
“ยักษ์! ยักษ์ตัวจริง! มันไม่ใช่แค่การขยายขนาดบางส่วน แต่เป็น การขยายทั้งร่าง!”
ผู้สนับสนุนของเคิร์ตโห่ร้องด้วยความปลาบปลื้มยินดี เป็นที่เข้าใจ ได้ เมื่อได้รับโชคที่วางเดิมพันไว้กับเขา แขกผู้มีเกียรติจากอาณาจักร ต่างๆ ก็เริ่มพูดคุยกันอย่างดุเดือด
อารมณ์อันรุนแรงของยักษ์สามารถสัมผัสได้ แม้จะออกมาผ่านการ ฉายภาพ มันเขย่าหัวใจของผู้ชม
อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มผมดําที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวยักษ์นั้นดูเหมือน จะเป็นข้อยกเว้น
โรเอลมองไปที่ยักษ์ตรงหน้าโดยปราศจากความกลัวใดๆ ในดวงตา สีทองคู่นั้น เขาเริ่มใช้พลังเวทของตนเช่นกัน พลังเวทสีแดงเข้มปกคลุม ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เพียงช่วงเวลาสั้นๆ โครงกระดูกขนาด มหึมาที่เปล่งแสงสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา
การแสดงตนของกรันด้าต่างจากบรรยากาศที่สง่างามของเคิร์ต ตรงข้ามกลับความเคารพนับถือ แม้แต่ฝูงชนในสนามแข่งก็พบว่า ตัวเองเต็มไปด้วยความกลัว ซึ่งทําให้ที่นั่งชมนั้นเงียบกริบ
เมื่อกรันด้าเงยหน้าขึ้นมองศัตรู อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะสบตา
สนามประลองตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด นี่คือบรรยากาศ ของแรงกดดันที่มาจากตัวตนอันสูงส่งที่เป็นจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์
บางทีอาจเป็นเพราะไม่สามารถทนต่อการถูกกดขี่ด้วยพลังเวทได้ เคิร์ตจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวก่อนหลังจากหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ยักษ์ที่เขา เรียกออกมาด้วยพลังเวทคํารามอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะพุ่งทะยาน ข้ามทะเลทรายด้วยเสียงกระหึ่มอันน่าสะพรึงกลัว
อีกด้านหนึ่งโรเอลเองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน กรันด้ายกแขนโครง กระดูกขนาดยักษ์ขึ้น พร้อมพลังเวทสีแดงเลือดรอบตัวที่ทึบลง
ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการปะทะกัน ทว่านี่กลับเป็นแรง กระแทกที่ทรงพลังที่สุดตลอดงานประลองศึกชิงถ้วยครั้งนี้
หมัดเรืองแสงของเคิร์ตชนกับแขนโครงกระดูกของกรันด้า ทําให้ เกิดคลื่นกระแทกอันทรงพลังที่กระเพื่อมออกไปด้านนอก ก่อเป็นคลื่น ทรายขนาดยักษ์
ตูม!!!
ในการปะทะครั้งแรกร่างกายของกรันด้าหงายไปข้างหลังเล็กน้อย ในขณะที่เคิร์ตถอยหลังไปมาก เคิร์ตรู้สึกทึ่งกับความแข็งแกร่งของ กรันด้า กระนั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเองก็ยังคงลุกโชน มัน ทําให้คนเลือดร้อนอย่างเขากระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
โดยไม่ลังเลใดๆ เคิร์ตวิ่งไปข้างหน้าและปะทะกับกรันด้าอีกครั้ง เพื่อแลกหมัด การปะทะครั้งก่อนได้สอนเขาว่าตนเองเสียเปรียบใน ความสามารถการทําลายล้างหากเทียบกับกรันด้า ซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงปรับกล ยุทธ์ของตัวเอง และเน้นไปที่ความรวดเร็วแทน
หมัดของเคิร์ตขับเคลื่อนด้วยพลังระเบิดจากพลังเวททั้งรวดเร็ว และไม่หยุดยั้ง เป็นเรื่องน่าขันที่แขนอันใหญ่โตขนาดนี้สามารถ เคลื่อนที่ได้เร็วจนทิ้งเงาไว้ให้ลายตา
อีกด้านหนึ่งดวงตาของโครงกระดูกสีแดงเข้มขนาดมหึมาเริ่มเปล่ง ประกาย
ถ้าเคิร์ตเป็นตัวแทนของความเร็วสูงสุด กรันด้าก็คงเป็นตัวแทน ของความแข็งแกร่งสูงสุด กรันด้าเหวี่ยงหมัดไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
หมัดของเขาลุกโชนด้วยผลจากแรงอันมหาศาลที่ชวนให้นึกถึงดาวหาง ที่ตกลงมา
“แย่แล้ว!”
เคิร์ตเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทนต่อ หมัดนี้ของอีกฝ่ายได้ ทําให้เขาต้องเปลี่ยนจากการรุกมาเป็นการป้องกัน เด็กหนุ่มเปลี่ยนทิศทางการชกนับไม่ถ้วนไปยังหมัดของกรันด้าหวังว่า จะทําให้มันอ่อนลง
ทว่าหมัดของกรันด้านั้นแข็งกร้าวพอๆ กับการลงทัณฑ์จากสวรรค์
ตูมมม!!!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น และเคิร์ตถูกส่งตัวปลิวไปโดยเอาแขนโอบ ป้องกันไว้ข้างหน้า รอยแตกปรากฏขึ้นบนร่างกายที่สร้างขึ้นมาด้วย พลังเวท เด็กหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น มองดูร่างกายอันทรุดโทรมของตน จากนั้นจึงเข้าใจได้ทันทีว่าตนเองนั้นแพ้แล้ว …เขาแพ้ในการสู้รบระยะ ประชิดโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้จะจบลง
เคิร์ตไม่ใช่ยักษ์แต่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีความสามารถใน การเลียนแบบยักษ์ พลังของเขาไม่ได้จํากัดอยู่แค่ความสามารถทาง กายภาพเท่านั้น
“ดินแดนแห่งการหวนคืน!”
เคิร์ตส่งพลังเวทของตนไปยังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดด้วยเสียง ร้อง
วินาทีถัดมาทะเลทรายขี้เถ้าก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ด้วยการ ใช้พลังเวทเป็นสื่อกลาง เขาได้เติมพลังของสายเลือดยักษ์ลงสู่พื้นโลก สร้างยักษ์ทราย 13 ตัวพุ่งเข้าใส่กรันด้าในทันที
ภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมใน สนามประลอง พวกเขาต่างกรีดร้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เด็กหนุ่มผมดําท่ามกลางวงล้อมของยักษ์ทรายยังคงยืนนิ่งเช่นเคย เขาเงยหน้าขึ้นและพูดกับสหายของตน
“ยังไหวไหม?”
“แน่นอน”
“มาจบเรื่องนี้กันเถอะ”
โรเอลเริ่มร่ายเวท ซึ่งทําให้คุณสมบัติต้นกําเนิดมงกุฎปะทุเป็น จังหวะอย่างเข้มข้นอยู่ภายในตัว กรันด้าเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมกับ ปล่อยเสียงคํารามอันยิ่งใหญ่
บรรยากาศแห่งราชันของกรันด้ารุนแรงมาก ราวกับว่าเขาได้ กลายเป็นศูนย์กลางของการดํารงอยู่ของโลก โดยที่คนอื่นๆ ไม่ได้เป็น อะไรมากไปกว่ามด
ราวกับภาพลวงตา ที่ราบพระอาทิตย์ตกสีเลือดซ้อนทับกับ ทะเลทราย ลมสีแดงเข้มพัดโหมกระหน�าในสถานที่ฝังศพของเหล่า ยักษ์นับไม่ถ้วน ส่งเสียงโห่ร้องของเหล่านักรบไปยังราชาของพวกตน ราวกับว่าเขาได้หวนกลับไปสู่อดีตอันเก่าแก่
“!”
ดวงตาของกรันด้าหรี่ลงอย่างรวดเร็ว เมื่อความทรงจําที่เหมือนจะ ลืมเลือนไปแล้วผุดขึ้นมาในใจ เขาส่งเสียงคํารามอันโกรธเกรี้ยวและ เหวี่ยงหมัดออกไป
ด้วยการปะทุของพลังเวทที่ชวนให้นึกถึงมหานวดารา พลังเวทสี แดงเข้มพุ่งออกมาจากหมัดของกรันด้า พลังแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ทําลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า สายฟ้าสีแดงฉานจาก ท้องฟ้าเบื้องบน ประกาศความโกรธของราชายักษ์
พลังอันท่วมท้นของมันได้กําจัดยักษ์ทรายหายไป และร่างยักษ์ ของเคิร์ตก็แตกสลายลง
พายุทรายก่อตัวขึ้นราวกับกอบกู้ความภาคภูมิใจของผู้พ่ายแพ้
ผู้ชมเงียบสนิท แขกผู้มีเกียรติในที่นั่งชั้นวีไอพีต่างจ้องมองไปที่ เครื่องฉายภาพโดยไม่พูดอะไร ภาพวันโลกาวินาศในทะเลทราย ทะเลทรายขี้เถ้าถูกทําลายไปครึ่งหนึ่ง ราวกับผลพวงของการต่อสู้ ระหว่างเทพเจ้าโบราณได้สั่นสะเทือนจิตใจของพวกเขา
นี่คือผลลัพธ์ที่โรเอลต้องการสร้างขึ้น
บรรดาผู้ที่ได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่มีวันลืมว่าทําไมยักษ์ถึงยืนอยู่ ที่จุดสูงสุดในยุคโบราณ และยักษ์ที่แท้จริงเพียงตนเดียวที่เหลืออยู่บน โลกนี้คือกรันด้า
และแล้วการต่อสู้ระหว่างโรเอลกับเคิร์ตก็จบลงในที่สุด
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวในสนามแข่งอีกครั้ง เสื้อผ้าของโรเอลก็ถูก ปกคลุมด้วยเศษทราย ในขณะที่เคิร์ตล้มลงกับพื้น
คราวนี้โรเอลไม่สนใจโบกมือให้ผู้ชม และฝูงชนที่ตกตะลึงก็ไม่อาจ หลุดพ้นจากความงุนงงเพื่อปรบมือให้กับผู้ชนะเช่นกัน เขาหันหลังกลับ
อย่างเงียบๆ เดินออกจากสนามแข่งเพียงเพื่อจะได้ยินเสียงของเคิร์ตใน อีกไม่กี่ก้าวต่อมา
“รอ…เดี๋ยวก่อน!”
เคิร์ตที่ร่างเปื้ อนเลือดประคองร่างกายที่บาดเจ็บของตัวเองด้วย ความยากลําบาก ตะโกนเรียกให้โรเอลหันมาหา
เด็กหนุมผมดําหยุดฝีเท้าลง
ใบหน้าของเคิร์ตมีความขัดแย้งในขณะที่เจ้าตัวจ้องมองไปยังเด็ก หนุ่มที่เพิ่งเอาชนะเขาได้ เขานึกถึงเสียงโห่ร้องของเหล่านักรบยักษ์บน พื้นทรายสีเลือดพลางถอนหายใจ
“เกี่ยวกับท่านกรันด้า… อาจจะเป็นความผิดพลาดในส่วนของพวก เราจริงๆ ฉันจะกลับไปตรวจสอบอีกที”
“เข้าใจแล้ว… นายปรึกษาฉันได้นะ ถ้ามีคําถามอะไร ”
สีหน้าของเคิร์ตผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น และในที่สุด ก็หมดสติหลังจากได้พูดประโยคของตนเองออกไป
เมื่อเงาของโรเอลหายไปจากสนามแข่ง เสียงเชียร์และเสียง ปรบมือก็ดังขึ้นจากฝูงชนอย่างล่าช้า พวกมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนดังก้องไป ทั่วเมืองเลนสเตอร์
โรเอลนั่งอยู่บนม้านั่งตรงบริเวณพักผ่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อย หอบ แต่ก่อนที่เขาจะได้พักผ่อนอย่างจริงจัง จู่ๆ นักเรียนจากจักรวรรดิ เซนต์เมซิทก็รีบเข้ามาแจ้งข่าวอันน่าเหลือเชื่อให้เขาทราบ