หนอนหนังสือผู้นั้นหยุดลาของเขา และกวาดตามองพวกเขาสองสามที เขามีสีหน้าอันซุกซนพลางกล่าว “ข้ากะว่าผสมโรงกับพวกเขาไปเพื่อเยี่ยมพบเจ้าของดินแดนแห่งนี้ แล้วทำไมน้องชายเจ้าก็จะไปด้วยล่ะ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราก็กะจะผสมโรงเข้าไป และชมดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ไฉนพวกเราไม่เดินทางไปด้วยกันสักหน่อยล่ะ”
หนอนหนังสือหนุ่มผู้นั้นครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวกับลา “ลวี่เจิง มีหม้อให้แบก อีกสองใบข้างๆ เจ้าไหวไหม”
ลานั้นยกมุมปากและกล่าว “ฮวี้”
หนอนหนังสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แครอทบอกว่าได้อยู่ ดังนั้นพวกเราสามารถเดินทางไปด้วยกันได้”
“หม้อให้แบก?”
ฉินมู่ระมัดระวัง และเขาถามอย่างถ่อมตนและสุภาพ “พี่ท่าน ระหว่างหม้อให้แบก กระทะดำ และอ่างขี้ มีอะไรแตกต่างกันหรือ”
หนอนหนังสือหนุ่มผู้นั้นหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “ไม่มีอะไรต่าง”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและมองไปยังสนามรบโบราณตรงหน้าเขา สนามรบโบราณนั้นถูกคลี่คลุมไปด้วยหมอกเรียบร้อยแล้ว และเขาก็สามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างและซากโบราณอันกระจัดกระจายทั้งหลายด้วยตาเปล่า มันมีทั้งกำแพงเมืองอันสูงเยี่ยม ราชวังอันมหึมาและยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับซุ้มโค้งอนุสรณ์ และประตูใหญ่มากมาย
มีร่องรอยของครึ่งเทพอยู่บนพื้น และเมื่อตามร่องรอยนั้นไป พวกเขาก็จะสามารถพบเจอพระแม่ธรณี
กิเลนมังกรและกิเลนวารีเดินตรงไปข้างหน้ากับลา กิเลนวารีมองไปที่ลาตัวนั้นและเผยสายตาหมิ่นแคลนไป “สัตว์เลี้ยงน้อยตัวนี้นี่ทึ่มจริงๆ เขารู้จักจะเดินต่อไปข้างหน้าได้ก็เมื่อมีแครอทดีดเด้งอยู่ข้างหน้าเขาเท่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าไม่มีวันที่เขาจะได้กินแครอท”
ลาปรายตามองเขาและเผยสายตาเหยียดหยามกลับมา
กิเลนวารีคิดอยู่ในใจ ข้าได้กระทำสัตยาบันภูติบดีน้อยเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจกินนายท่านหลัน แต่ทว่า ข้าสามารถกินเจ้าลานี่ได้! แต่ว่า เจ้านายของกิเลนมังกรนี่เจ้ากี้เจ้าการไม่น้อย เขาและหนอนหนังสือนั่นพูดจากันถูกคอ ดังนั้นหากว่าข้ากินลานี้เข้าไป เขาก็คงจะเชือดข้าไปเป็นอาหารด้วยความเดือดดาล
ฉินมู่คอยแต่จ้องมองหนอนหนังสือหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ และยิ่งเขามองดู เขาก็ยิ่งรู้สึกสงสัย แต่ทว่าเมื่อสายตาของเขาตกลงไปที่หน้าอกของหนอนหนังสือ เขาก็มองไม่เห็นความพองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงแน่ใจไม่ได้
หนอนหนังสือเห็นสายตาของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลวี่เจิง หนุ่มผู้นี้มีสายตาอันสอดส่าย เขาถึงกับมองหน้าอกของผู้ชายเชียว”
ฉินมู่หน้าแดงฉาน และลาก็หัวเราะ “อั๊ง อั๊ง–”
ฉินมู่ถามหยั่ง “พี่สา– เออะ พี่ชาย ข้าจะเรียกหาท่านว่าอย่างไร”
หนอนหนังสือผู้นี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะพบพานกันไฉนจะต้องคุ้นเคยรู้จัก ฉินมู่ ฉินเฟิงชิง ข้าได้ถามชื่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ หากว่าข้ายังไม่ได้ถาม แล้วทำไมเจ้าถึงมาถามข้า”
ฉินมู่ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “ท่านรู้ชื่อของข้า แต่ข้าไม่รู้จักท่าน นี่มันจะไม่เป็นธรรมไปหน่อยหรือ อีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฉินมู่”
“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่นั้นล้ำเลิศเหนือธรรมดา และมีความสามารถอันหลากหลาย ใครล่ะจะไม่รู้จักเจ้า”
หนอนหนังสือกล่าวต่อ “ส่วนสำหรับข้า เป็นแค่คนต่ำต้อยที่ไม่มีชื่อเสียง ย่อมไม่แปลกที่จ้าวลัทธิจะไม่รู้จักข้า”
ฉินมู่ไม่อาจไต่ถามนามของเขามาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองไปที่ลา “ไฉนพี่ลวี่ถึงถูกเรียกหาว่าลวี่เจิง”
หนอนหนังสือกล่าว “เขาเป็นลาตัวหนึ่ง และคำพูดของเขาก็ยอกย้อน เขาชอบถกเถียงกับผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงให้ชื่อเขาว่าเจิง”
สายตาของฉินมู่ไหววูบ และเขาก็กล่าว “ข้าก็ยังรู้จักวัวที่ชื่อหนิวซานตัว และเสืออีกตัวหนึ่งที่ข้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่เสือ”
ลาตัวนั้นยกมุมปากด้วยความเหยียดหยาม “ฮวี้ ฮวี้”
ใบหน้าของฉินมู่ดำมืด และเขาก็คิดในใจ เขาไม่เข้าใจว่าลากำลังพูดว่าอะไร เขามิได้เรียนภาษาลามาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ความหมายของเขา แต่ทว่านายและสัตว์ขี่คู่นี้น่าสงสัยเอามากๆ หรือเขาจะเป็นครูบาสวรรค์หนอนหนังสือ
พวกเขาเดินเข้าไปในสนามรบอันปกคลุมไปด้วยหมอก และก็มีรังสีแสงตะวันอยู่ในหมอก สิ่งก่อสร้างข้างในก็ดูโบราณเป็นอย่างยิ่ง และพวกมันก็ยังมีลวดลายอันแปลกพิสดารอีกด้วย ฉินมู่ให้กิเลนมังกรหยุดเดินขณะที่เขาสำรวจตรวจตราลวดลายบนกำแพงเก่าพังเหล่านั้น จากนั้นเขาก็นำพู่กันกับกระดาษออกมาวาดคัดลอกลวดลายเอาไว้
หนอนหนังสือชมดูการวาดเขียนของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิฉินเปี่ยมด้วยความสามารถจริงๆ ถึงกับมีความสามารถอันเหนือธรรมดาในมรรคาแห่งภาพเขียนและอักษรวิจิตร”
ใบหน้าของฉินมู่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็กล่าวอย่างถ่อมตน “ข้ามิกล้ากล่าวชมตนเองในมรรคาแห่งภาพเขียนและอักษรวิจิตร อย่างมากข้าก็เป็นอันดับสองในโลกหล้า อันดับหนึ่งในโลกหล้าคือท่านปู่หนวกของข้า เขาได้ย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคาภาพวาดและอักษรวิจิตร และถึงกับมีความแตกต่างระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก”
หนอนหนังสือแตกตื่นและเอ่ยชม “ภาพเขียนและอักษรวิจิตรของเขาได้บรรลุถึงเขตขั้นที่สร้างสรรค์บางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่าเชียวหรือ และมีแม้กระทั่งความแตกต่างระหว่างภายในกับภายนอก ความสำเร็จของเขานั้นไม่ตื้นเขินเลยจริงๆ แต่ทว่าการที่เขาจะเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้านั้นยังเป็นที่น่าถกเถียงอยู่ และแม้แต่การที่เจ้าเป็นอันดับสองในโลกหล้าก็ยังเป็นที่น่าถกเถียงด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่ถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ใครคืออันดับหนึ่งในโลกหล้า”
หนอนหนังสือกล่าว “ข้าก็ได้ศึกษามรรคาภาพวาดและอักษรวิจิตร เมื่อฝึกปรือมรรคาภาพวาดและอักษรวิจิตรจนถึงเขตขั้นลึกล้ำ มันก็จะกลายเป็นการเสกสรร การเสกสรรที่ว่ามิใช่ใดอื่นนอกเสียจากทักษะเทวะเสกสรร แต่ในด้านของทักษะเทวะเสกสรรแล้ว ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะข้าได้”
ฉินมู่ส่งพู่กันในมือไปให้เขา และถาม “ถ้าเช่นนั้น ขอพี่ท่านโปรดวาดให้ชม”
หนอนหนังสือส่ายศีรษะและกล่าว “ปกติแล้วข้าไม่วาดไปส่งๆ ข้าจะวาดก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น”
ฉินมู่เงยหน้ามองประตูใหญ่บานหนึ่งที่ยืดยาวไปถึงชั้นเมฆ “ประตูสวรรค์ทักษิณอีกบาน…น่าเสียดายที่มันแตกหักไปแล้ว! ให้ข้าลองวาดประตูสวรรค์ทักษิณสักหน่อย!”
เขาดีดปลายพู่กัน และกระดาษผืนใหญ่ก็กางตั้งไปในอากาศ เขาพลิกฝ่ามือ มือซ้ายถือพู่กันสี่แท่ง ขณะที่มือขวางเคลื่อนไหวเป็นวงกลมวาดภาพไป หมึกได้ก่อตัวขึ้นมาเอง และหมุนวนไปในอากาศ
ฉินมู่ยกพู่กันเพื่อวาดภาพ และพู่กันของเขาก็ตวัดเฉวียนประดุจงูและมังกร รายละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา และก่อขึ้นเป็นลวดลายของประตูสวรรค์ทักษิณ
ฉินมู่ขยับพู่กันของเขาอย่างรวดเร็ว และปลายพู่กันก็ถึงกับแยงเข้าไปในกระดาษราวกับว่ามีจักรวาลอีกแห่งหนึ่งอยู่ในนั้น แม้ว่าประตูสวรรค์ทักษิณนี้จะวาดเอาไว้บนกระดาษ แต่มันก็เหมือนจะมีอีกโลกมิติหนึ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลซ่อนอยู่ข้างในนั้น
พู่กันของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมหาวัตถุโบราณเทวะที่สามารถเสกสรรได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาก่อสร้างออกมาเป็นลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนของประตูสวรรค์ทักษิณ และพวกมันก็ละเอียดยิบมากเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากนั้น พู่กันสี่แท่งก็เหาะเข้าไปในกระดาษ และเริ่มต้นวาดระบายข้างใน มันมหัศจรรย์อย่างยิ่งจนยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
หลังจากผ่านมาพักใหญ่ๆ ประตูสวรรค์ทักษิณก็ก่อตัวขึ้นมา
ฉินมู่เก็บพู่กันและหมึกของเขา ก่อนที่จะปลดภาพวาดลงมาจากท้องฟ้า สะบัดมันไปด้วยกำลังแรง ประตูสวรรค์ทักษิณลอยออกมาจากภาพวาด และตั้งลงยังพื้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
ประตูสวรรค์ทักษิณนี้สูงหนึ่งหมื่นห้าพันวา และมันดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างผิดธรรมดา มันเผยให้เห็นความน่ายำเกรงแห่งสภาสวรรค์บรรพกาล เมื่อมันตั้งตระหง่านอยู่ในสนามรบโบราณแห่งนี้ มันแสดงถึงสิทธิราชย์ของจักรพรรดิฟ้า
ฉินมู่มองไปยังหนอนหนังสือและถามด้วยรอยยิ้ม “วิชาเสกสรรของข้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
หนอนหนังสือกล่าวชมอย่างเต็มปากเต็มคำและพูดต่อ “ถึงกับมีความสำเร็จระดับนี้ตั้งแต่เมื่อเจ้ายังไม่ทันย่างกรายสู่เต๋า เจ้าพอจะกล้อมแกล้มนับได้อยู่ว่าเป็นอันดับสามในโลกหล้า หากว่าเจ้าสามารถเหนือล้ำไปกว่าท่านปู่หนวกของเจ้า เจ้าก็คงพอถูๆ ไถๆ มาเป็นอันดับสอง หากว่าเจ้าสามารถปล่อยพู่กันและกระดาษโดยที่ไม่ถูกพวกมันจำกัดพันธนาการ แบบนั้นแล้ว เจ้าก็จะเป็นอันดับสองอย่างแท้จริง ส่วนตอนนี้มาตรฐานของเจ้านั้นยังอยู่เพียงแค่ภาพวาดดูคล้ายกับสิ่งดำรง เจ้ายังอยู่ห่างไกลนักจากอันดับหนึ่ง”
ฉินมู่ไต่ถามคำชี้แนะอย่างจริงใจ “ถ้าเช่นนั้น อะไรคือมาตรฐานของอันดับหนึ่ง”
“ในมรรคาภาพวาดมีสามเขตขั้น วาดคล้ายกับสิ่งดำรงนั้นคือขั้นแรก วาดจนเป็นสิ่งดำรงนั่นคือขั้นที่สอง”
หนอนหนังสือกล่าวต่อ “ไม่วาดและดำเนินตามมรรคา ไร้หมึกและก่อเกิดจากฟ้าและดิน นั่นคือเขตขั้นที่สาม”
ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น ประตูสวรรค์ทักษิณที่ฉินมู่วาดขึ้นมาก็พลันถล่มและแปรเปลี่ยนไปเป็นหมึกที่ร่วงพราวลงมาจากท้องฟ้า
“นี่คือเขตขั้นแรก วาดคล้ายกับสิ่งดำรง มันยากที่จะคงทนอยู่นาน”
หนอนหนังสือกล่าว “หากว่าเจ้าสำเร็จขั้นวาดจนเป็นสิ่งดำรง และทำให้ประตูสวรรค์ทักษิณสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้เป็นเวลานาน เปลี่ยนอากาศธาตุให้กลายเป็นของจริง นั่นถึงจะเป็นเขตขั้นที่สอง”
ฉินมู่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส และเขากล่าว “ท่านปู่หนวกไม่เคยบอกข้าถึงเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะยังไม่บรรลุไปถึงขั้นที่สามในมรรคาภาพเขียน ขอบคุณสำหรับการชี้แนะยิ่งนัก พี่ท่าน ข้าได้เรียนรู้แล้ว!”
กิเลนวารีเห็นเช่นนี้ และเขาก็กล่าวกับกิเลนมังกรอย่างระแวงสงสัย “หนอนหนังสือผู้นี้ดูไม่เหมือนบัณฑิต แต่ดูเหมือนนักต้มตุ๋นที่ดีแต่พูด นายของเจ้านั้นเอาแต่จ้องตาค้างจากคำโกหกที่เห็นอยู่โต้งๆ ของเขา ตอนแรกที่เจอกัน หากข้ารู้ว่าเขาจะถูกหลอกเอาได้ง่ายๆ แบบนี้ ไฉนข้าถึงจะใช้กำลังล่ะ ข้าสามารถปั้นน้ำเป็นตัวจนนายของเจ้าหมดเนื้อหมดตัวไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน แล้วยังจะมาขอบใจข้าเสียอีก!”
กิเลนมังกรยกมุมปากและกล่าวด้วยความหมิ่นแคลน “ฮวี้ ฮวี้”
“เจ้าก็ยังไม่เชื่อข้าอีก ข้าคือสุดยอดนักปราชญ์ในเผ่าเทพกิเลนของพวกเรานะ!”
ฉินมู่และคนอื่นๆ เดินต่อไปข้างหน้า และทันใดนั้น แสงมีดก็กรีดผ่านหมอก แสงมีดนั้นยืดยาวข้ามฟ้าและผ่าแยกออกไปเป็นพยุหะค่ายกลอันมีระบบระเบียบ มันฟาดฟันลงมาด้วยค่ายกลมีดพิสดาร
เสียงกู่ร้องคำรามดังออกมา และเงาร่างใหญ่โตหนึ่งก็ล้มคว่ำไปในหมอก
แสงมีดที่เกลื่อนฟ้าอยู่นั้น หดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว และตกลงเบื้องหลังชายแขนเดียวที่อยู่ในหมอก พวกมันเข้าไปในปลอกดาบของเขา
ฉินมู่มองไปยังแสงมีดอันเป็นระบบระเบียบนั้น และหัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม เพลงมีดนี้ดูคุ้นตาจริงๆ…
เสื้อผ้าของเงาร่างแขนเดียวนั้นสะบัดในสายลม และเขาก็เดินลึกเข้าไปในดงหมอก รูปเงามากมายเดินตามเขาไป และพวกเขาก็หายลับอย่างรวดเร็ว
“ดาบเทวะแขนเดียว ดาบเทวะอันดับหนึ่งแห่งสภาสวรรค์นอกโลก!”
หนอนหนังสือตาเป็นประกาย และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดาบเทวะลั่วอู๋ชวงแห่งสภาสวรรค์นอกโลก ข้าได้ยินว่าเขาพบพานกับกายาจ้าวแดนดินแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งเมื่อเขายังเยาว์ และถูกตัดแขนไปโดยเพลิงกระบี่อันมหัศจรรย์ไร้เทียมทานจากกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่ง ดาบเทวะผู้นี้ได้ใคร่ครวญประสบการณ์อันเจ็บปวดของตนเอง และย่างกรายสู่มรรคามีดด้วยแขนเดียว หลังจากฝึกปรือมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี เขาก็เคยเข้าไปในแท่นประหารเทพ และไม่แพ้ให้กับมีดปริศนาประหารเทพ เขานั้นเป็นดาบเทวะอันดับหนึ่งแห่งสภาสวรรค์อย่างแท้จริง! พวกคนหนุ่มสาวข้างๆ เขาน่าจะเป็นทัพหลิงซิ่ว”
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าวอย่างตื่นเต้น “กายาจ้าวแดนดินยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งหรือ แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! พี่มู่ เจ้าเองก็เป็นกายาจ้าวแดนดิน เจ้าก็แข็งแกร่งเหมือนกันสิ!”
หนอนหนังสือเหลือบแลฉินมู่ก่อนจะส่ายหัว “กายาจ้าวแดนดินจักรพรรดสูงส่งได้สะบั้นแขนข้างหนึ่งออกไปจากดาบเทวะลั่ว นั่นมันอัศจรรย์จนแทบลืมหายใจขนาดไหน กายาจ้าวแดนดินฉินยังห่างไกลนักจากมาตรฐานนั้น”
หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อเขาครุ่นคิดในใจ กายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่งที่ตัดแขนของเขาอยู่ข้างๆ ท่านอย่างไรล่ะ แต่ข้าจะไม่ปริปากสักคำ ดาบเทวะของลั่วอู๋ชวงนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขาเก่งกาจกว่าเมื่อกาลครั้งนั้นไปหลายเท่าตัว ต่อให้ไม่นับเรื่องขั้นวรยุทธของเขา ก็ยังยากที่ข้าจะทำลายดาบเทวะของเขาในตอนนี้
“แต่ทว่า ดาบเทวะลั่วมีความเคยชินอันย่ำแย่ คือศิษย์ของเขาทุกคนจะต้องตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียนเพลงมีดของเขา”
หนอนหนังสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นคนหนุ่มสาวแห่งสภาสวรรค์ในทัพหลิงซิ่วจึงมักจะมีแขนเดียว”
ฉินมู่นึกถึงเจ๋อหัวหลี และเขาก็คิดอยู่ในใจ เจ๋อหัวหลีเองก็เกือบสะบั้นแขนของเขาออกไปหนึ่งข้าง แต่ในที่สุด ภายใต้แรงกดดันของข้า เขาก็เดินออกจากเงื้อมเงาของลั่วอู๋ชวงจนได้ คิดค้นมรรคามีดของตนเอง! บัดนี้เมื่อลั่วอู๋ชวงปรากฏตัว ข้าก็สงสัยว่าเขาจะไปพบกับฟู่ยื่อลัวหรือเปล่า ก็ในเมื่อพวกเขาเป็นคนรู้จักกัน หากว่าเขาไปพบกับฟู่ยื่อลัว ฟู่ยื่อลัวก็คงทรยศไปแล้ว…หากว่าข้าเห็นเจ๋อหัวหลีอยู่ข้างกายลั่วอู๋ชวง ก็แปลว่าฟู่ยื่อลัวทรยศแล้วแน่ๆ!
พวกเขาไปยังจุดที่ลั่วอู๋ชวงขับเคลื่อนเพลงมีดของเขา และพวกเขาก็ และก็พบว่าพวกที่ถูกลั่วอู๋ชวงสังหารคือครึ่งเทพ ร่างของครึ่งเทพตนนั้นทั้งแข็งแกร่งและกำยำ เขามีศีรษะของเทพเจ้าอันมีรูปทรงคล้ายมังกรและมีเรือนกายของมนุษย์ที่มีแปดแขนงอกออกมา พลังชีวิตของเขายังไม่ทันสลายไป ดังนั้นเขายังคงเปล่งเทวานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!
“ครึ่งเทพในขั้นแท่นประหารเทพ!”
หนอนหนังสือตรวจตราดูรอยมีด และเขาก็เอ่ยชม “เพลงมีดอันยอดเยี่ยม! ดาบเทวะลั่วใช้วรยุทธขั้นอัครนครหยกเพื่อสังหารครึ่งเทพราชามังกรตนนี้”
ฉินมู่สำรวจร่องรอยมีด และเขาก็พยายามวิเคราะห์อนุมานว่าเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้วิวัฒน์ไปถึงขั้นไหนแล้ว เขามองไปยังพวกมันอย่างถี่ถ้วน
หนอนหนังสือถามด้วยความสงสัย “หรือว่าจ้าวลัทธิฉินก็ศึกษาเพลงมีดด้วย”
ฉินมู่กล่าวอย่างถ่อมตน “ท่านยกยอข้าเกินไปแล้ว ข้านั้นเป็นอันดับที่…เอิ่ม ไม่สามก็สี่”
หนอนหนังสือเผยรอยยิ้มและคลี่พัดออกมาพัดให้กับตนเอง “อันดับสามหรือสี่? ไม่ใช่ว่าจ้าวลัทธิฉินจะคุยโวเกินไปหน่อยไหม ข้าได้ยินว่ามีเทพเจ้านามว่าเถียนฉู่ในสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในเพลงมีด ดาบสวรรค์ประตูเทวะของเขาสามารถสะบั้นเขาของภูติบดีได้ ถ้าจ้าวลัทธิไปเทียบกับเขาจะเป็นเช่นไร”
ฉินมู่สีหน้ามืดดำ และส่ายหน้า “ข้าด้อยกว่า”
หนอนหนังสือกล่าว “ข้าได้ยินว่ามีดาบสวรรค์ในสันตินิรันดร์ ผู้ซึ่งชี้ดาบท้าทายสรวงสวรรค์ เขาย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคามีดและคิดค้นเก้าวิชาดาบสวรรค์อันสามารถสังหารเทพเจ้าได้แม้เขาจะอยู่เพียงขั้นสะพานเทวะ จ้าวลัทธิเทียบกับเขาแล้วนับว่าเป็นอย่างไร”
“ข้าก็ยังอ่อนหัดกว่า” สีหน้าของฉินมู่มืดดำเข้าไปใหญ่
หนอนหนังสือยังคงถามต่อด้วยรอยยิ้ม “ลั่วอู๋ชวงมีศิษย์คนหนึ่งนามว่าเจ๋อหัวหลี เขาย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคามีด และคิดค้นเพลงมีดขึ้นมา เพลงมีดของจ้าวลัทธิฉินนับว่าเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของเขา”
“ด้อยกว่า!” ฉินมู่ตอบไปอย่างเดือดดาล
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ยังด้อยกว่าข้าด้วยเช่นกัน”
หนอนหนังสือกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็ย่างกรายสู่เต๋าด้วยมรรคามีด และแม้ว่าข้าจะไม่เลิศล้ำไปด้วยพรสวรรค์เหมือนกับดาบสวรรค์ ที่ถึงกับบุกเบิกออกมาเก้าวิชา แต่ข้าก็ยังคิดค้นมาได้เจ็ดกระบวนท่า”
ฝ่ามือของฉินมู่สั่นระริก และเขาทึ้งเอาหนวดหร็อมแหร็มใต้คางออกมาสี่ห้าเส้นด้วยกำลังแรง
หนอนหนังสือแย้มยิ้มโดยไม่กล่าวคำ
พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้าและก็เห็นแต่มารเทวะแห่งเผ่ามารอยู่ที่นี่ รัศมีของมารเทวะทั้งหลายน่าสะพรึงกลัว และพวกเขาก็นำพาสัตว์ร้ายตัวใหญ่ปานภูเขามาด้วยข้างหลัง พวกเขาเดินหายผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในมวลหมอก และดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เสียงร้องของกระบี่ก็ดังมาตรงหน้าพวกเขา และแสงกระบี่ก็กระจายเกลื่อนฟ้า แสงกระบี่ปรากฏท่ามกลางแสงมีด และพวกมันก็เข้าปะทะกัน
ฉินมู่มองไปที่เพลงกระบี่ และเขาก็ตะลึงไป
เพลงกระบี่นั้นคุ้นตาของเขาเกินไปแล้ว นั่นคือเพลงกระบี่ของเขา!
“ระบำดาบมังกรขาว! กระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่ง!”
ดวงตาของหนอนหนังสือเป็นประกาย และนางก็แย้มยิ้ม “กระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่งเป็นสตรี และนางเป็นคู่อาฆาตตัวเอ้ของลั่วอู่ชวง ไม่คิดเลยว่านางจะมาด้วยเช่นกัน! ข้าได้ยินว่าตอนที่ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง กระบี่เทวะจักรพรรดิสูงส่งยังคงเป็นเด็กสาวอายุเยาว์อันมีกำลังฝีมือและความสามารถต่ำต้อย แต่ทว่านางบุกบั่นฝ่าฟันออกจากความมืดไปพร้อมกับกายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่ง! กายาจ้าวแดนดินจักรพรรดิสูงส่งหายตัวไป แต่นางได้สืบทอดเพลงกระบี่ของเขาและก็ใช้มันเป็นรากฐานเพื่อกรุยทางเต๋ากระบี่ของนางเอง ในเดือนปีอันมืดมิดหลังจากที่ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งสิ้นสุดไป เพลงกระบี่ของนางก็เจิดจรัสอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี และกระเดื่องเลื่องลือว่านางคือวีรชนในเหล่าสตรี! จ้าวลัทธิฉิน”
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วอย่างนั้น เพลงกระบี่ของเจ้านับเป็นอันดับเท่าไรในโลกหล้าล่ะ”