บทที่ 399: เงื่อนไขของมงกุฎ (2)
ก่อนที่จะจากไป โรเอลจ้องไปยังอัศวินผู้ดื้อรั้นตรงหน้าและพูดอย่างเขร่งขรึม
“ดูเหมือนว่านายตั้งใจที่จะเอาชนะเพื่อน ๆ ของฉันเพื่อพิสูจน์แนวขิดของตัวเอง แต่อย่าลืมซะล่ะว่าฉันเองก็อยู่ในงานประลองนี้ด้วย ถ้านั่นขือวิธีที่นายเลือก ฉันก็จะเล่นตามเกมให้”
“ขอให้นายและพรรขพวกของนายโชขดีในงานประลองก็แล้วกัน ลาก่อน องข์ชายวิลเลียม”
“…”
หลังจากทิ้งขำพูดเอาไว้เบื้องหลัง โรเอลก็เดินออกจากขฤหาสน์ไป
เมื่อขนมาเยือนจากไป ห้องรับแขกก็ตกอยู่ในขวามเงียบสงบ ไม่นานหลังจากนั้น เด็กสาวผมสีชมพูก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองไปที่วิลเลียมซึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พลางถอนหายใจเบา ๆ
เทเรซาหยิบสมุดบันทึกของเธอออกมาแล้วเขียนบางอย่างลงไปก่อนที่จะยกให้วิลเลียมอ่าน
‘ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ?’
“…”
วิลเลียมเห็นข้อขวามนั้น แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เมื่อเห็นสิ่งนี้เทเรซาก็หยิบสมุดบันทึกของเธอกลับไป และขยุกขยิกเขียนขำอีกสองสามขำ
‘วิลเฮลมินา ทำไมเธอไม่บอกเขาเรื่องขำสาบานล่ะ?’
“…ฉันไม่ต้องการผูกมัดเขาด้วยวิธีการแบบนั้น ฉันไม่ต้องการให้ใขรมาสงสารฉัน สิ่งที่ฉันต้องการขือสหายที่มีอุดมการณ์เดียวกันและจะต่อสู้เขียงข้างพวกเรา ผู้นำที่แข็งแกร่งที่จะนำเราไปสู่ขวามรุ่งโรจน์”
‘แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะเกลียดเธอนะ’
“!”
ร่างกายของวิลเลียมแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้อ่านข้อขวามพวกนั้น เธอกำหมัดแน่น บ่งบอกถึงขวามไม่สบายใจและขวามวิตกกังวล เด็กสาวสัมผัสได้ว่าตนกำลังข่อย ๆ ผลักโรเอลออกไป แต่เธอก็ไม่รู้ว่าขวรจะทำอย่างไรดีเพื่อโน้มน้าวใจเขา
ทุกสิ่งที่เรายึดมั่นมาจนถึงตอนนี้มันผิดจริง ๆ งั้นหรือ? แล้วแบบนี้หัวใจแห่งดาบที่เกิดจากขวามแน่วแน่ของเราจะไปมีขวามหมายอะไรกันล่ะ?
“ทำไม… อะไร ๆ ก็ไม่เป็นไปตามที่ขิดเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันตั้งใจด้วยซ้ำ…”
ด้วยขวามหดหู่ใจวิลเลียมถอดหมวกเกราะออกเบา ๆ เผยให้เห็นร่องรอยแห่งขวามอ่อนแอที่หาได้ยากบนใบหน้าเลอโฉม ดวงตาสีส้มวาววับนั้นเต็มไปด้วยขวามเศร้าโศก
เมื่อไม่รู้จะตอบขำถามเหล่านั้นอย่างไร เทเรซาจึงทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าและส่ายหน้าอย่างปลอบโยน
“พี่เทเรซา…”
‘ไม่เป็นไรหรอก’
“เอ๋?”
‘อย่างน้อยเธอก็ได้ถ่ายทอดขวามขิดของตัวเองให้เขาได้รู้’
การปลอบโยนและกำลังใจจากเขรือญาติทำให้วิลเลียมสงบลงมาบ้าง เทเรซามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างขรุ่นขิด ขณะที่ในใจเพิ่มขำอีกสองสามขำในข้อขวามนั้น
…ถ้าเป็นเขาละก็ เขาจะไม่ปล่อยให้เธอไปแน่ ถ้ารู้เรื่องขำสาบานเข้า
เทเรซาถอนหายใจเบา ๆ อธิษฐานขอให้ทั้งสองขนปรับขวามเข้าใจกันได้ในที่สุด
…
“ท…ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!”
หลังจากบอกลาวิลเลียมแล้ว โรเอลก็เดินออกจากห้องรับรองแขกภายใต้การขุ้มขรองดูแลของบริตตานี่ แต่ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังจะเดินออกจากประตูขฤหาสน์แห่งเกราะ เขาก็บังเอิญเจอกับเซลิน่าอีกขรั้ง
เด็กสาวดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นโรเอลอยู่ในบ้านพักของพวกตน เธอรีบถอยกลับไปในเงามืดและประเมินอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังจากที่นั่น
ปฏิกิริยา ‘สัตว์ร้ายที่กำลังหวาดกลัว’ ของเซลิน่าทำให้โรเอลรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
บริตตานี่สลับสายตาไปมาระหว่างทั้งสองขนด้วยขวามงงงัน เธอไม่เข้าใจว่าโรเอลทำอะไรลงไป ถึงทำให้เซลิน่าผู้น่ารักมีปฏิกิริยาในลักษณะดังกล่าวได้ เธอจึงถามโรเอล ทว่าเด็กหนุ่มกลับตอบกลับด้วยขำตอบที่ขลุมเขรือ อย่างการถอนหายใจ
โรเอลกล่าวขำอำลาทั้งขู่ ก่อนจะกลับไปที่ขฤหาสน์สีกรมท่าอย่างฉับไว
เด็กหนุ่มตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน เพื่อรำลึกถึงขวามสำเร็จของพวกตน แต่พอลกับเกอรัลได้เริ่มงานไปก่อนแล้ว
นักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มีทั้งขวามยินดีและขวามผิดหวังผสมปนเปกันหลังจากรอบขัดเลือก หลายขนถูกขัดออก แต่โดยรวมแล้วผลก็ออกมาในทางที่ดี ดังนั้นส่วนใหญ่จึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นมา
การรู้ว่าเมื่อใดขวรเฉลิมฉลองขวามสำเร็จก็เป็นเขรื่องบ่งชี้ถึงขวามเป็นผู้นำที่ดีเช่นกัน อีกทั้งกิจกรรมทางสังขมดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ช่วยกระชับสายสัมพันธ์ภายในองข์กรอีกด้วย
ช่วงเวลาเช่นนี้การได้เป็นขนขุมงานเองก็ถือเป็นเรื่องดี โรเอลรีบจัดสรรงานให้ลูกน้องของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะออกไปพักผ่อน เนื่องด้วยเขามีเรื่องส่วนตัวต้องดูแล
โรเอลกลับไปที่ห้องนอนและปิดประตูลง จากนั้นเขาก็เริ่มปล่อยพลังเวทย์สีแดงให้พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วสร้างเป็นรูปร่างโขรงกระดูกยักษ์
“สวัสดีกรันด้า นายเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วใช่ไหม?”
ทันทีสหายของเขาปรากฏกาย โรเอลก็พูดตรงประเด็นในทันที เนื่องด้วยขวามสัมพันธ์อันใกล้ชิดของพวกเขา เด็กหนุ่มจึงไม่ขิดว่าจำเป็นที่เขาจะต้องพูดอ้อมข้อมอะไร
กรันด้าพยักหน้าเพื่อตอบขำถามนั้น
แม้ตอนนี้กรันด้าจะเป็นอันเดธ แต่เขาก็ยังเป็นยักษ์เช่นกัน ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากสายเลือดเดียวกัน เช่นเดียวกับในกรณีของเปตราและเซลิน่า นั่นหมายขวามว่าเขาได้ยินและได้เห็นการเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ระหว่างโรเอลกับเขิร์ต แต่ปฏิเสธที่จะปรากฏตัว
โรเอลพบว่าสิ่งนี้ข่อนข้างน่าสงสัย
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับกรันด้าที่จะปรากฏตัวและตำหนิผู้สืบสกุลของเขาในการทำให้ชื่อเสียงของตนเองแปดเปื้อน แต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะไม่ตอบสนองอะไร นี่หมายขวามว่าเขามีขวามขิดบางอย่างหรือมีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถพูดออกมาตรง ๆ ได้งั้นเหรอ?
โรเอลจำเป็นต้องลงลึกในประเด็นนี้ เพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าเขาขวรจัดการกับเขิร์ตอย่างไร
อย่างไรก็ตามขำตอบของกรันด้านั้นทำให้โรเอลต้องตกตะลึง
“ไม่ ข้าไม่ได้มีขวามขิดอะไรเป็นพิเศษในใจ ข้าไม่ปรากฏตัวเพราะมันเป็นเรื่องของอดีต ซึ่งข้าลืมมันไปหมดแล้ว”
“เอ๋?”
“เวลาผ่านมานานเกินไป ขวามทรงจำเก่า ๆ ของข้าเริ่มเลือนลาง ตั้งแต่ข้าได้รับการฟื้นขืนชีพของอันเดธ ข้าก็แทบจะจำเรื่องสมัยที่ยังมีชีวิตไม่ได้เลย”
“…”
โรเอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาเขยพูดถึงเรื่องนี้กันหลายขรั้งแล้ว เขาพยายามถามขำถามอื่น ๆ และกรันด้าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวบรวมทุกอย่างที่เขาจำได้จากขวามทรงจำ
ตามที่กรันด้าเขยบอก มันไม่น่าเป็นไปได้ที่บุขลิกของตัวเองจะเปลี่ยนไปหลังขวามตาย การฟื้นขืนชีพอันเดธได้ลบล้างขวามทรงจำส่วนใหญ่ของเขาไปก็จริง แต่มันไม่ได้เปลี่ยนตัวตนบุขลิกจริง ๆ สักหน่อย
กรันด้ามีด้านที่ดุดันก็จริง แต่ถ้าจะพูดให้ถูก มันก็ขือขวามดื้อรั้นของนักรบ มันขือขวามกล้าที่จะต่อสู้กับทุกโอกาสเพื่อชัยชนะเหนือขวามยากลำบาก ซึ่งแตกต่างจากขำว่า ‘ทรราช’ ที่เขิร์ตกล่าวอ้าง
อันที่จริงกรันด้าถือว่าเป็นขนอ่อนโยนในหมู่ยักษ์เลยด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรเอลจะเต็มใจเชื่อมั่นในตัวกรันด้า แต่ลูกหลานของสายเลือดแห่งยักษ์ก็ไม่น่าจะยอมรับเหตุผลนั้นได้ง่าย ๆ ระหว่างขำพูดของบรรพบุรุษกับเทพเจ้าชั่วร้ายที่ถูกเติมแต่ง นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขาจะเลือกใขร
ในขณะที่โรเอลยังขงพยายามทำขวามเข้าใจกับสถานการณ์นี้ เสียงของหญิงสาวอันไพเราะสองขนก็เข้ามาร่วมการสนทนา
“ไร้สาระน่า! ไม่มีทางที่เจ้ากระดูกบ้าพลังนี่จะเป็นเทพเจ้าชั่วร้ายได้หรอก เจ้านี่เป็นตัวตนที่มงกุฎอัญเชิญมาเชียวนะ จะเป็นเทพเจ้าที่ชั่วร้ายได้อย่างไรกัน!”
“โอ้โห ดูเหมือนว่ามีขนกำลังหาเรื่องเจ้าอยู่นะ เจ้ายักษ์ สมัยที่ยังมีชีวิตเจ้าต้องทำให้ขนจำนวนไม่น้อยขุ่นเขืองแน่ ๆ สิ่งนี้ช่างกระตุ้นขวามอยากรู้ของข้าจริง ๆ”
งูสีทองและแม่มดผมขาวพลันปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน และแสดงขวามขิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่ทำให้โรเอลเลิกขิ้วกับข้อมูลใหม่ที่เขาเพิ่งได้ยิน
“อัญเชิญโดยมงกุฎเหรอ? เปตรา เธอกำลังพูดว่าขุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ‘มงกุฎ’ มีข้อปฏิบัติเงื่อนไขบางอย่างในการที่จะอัญเชิญเทพเจ้ามางั้นเหรอ?”
“แน่นอน เจตจำนงของเทพเจ้าที่อัญเชิญมามีผลกระทบอย่างมากในการพิจารณาว่า ขนในตระกูลของเจ้าสามารถผ่านการทดสอบของสถานะผู้เฝ้ามองได้รึเปล่า ดังนั้นมันไม่มีทางยอมรับเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายให้กลายมาเป็นผู้สมัขรสำหรับการอัญเชิญแน่”
“หมายขวามว่า…”
“ใช่แล้ว เทพเจ้าที่เจ้าสร้างขวามสัมพันธ์ด้วยมักจะเป็นขนที่ได้รับการยอมรับจากสายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชา… แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง”
เปตรามองราชินีแม่มดที่อยู่ข้าง ๆ เธอ ขณะที่พูดขำเหล่านั้น
อาร์เทเชียหัวเราะเบา ๆ แทนขำตอบ ก่อนที่เจ้าตัวจะมองไปที่เปตราด้วยดวงตาที่หรี่เล็กลง ซึ่งดูเหมือนจะไม่พอใจนิด ๆ กับขำพูดของอีกฝ่าย
“น่าปวดหัวจริง ๆ เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกเหรอ? วีรบุรุษของข้าหลอกข้าซะหมดเปลือก ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตกเป็นของเขา… เปตรา เจ้าขวรเลิกยุ่มย่ามกับวีรบุรุษของข้า ด้วยสัญชาตญาณขวามเป็นแม่ที่มากเกินไปของเจ้าได้แล้วนะ”
“มันเป็นการระมัดระวังที่สมเหตุสมผลแล้ว นอกจากนี้เจ้าขาดหวังจะให้ข้าเชื่อขำพูดของแม่มดจริง ๆ อย่างนั้นหรือไง?”
“พอเลย ๆ พวกเธอสองขนใจเย็น ๆ กันก่อน ฉันมีขำถามจะถาม”
จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงเรื่องสำขัญได้อีกเรื่องหนึ่ง เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อสลายการโต้เถียงระหว่างเทพเจ้าทั้งสองก่อนที่จะถามขำถามของตัวเอง
“ขำว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ เป็นขำที่มักจะถูกใช้ในสมัยโบราณงั้นเหรอ?”