“มรรคากระบี่ของข้าก็แค่งั้นๆ”
ฉินมู่มองไปยังเพลงกระบี่ที่ปะทะกับแสงมีดในหมอกและเผยรอยยิ้มออกมา “ในมรรคากระบี่ของข้ามีเพียงแค่สองกระบวนท่า ดังนั้นมันคงจะหย่อนยานไปสักหน่อย”
ความสนใจของเขาทั้งหมดถูกดึงดูดไว้ด้วยเพลงกระบี่ของป๋ายฉวีเอ๋อ เพลงกระบี่ของป๋ายฉวีเอ๋อมีต้นกำเนิดมาจากเขา เขาได้แลกเปลี่ยนเพลงกระบี่ของตนกับพี่น้องตระกูลป๋ายเมื่อสี่หมื่นปีก่อนในเมืองร้อยมั่งคั่งแห่งจักรพรรดิสูงส่ง
แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งชั่วยาม
พี่ชายและน้องสาวแห่งตระกูลป๋ายเรียนไปไม่มาก และหลังจากนั้น ภัยพิบัติก็ปะทุออกมา เมืองร้อยมั่งคั่งถูกรุกราน และพวกเขาก็เริ่มต้นหลบหนีเข้าไปในความมืด
เมื่อตะวันแย้มฟ้า พวกเขาก็โอบกอดกันและกันตรงหน้าผนังผา จากนั้นก็ลับลาจากกันไป
ป๋ายฉวีเอ๋อได้นำพาผู้คนที่เหลือเพื่อเอาชีวิตรอด และเพลงกระบี่ของนางก็มีที่มาจากเพลงกระบี่ของฉินมู่ นางมิได้มุ่งหน้าไปต่อตามมรรคาของเพลงกระบี่สันตินิรันดร์ และในทางกลับกัน นางได้กรุยมรรคาที่เป็นของตนเอง
เพลงกระบี่ของป๋ายฉวีเอ๋อ มีจิตวิญญาณของการผลิบานใหม่แห่งชีวิตและความทรหดตกยากในการแบกรับบั้นปลายของยุคสมัย ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่ายุคสมัยที่นางมีชีวิตอยู่นั้นบีบบังคับให้นางต้องเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ใช้พละกำลังอันเปราะบางของนางเพื่อต่อสู้หาหนทางรอดให้แก่ผู้รอดชีวิตที่หลงเหลือ
เพลงมีดของลั่วอู๋ชวงนั้นเชี่ยวชาญในด้านการคำนวณ และรังสีแสงกระบี่ก็เถรตรงและเหมาะสม เอาชัยผู้คนด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ในทางกลับกัน เพลงกระบี่ของของป๋ายฉวีเอ๋อ ทะลวงพื้นผิวยังจุดที่อ่อนแอที่สุด ใช้พลังทะลวงอันน่าสะพรึงกลัวเพื่อทำลายพลังอำนาจยิ่งใหญ่ของลั่วอู๋ชวง
เพลงมีดและเพลงกระบี่ของคนทั้งสองมีรอยเงาของเพลงกระบี่ฉินมู่ เพลงกระบี่ของฉินมู่มีทั้งฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ และการคำนวณอันเพริศแพร้วพิสดาร ทั้งยังมีจิตวิญญาณของการทะลุทะลวงฝ่าความมืดแห่งยุคสมัย
ป๋ายฉวีเอ๋อได้รับการชี้แนะจากฉินมู่มาก่อน ขณะที่เพลงมีดของลั่วอู๋ชวง อันเพริศแพร้วพิสดารในด้านการคำนวณ ถูกเพลงกระบี่ของฉินมู่ที่การคำนวณเพริศแพร้วพิสดารเช่นกันบดขยี้ ไม่ว่าจะเป็นป๋ายฉวีเอ๋อหรือลั่วอู๋ชวง ทั้งคู่ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากฉินมู่
แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองล้วนแต่มีมรรคาเต๋าเป็นของตนเอง และพวกเขาก็ได้ทลายออกมาจากภาพจำอันกระชากลมหายใจของเพลงกระบี่ฉินมู่ในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อสี่หมื่นปีก่อนแล้ว ลักษณะนิสัยแตกต่างแตกต่างกันของคนทั้งสองทำให้ทั้งคู่มีความสำเร็จอันแตกต่างกันบนมรรคาของตนเอง
หนอนหนังสือนั่งด้วยท่วงทีสบายๆ บนหลังลาและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างใจเย็น “ยากนักที่จะเห็นเจ้าถ่อมตัวสักครั้ง แต่ทว่า มีผู้คนมากมายเกินไปที่ฝึกปรือวิชากระบี่ในโลกหล้า จำนวนของผู้คนเหล่านั้นมากล้ำกว่าผู้คนที่ฝึกฝนวิชามีดไปหลายเท่า และยังมีผู้คนอีกจำนวนมากมายยิ่งที่ได้ประสบความสำเร็จอันสูงส่งในเชิงกระบี่ จำนวนของผู้คนที่ย่างกรายสู่เต๋าด้วยกระบี่ก็มิใช่น้อยๆ อย่าว่าแต่ผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไป แม้แต่ผู้คนใกล้ๆอย่างเช่นราชครูสันตินิรันดร์และกระบี่เทวะซูมู่เจ๋อ เพียงแค่ในสันตินิรันดร์เท่านั้นก็มีสองเสาหลักแห่งมรรคากระบี่คู่นี้ ในระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ก็ยังมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีความสำเร็จสูงส่งในมรรคากระบี่ เพลงกระบี่ของเจ้าก็ยากจริงๆ นั่นแหละที่จะติดอันดับ”
ฉินมู่นั่งอยู่บนศีรษะของกิเลนมังกรและกล่าวอย่างเรียบเรื่อย “พี่ชาย ข้าบอกว่ามรรคากระบี่ของข้ายังหย่อนยาน แต่ไม่ได้กล่าวถึงเพลงกระบี่ของข้า ในแง่เพลงกระบี่แล้ว หากข้าบอกว่าเป็นอันดับสอง จะไม่มีใครกล้าเอ่ยอ้างว่าเป็นอันดับหนึ่ง”
เขายิ้มนิดๆ “เมื่อมองย้อนกลับไปหนึ่งล้านปี มีผู้คนมากมายที่เหนือล้ำกว่าข้าในมรรคากระบี่ แต่ในด้านเพลงกระบี่แล้ว ข้ายืนอยู่ที่จุดสูงสุด บางทีอาจจะมีผู้ที่ก้าวล้ำเกินกว่าข้าไปในอนาคต แต่ทว่า ในหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเหนือล้ำไปกว่าข้าได้”
หนอนหนังสือตื่นตระหนก และลาข้างใต้เขาก็หัวเราะ “ฮวี้!”
หนอนหนังสือวางคันเบ็ดในมือลง และปล่อยให้ลางับไปยังแครอท เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้ง?”
ลานั้นกัดกร้วมเข้าไป และแครอทก็ร้องโหยหวน หลังจากนั้น ส่วนของร่างกายของมันที่หายไปก็งอกกลับมา และมีร่างอันสมบูรณ์ใหม่อีกครั้ง
แต่ทว่าแครอทก็ยังคงกรีดร้องอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยเสียงอันน่าสังเวช
“แครอทนี้กลายเป็นพรายวิญญาณแล้ว!”
กิเลนวารีตื่นตกใจ และเขาก็ก้าวเข้าไปเพ่งพิศดูอย่างละเอียด ทันใดนั้น แครอทก็ยื่นแขนรากของมันเข้ามาต่อยเข้าจังๆ ที่จมูกของกิเลนวารี ทำให้เลือดกำเดาของเขาพุ่งกระฉูด
“แครอทมีชีวิต!” กิเลนวารีร้องออกมา
“เจ้ามองอะไรหา”
แครอทร้องอย่างโกรธกริ้ว “เวลาเจ้าโดนกัดเจ้าจะไม่ร้องเหมือนกันหรืออย่างไร! ข้าไม่ใช่แครอท ข้าคือโสม!”
เขาดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากคันเบ็ดและร้องออกมา “ปล่อยข้าไป ข้าจะกระทืบไอ้งั่งนี่ที่กล้าลบหลู่ข้า ข้าเปิดตาไอ้ลูกเต่านี่ให้รู้ดีรู้ชั่ว!”
ฉินมู่มองไปยังแครอทและอึ้งทึ่งไม่รู้จบ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้ง”
สายตาของหนอนหนังสือเป็นประกายวูบวาบ และเขากล่าว “ข้าเองก็ฝึกปรือเพลงกระบี่ และมีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่เหนือล้ำไปกว่าข้าได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพลงกระบี่ของข้าได้ย่างกรายสู่เต๋าแล้ว และข้าก็วิเคราะห์อนุมานเพลงกระบี่ของข้าไปยังสิบสามนิพนธ์มรรคากระบี่ ในด้านเพลงกระบี่ ข้าต้องยอมรับว่าความสำเร็จของข้ามิได้อ่อนหัดเลย ดังนั้นข้าจึงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พบพานกับบุคคลอันดับหนึ่งด้านเพลงกระบี่ในรอบหนึ่งล้านปี”
เขาวางพัดขนนกและคันเบ็ดลง ดังนั้นแครอทจึงยืนอยู่บนหัวของลา สายเบ็ดพันรอบๆ หัวของมัน และมันก็กระโดดขึ้นๆ ลงๆ บนหัวลา มันกำหมัดและเหวี่ยงหมุนไปมารอบๆ พลางร้องเรียกกิเลนวารี “มาสู้กันสิวะ!”
หนอนหนังสือประกายตาไหววูบ และเขากล่าว “เจ้าและข้าจะใช้ปราณชีวิตต่างกระบี่เพื่อแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันสักหน่อย ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่รังแกเจ้าด้วยวรยุทธ และไม่ใช้มรรคากระบี่ของข้ามาสะกดข่มเจ้า”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “เจ้าจะใช้สอยอะไรก็ได้ทั้งนั้นบนหลังลา ข้าไม่อยากจะรังแกเจ้า”
“เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นบัณฑิตเดินทางไปด้วยกระบี่เหน็บไว้ที่ข้างเอว นิพนธ์บทกวีพลางวาดกระบี่สังหารผู้คนบนหลังลา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ยังอยู่ที่ศีรษะของกิเลนมังกร เจ้าเองก็ขยับเขยื้อนไม่สะดวกด้วยเช่นกัน”
หนอนหนังสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทันทีที่ข้าร่ายรำกระบวนท่ากระบี่แรก เจ้าก็จะกระโดดลงไปจากศีรษะกิเลนมังกร กระบวนท่าที่สองจะทำให้เจ้าก็ถอยหนีออกห่างจากที่นี่ไปสิบลี้ และกระบวนท่าที่สาม เจ้าก็จะถอยไปหนึ่งร้อยลี้ ที่กระบวนท่าที่สี่ เจ้าจะหนีซ่อนไปไกลหนึ่งพันลี้”
ฉินมู่สวมรอยยิ้มอันมิเชิงยิ้มบนใบหน้า “เชิญ!”
ปราณชีวิตหมุนวนรอบกายหนอนหนังสือ แล้วก็แปรเปลี่ยนไปเป็นพยุหะกระบี่ในพริบตา กระบี่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนเหินทะยานไปประดุจสายฝนพร่างพรม และภูเขามากมายก็เห็นได้อยู่รางเลือนท่ามกลางแสงกระบี่เหล่านั้น
เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วพิสดาร ถึงขนาดว่าเทียบได้กับภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน มันเป็นแง่อัศจรรย์อีกรูปแบบหนึ่ง
ฉินมู่ยกมือขึ้นและเคาะลงไปครั้งหนึ่งลำแสงกระบี่ลำเดียวทะลวงแหวกอากาศและแทงเข้าไปในฝนละเอียดกับทิวเขา
ลำแสงกระบี่นั้นมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากกระบวนท่าที่สองของกระบี่ภัยพิบัติ แสงกระบี่กะพริบวูบวาบอย่างไม่มีสิ้นสุด และกรีดผ่านม่านฝนกับทิวเขาในพริบตา แสงกระบี่นับไม่ถ้วนของหนอนหนังสือไม่อาจสกัดขัดขวางลำแสงกระบี่นี้เอาไว้ได้แม้แต่น้อย
หนอนหนังสือตื่นตระหนก และเมื่อเขาเห็นแสงกระบี่ยิงมาที่หน้าอก เขาก็รีบกระโดดลงจากหลังลา!
แสงกระบี่ตามติดเขาไม่ลดละราวกับเงาตามตัว!
เขารีบขับเคลื่อนกระบวนท่ากระบี่ที่สองของเขา และแสงกระบี่ก็โถมซัดไปราวกับน้ำหลาก แม้ว่าแสงกระบี่จะมามายจนโถมท่วมลำแสงกระบี่โดดเดี่ยวนั้นราวกับทะเลสีครามและท้องฟ้ากระจ่างอันกว้างไกลหลายหมื่นลี้ พวกมันก็ยังไม่อาจสกัดกั้นลำแสงกระบี่ได้!
หนอนหนังสือถอยกรูดๆ อย่างว่องไว เขาหลบหลีกไปมาราวกับผีเสื้อ และก็คล้ายกับกระต่ายตื่นอันตะบึงไปในราวป่า วิชาตัวเบาของเขานั้นสับสนซับซ้อน
กระนั้นลำแสงกระบี่ก็ยังคงตามติดไปข้างหลังเขา ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
กระบวนท่าที่สามของหนอนหนังสือถูกปล่อยออกไป แต่มันก็ยังคงไม่อาจขัดขวางลำแสงกระบี่ เขาเงยศีรษะขึ้นมองดู และพบว่าตนเองได้หลบหนีออกมาห่างถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว
เขายังคงล่าถอยไปอีก และถัดไปนั้นก็คือกระบวนท่ากระบี่ที่สี่ของเขา อันตามมาด้วยห้า หก และเจ็ด แต่ละกระบวนท่ากระบี่ล้วนแต่เพริศแพร้วจนถึงขีดสุดและเต็มไปด้วยการแปรผันที่ผู้อื่นมิอาจตามทัน กระนั้นทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจสกัดกั้นลำแสงกระบี่เพียงลำเดียว
ในชั่วพริบตา เขาได้ถอยห่างไปหนึ่งพันลี้ และการเปลี่ยนแปลงในเพลงกระบี่ของเขาก็ถูกใช้สอยจนหมดสิ้น เขาไม่อาจขับเคลื่อนกระบี่ท่าอื่นได้อีกต่อไป!
ลำแสงกระบี่เดียวจากฉินมู่แทงเข้าไปในหน้าอกเขาราวกับสายฟ้า และส่งเสียงคริ้ง ประกายแสงสาดส่องออกมาจากหน้าอกเพื่อป้องกันกระบี่เอาไว้
หนอนหนังสือยังคงอกสั่นขวัญแขวน และเขาก็กวาดเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผาก เขาย้อนกลับมาที่เดิมด้วยฝีเท้าอันเร็วรี่ และเขาก็ยังคงเห็นฉินมู่นั่งอยู่บนศีรษะของกิเลนมังกร และกำลังอธิบายแง่อัศจรรย์ของกระบวนท่าของเขาให้วิญญูชนสวรรค์ฟัง
“กระบวนท่านี้ของข้าเรียกว่าผงาดภัยพิบัติ และมันก็ยังเรียกอีกด้วยว่ากระบี่สิบเก้า มันคือท่วงท่าที่สิบเก้าของท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน”
ฉินมู่กล่าวอย่างเรียบเรื่อย “กระบี่สิบเก้านั้นซับซ้อนจนเกินไป และหากผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นกำลังจะเรียนรู้มันได้ เพลงกระบี่ของเขาก็จะย่างกรายสู่เต๋าไปเลยตรงๆ ข้าได้พบกับอาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้และพวกเราก็วิเคราะห์พบว่ายังคงมีท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้าอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงหมายจะแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครจะตรึกตรองเข้าใจมันเป็นคนแรก ดูเหมือนว่าข้าจะได้รับชัยชนะ”
หนอนหนังสือนั่งลงไปที่หลังลาและกล่าวอย่างห่อเหี่ยว “เจ้าชนะ เพลงกระบี่ของเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง ข้าเคยเห็นเพลงกระบี่ของจักรพรรดิก่อตั้งมาก่อน และพวกมันก็ไม่เลิศล้ำเท่ากับเจ้า ว่าแต่ว่า ผงาดภัยพิบัติหมายถึงอะไร”
ฉินมู่อธิบาย “สรรพชีวิตอาศัยอยู่ในฟ้าและดิน ล้วนแต่มีชะตาอันลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า และชะตาลิขิตหนึ่ง ผู้เผชิญภัยพิบัติจะต้องรู้จักให้และรับ ผงาดภัยพิบัติคือการให้ก่อนที่จะรับเอาไป ทุกๆ ย่างก้าวที่แสงกระบี่ของข้าคืบหน้าไป มันก็คือการให้รูปแบบหนึ่ง สาเหตุที่ท่านไม่สามารถแตะต้องแสงกระบี่ของข้าเมื่อครู่นี้ก็เพราะว่าข้าได้ให้ก่อนและจะรับเอาไปทีหลัง หากว่าท่านไม่ยอมให้ ท่านก็จะถูกสังหารโดยผงาดภัยพิบัติของข้า”
หนอนหนังสือและวิญญูชนสวรรค์อวี้มีทีท่าขบคิด วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็ได้เรียนท่วงท่ากระบี่พื้นฐานแล้ว และเขาได้รับการสั่งสอนด้วยตัวผู้ใหญ่บ้านเอง แต่ทว่าเขายังมิได้ลงหลักมั่นคง และรากฐานของเขาก็ยังไม่เสถียรนัก เขาก็ยังไม่มีพลังวัตรอันเข้มข้นอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเรียนรู้กระบี่สิบแปด และกระบี่สิบเก้า
หนอนหนังสือตาเป็นประกาย และเขาก็ถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วหากว่าข้าให้กลับไปล่ะ? ข้าจะสามารถทลายฝ่ากระบี่สิบเก้าของเจ้าได้หรือไม่”
“ท่านให้ได้มากแค่ไหน?”
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ และกระบี่นับพันเล่มที่กะพริบวูบวาบก็แทงตรงไปยังเขา
หนอนหนังสือขนหัวลุกจนเต็มเหยียด และเหงื่อเม็ดเป้งก็ผุดทั่วหน้าผากของเขา เมื่อครู่นี้ฉินมู่ใช้เพียงกระบี่เดียวก็ไล่ต้อนเขาจนล่าถอยไปพันลี้ บัดนี้ด้วยกระบี่ผงาดภัยพิบัติมากกว่าหนึ่งพันเล่ม มันมิได้เรียบง่ายเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเพื่อแลกกับการทลายฝ่าผงาดภัยพิบัติ แต่มันเป็นการส่งตัวเองไปตายชัดๆ!
ฉินมู่สลายแสงกระบี่แล้วกล่าว “กระบี่สิบเก้าเป็นเพลงกระบี่ที่ย่างกรายสู่เต๋า เมื่อครู่นี้ข้าขับเคลื่อนภัยพิบัติที่เรียงร้อยเชื่อมต่อกันในกระบี่ภัยพิบัติของข้า และนอกจากนั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีกหลายสิบแปร แต่ทว่าการฝึกปรือกระบี่สิบเก้านั้นยากเย็นอย่างสาหัส หากว่าใครก็ตามฝึกปรือมันได้ พวกเขาก็จะย่างกรายสู่เต๋าด้วยกระบี่”
หนอนหนังสือยกคันเบ็ดขึ้น และหิ้วตัวแครอทที่กำลังอัดกระทืบกิเลนวารีอยู่ เขายังคงห้อยมันเอาไว้ตรงหน้าลา และผงกศีรษะ “กระบี่สิบเก้านั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ถึงกับเป็นอันดับหนึ่งตลอดหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา เจ้าจะไม่ยโสโอหังไปหน่อยหรือ”
“ข้าไปล้างแค้นให้แก่ใครบางคนที่ข้าชื่นชมนับถือเป็นอย่างยิ่ง และข้าก็ได้ใช้เพลงกระบี่นี้เพื่อทลายฝ่าการควบคุมจำกัดของเทพบรรพกาลตนหนึ่ง ทำให้คู่ต่อสู้ของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส”
ฉินมู่ปรายตามองวิญญูชนสวรรค์อวี้และกล่าว “แม้ว่าเทพบรรพกาลตนนั้นจะเป็นเพียงภาพฉาย กำลังฝีมือของนางก็เลิศล้ำเหนือธรรมดา นางนั้นเทียบเท่ากับตัวตนในขั้นตำหนักชิดฟ้า และแม้แต่นางก็ไม่อาจสะกดข่มผงาดภัยพิบัติเอาไว้ได้”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่ตระหนักว่าบุคคลที่ฉินมู่ชื่นชมนับถือคือตัวเขา
หนอนหนังสือไม่ใส่ใจอะไรมากมายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่ภาพฉายของเทพบรรพกาล จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนเชียว ส่วนว่าแข็งแกร่งพอๆ กับยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้า นั่นพูดเกินเลยไปแล้ว เพลงกระบี่ของเจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งตลอดเวลาหนึ่งล้านปีหรือไม่ ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงได้อยู่”
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ และไม่ถกเถียงกับเขา
นั่นเพราะว่าหากเขาพูดออกมาอย่างโต้งๆ มันก็จะน่าตื่นตระหนกมากเกินไป คนนอกคงพบว่ายากที่จะเชื่อถือ แต่หนิวซานตัวและจักรพรรดิก่อตั้งก็จะรู้ว่าเขามิได้โกหก
พวกเขาไปยังจุดที่กระบี่เทวะป๋ายฉวีเอ๋อและดาบเทวะลั่วอู๋ชวงประมือกัน ตรงนั้นมีทะเลหยกแห่งหนึ่ง และมีแสงมีดอันประดุจกำแพงหยกกับแสงกระบี่ที่ฝึกปรือจนสมบูรณ์แบบตั้งตระหง่านเหนือผิวทะเล
สายลมอ่อนโยนพัดโชยมา และทันใดนั้น แสงและเงาก็ระเบิดปะทุ เพลงมีดและเพลงกระบี่ของสองสุดยอดฝีมือคู่นี้ยังคงต่อสู้กันอย่างไม่รู้จบ
แต่ทว่าป๋ายฉวีเอ๋อและลั่วอู๋ชวงต่างก็ไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป
บนทะเลหยก มีมารเทวะและเทพเจ้ามากมายท่ามกลางเหล่าครึ่งเทพ อันกำลังพยายามพาชนรุ่นเยาว์ของตนเองข้ามผ่านอาณาบริเวณนี้ ทุกคนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่พวกเขาจะไม่เข้าไปแตะต้องกับแสงมีดและแสงกระบี่ที่หลงเหลือไว้จากคนทั้งสอง
บนผิวทะเลนั้น แสงมีดและแสงกระบี่ประดุจม่านป้องกัน บางครั้งพวกมันก็เงียบสงบ บางครั้งพวกมันก็จะระเบิดออกมาด้วยพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว
“ดาบเทวะลั่วอู๋ชวงและกระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่งมีความแค้นมิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ทั้งคู่ต่างก็ต่อสู้กันมานับครั้งไม่ถ้วน”
หนอนหนังสือขี่ลาเข้าไปในทะเลหยก และเขาก็กล่าวกับฉินมู่ “มีช่วงเวลาหนึ่งที่ลั่วอู๋ชวงเอาแต่ไล่ล่าตามซากทัพจักรพรรดิสูงส่ง และก็เป็นกระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่งที่หยุดยั้งเขาเอาไว้ เมื่อมาถึงยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขาก็ยังคงต่อสู้กัน คนนอกเพียงแค่ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ถามด้วยความสงสัย “แล้วกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่งล่ะ? ทำไมกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่งถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกหน”
หนอนหนังสือเผยสีหน้าว่างเปล่า และเขาก็สลัดศีรษะ “กายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่งปรากฏขึ้นมาเพียงช่วงเวลาอันคับขัน แล้วจากนั้นเขาก็หายตัวไป เขานั้นคงน่าจะตายไปในภัยพิบัติ มีไม่กี่คนที่ล่วงรู้เกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่ง และข้าเองก็เพียงแต่ได้ยินคำร่ำลือ ข้าได้ยินว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและเทพกระบี่ซูก็ได้ไปค้นหาซากโบราณสถานเพื่อพยายามเสาะหาร่องรอยของกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว พวกเขาค้นเจอก็แต่เพียงแท่นจารึกหินแท่นหนึ่ง ที่นี่คือทะเลหยก ดังนั้นแท่นประหารเทพก็คงอยู่เบื้องหน้า พวกเราจะต้องระมัดระวังในที่นั่น…”
ฉินมู่หัวใจไหวหวั่น และเอ่ยถาม “พี่ท่านรู้มากยิ่งนักงั้นท่านรู้ไหมว่า ปราสาทสวรรค์แห่งนี้เป็นของสภาสวรรค์ใดในบรรดาสองสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”