ปัง
เสียงของวัตถุหนักกระแทกพื้นดังมา
“คุกเข่า” ครึ่งเทพตนนั้นกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้ายพลางยกบุตรคนโตของเขาขึ้นมา
อาโฉ่วร่างสั่นเทิ้ม และขาของเขาก็ซวนเซ ในที่สุดเขาก็คุกเข่าลงและก้มหน้า
ครึ่งเทพตนหนึ่งถือขวานอันวาววับก้าวเข้าไป และเขาวางขวานจ่อที่คอของอาโฉ่ว ขณะที่เขากำลังจะสับลงไปนั่นเอง ก็มีเสียงหนึ่งร้องเรียกด้วยความไม่เห็นชอบ “เจ้าสังหารเขาแบบนั้นไม่ได้หรอก”
ครึ่งเทพตนนั้นหยุดชะงักทันที
แสงอาทิตย์สาดส่องเต็มท้องฟ้าเมื่อเทพบรรพกาลหลายตนที่ซ่อนอยู่ในเงาเบื้องหลังจุติลงมา นั่นคือใบหน้าที่ปรากฏบนท้องฟ้า ใบหน้าของเขาไม่อาจมองเห็นได้ชัดในเมื่อเขาปิดซ่อนมันเอาไว้ ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเขาถูกสังหารเช่นนี้ วิญญาณทั้งสามของเขาก็จะโบยบินกลับไปยังแดนใต้พิภพ และคืนสู่ร่างกายของภูติบดี พวกเราจะต้องให้ดวงวิญญาณของเขาถูกทำลาย มีก็แต่เมื่อดวงวิญญาณของเขาสิ้นซาก พวกเราจึงจะสามารถเปลี่ยนตัวภูติบดีได้”
ในตอนนั้นเอง ใบหน้าอีกหน้าหนึ่งก็ปรากฏบนท้องฟ้า และมันก็ซ่อนเร้นอยู่เช่นกัน น้ำเสียงอันเย็นชาดังมาจากใบหน้านั้นด้วย “พวกเราได้ยืมมีดปริศนาประหารเทพมาจากสภาสวรรค์ และมันสามารถประหัตประหารดวงวิญญาณ นี่คือศาสตราวุธอันดับหนึ่งในสภาสวรรค์ และไม่มีสิ่งใดที่มันตัดไม่ได้!”
ลำแสงหนึ่งยิงลงมาจากท้องฟ้าปักลงที่พื้น มีดนั้นไม่ปรากฏให้เห็น มีก็แต่แสงอันไหลวนเท่านั้นที่ปรากฏอยู่
“ประหารเขา” ใบหน้าอีกจำนวนหนึ่งปรากฏบนท้องฟ้า และแม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะไม่อาจมองเห็น แต่ความตื่นเต้นก็ฉายชัดออกมาทางแววตา
ครึ่งเทพตนหนึ่งคว้าจับมีดปริศนาประหารเทพแห่งสภาสวรรค์ และเขาก็ใช้มันฟันไปยังอาโฉ่ว ผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
เหวิ่ง
แสงมีดสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างดุดัน และครึ่งเทพที่ถือมีดอยู่ก็กลายเป็นหมอกโลหิต ในทางตรงข้าม อาโฉ่วไม่มีบาดแผลที่คอ
วิญญาณทั้งสามของภูติบดีแข็งแกร่งเกินไป และต่อให้เป็นเพียงแค่ร่างกลับชาติของเขา เขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งเทพจะสังหารได้
ครึ่งเทพอีกตนหนึ่งก้าวออกไปข้างหน้าและคว้าจับมีดปริศนาประหารเทพเพื่อฟันลงไป เขากลายเป็นหมอกโลหิตจากแรงสั่นสะเทือน และอาโฉ่วก็ยังคงไร้บาดแผล
ครึ่งเทพตนที่สามก้าวออกหน้า และเขาก็ถูกมีดปริศนาบดขยี้จนแหลกละเอียดเช่นกัน ในพริบตานั้น ทั้งภูเขาแห่งครึ่งเทพหวาดผวาไปหมด ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยิบมีดนั้นอีกต่อไป
“สวะไร้ประโยชน์!”
เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังมาจากท้องฟ้า และเทพบรรพกาลตนหนึ่งก็อดทนไม่ไหวจึงจุติลงมา เขาเงื้อมีดปริศนาประหารเทพและยิ้มหยัน “หากว่าพวกเราสังหารภูติบดีไม่ได้ แล้วจะสำเร็จได้อย่างไร พวกเราจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร”
“พี่ทางเต๋า อุทิศศีรษะเจ้ามาเถอะ!”
แสงมีดของเขาตกลงมา และรอยเลือดก็ปรากฏที่คอของอาโฉ่ว แขนของเขาชาไปหมดจากแรงสั่นสะเทือนที่มาจากมีดปริศนาประหารเทพ
เทพบรรพกาลตนนั้นทั้งแตกตื่นและเดือดดาล เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าว “ภูติบดี ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเจ้านี่แข็งแกร่งเกินไปนะ ดูเหมือนว่าก่อนอื่นเจ้าจะต้องละทิ้งความปรารถนานี่เสียก่อน โยนเด็กของเขาลงมา!”
“อย่า…”
ร่างของอาโฉ่วสั่นเทิ้มเมื่อเห็นบุตรชายคนโตร่วงลงมาจากท้องฟ้า เขารีบคลานป่ายไปข้างหน้า และเทพบรรพกาลตนนั้นก็กระทืบหางของเขาเอาไว้ก่อนที่จะฟันมีดลงไปอีกครั้งหนึ่ง!
รอยแผลที่ลึกหนึ่งนิ้วปรากฏที่คอของเขา และเลือดสดๆ ก็ไหลทะลักออกมา
เทพบรรพกาลตนนั้นตื่นเต้นขึ้นมา และเขาก็กล่าวด้วยเสียงอันดัง “เจ้ายังรอวิญญูชนสวรรค์โยว ไอ้เด็กต่ำช้าอีกหรือ เพื่อกำจัดภูติบดี พวกเราย่อมต้องกำจัดวิญญูชนสวรรค์โยว และตอนนี้ไอ้เด็กนั่น วิญญูชนสวรรค์โยว ก็ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ด้วยซ้ำ เจ้าไม่มีความหวังอีกต่อไปแล้ว งั้นทำไมถึงยังดิ้นรนอยู่อีกล่ะ โยนลงมาอีกคนหนึ่ง!”
อาโฉ่วคลานไปข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง และเขาไม่สามารถขยับได้ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร บุตรสาวคนโตของเขาถูกเหวี่ยงลงมาจากหน้าผา
อาโฉ่วคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ข้างหลังเขาเทพบรรพกาลตนนั้นเงื้อมีดขึ้นและสับลงมาอีกหัน แสงวูบพุ่งวาบ และคอของเขาก็ถูกฟันลงไปครึ่งทาง
“โยนอีกคนลงมา!”
เทพบรรพกาลตนนั้นร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นและเงื้อมีดปริศนาประหารเทพ
อาโฉ่วร่างสั่นสะท้านเมื่อเห็นบุตรสาวคนเล็กถูกชูสูงขึ้นบนท้องฟ้า เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะตาย ราวกับว่าเขากำลังร่วงลงไปในเหวลึกแห่งความมืดมิด เขาไม่อาจมองเห็นแสงสว่างใดๆ เขาเห็นก็แต่บุตรสาวคนเล็กของเขาจากบนท้องฟ้า
เสียงเปรี๊ยะเบาๆ ดังขึ้นในหัวใจของเขา และมันดังเหมือนกับว่าก้อนหัวใจของเขาแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงเปรี๊ยะเบาๆ นั้นก็ดังมาจากหว่างคิ้วของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อเขาใช้มีดเพื่อผ่ารอยแผลนั้นออกมา มันก็ไม่เคยสมานกลับไป และบัดนี้ บาดแผลของเขาก็ปริออกอีกครั้ง
“อาโฉ่วไม่ใช่ภูติบดี อาโฉ่วเป็นเพียงแค่เด็กหน้าตาน่าเกลียดที่หน้าเหมือนกับภูติบดีเอามากๆ เท่านั้น”
ถ้อยคำของมารดาเฒ่าของเขาดังก้องในหูอีกครั้ง และถ้อยคำเหล่านี้ได้เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ที่ค้ำยันเขาเอาไว้ในหลายปีที่เขาต้องทุกข์ทน กำลังใจนี้ได้ค้ำยันให้เขาพาภรรยาและบุตรธิดาเอาชีวิตรอดต่อไป แต่บัดนี้ แต่กระทั่งถ้อยคำเหล่านั้นก็ได้พังทลายลง
เขาได้จมลงไปในความมืดอย่างสมบูรณ์
หว่างคิ้วของเขาปริแยก และดวงตาที่สามก็เผยออกมา มันเป็นดวงตาอันแดงเลือด และมีไฟนรกพุ่งวูบวาบอย่างไร้ก้นบึ้ง มันแผดเผาปฐพีและทำให้ทั้งโลกมิตินี้มอดไหม้
อาโฉ่วหายไป ภูติบดีกลับมาแล้ว
แต่ทว่า ผู้ที่กลับมาในคราวนี้คือภูติบดีอันพิโรธเกรี้ยวกราด ภูติบดีที่มุ่งคิดจะแก้แค้น
โซ่มากมายพลันปรากฏและทะลวงเข้าไปในร่างกายของเขา ตรึงเขาเอาไว้กับพื้น
ในฐานะภูติบดี เขาไม่สามารถฝ่าฝืนกฎแห่งแดนใต้พิภพได้ และเขาก็ไม่อาจต่อต้านเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ
แม้แต่ภูติบดีก็ไม่อาจสะบัดหลุดออกมาจากโซ่เหล่านี้
เขาคว้าเอามีดปริศนาประหารเทพ และมีดก็เฉือนเข้าไปในมือของเขา โลหิตหลั่งไหลลงจากมือ และเมื่อเขาลุกขึ้นยืน มีดปริศนาประหารเทพก็หลอมละลายในมือของเขา มีดเทวะอันมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าเป็นอาวุธอันตรายอันดับหนึ่งแห่งสภาสวรรค์เล่มนี้ ส่งเสียงร้องครวญครางในมือของเขา และไม่นานมันก็กลายเป็นโลหะหลอมละลาย
โลหะหลอมเหลวหยดติ๋งลงไปบนพื้น และแปรเปลี่ยนเป็นกระถางมหึมา ภูติบดีผู้ซึ่งย้อนคืนกลับมา ยืนอยู่ในกระถางนั้น
เทพบรรพกาลที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาร่างสั่นระริก และถูกเขาคว้าหัวดึงมา ถูกกดลงไปในกระถางและกระทืบอย่างหนักหน่วง ศีรษะของเขาระเบิดจากการถูกกระทืบ ใบหน้าของเทพบรรพกาลตนนั้นปรากฏอยู่ในกระถาง
ในกระถาง ใบหน้าของเขาล่องลอยอย่างโดดเดี่ยวในความมืด และเผยสีหน้าสยดสยอง
แต่ทว่า ก็มีครึ่งเทพมาเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเขามากขึ้นทุกที ครึ่งเทพทั่วทั้งภูเขาตกตายไปอย่างรวดเร็ว และพวกเขาทั้งหมดก็ถูกบดขยี้ด้วยพลังอำนาจของกระถางยักษ์ พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ตายตกและแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าในกระถาง
ร่างของภูติบดีขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ และเขาคว้าเอาทาริกาที่ร่วงลงมาจากหน้าผา ความมืดแผ่ขยายออกมาจากในกระถาง และแพร่กระจายทั่วทุกทิศทาง รุกคืบไปถึงครึ่งเทพเหล่านั้นที่กำลังหนีตาย ร่างกายของครึ่งเทพพวกนั้นบิดเบี้ยวและกลายเป็นเปลือกอันกลวงเปล่า ผิวหนังของพวกเขาร่วงลงและล้มไปกับพื้น
ความมืดท่วมท้นออกไปอย่างเกรี้ยวกราดยังทุกมุมโลกมิติอันตายซากและร้างไร้แห่งนี้
เทพบรรพกาลบนท้องฟ้าตื่นตระหนก และพวกเขาก็รีบล่าถอยเพื่อหลบหนีไปยังสถาสวรรค์ในทันที
โลกแห่งนี้ได้กลายเป็นแดนใต้พิภพไปอีกแห่งหนึ่ง
พวกเขาหลบหนีไปหมด ไม่มีใครกล้ารั้งรออยู่ เมื่อพวกเขาเหลียวหลังกลับไปมอง พวกเขาก็เห็นมารเทวะตนหนึ่งที่กำลังขยายตัวมหึมามากขึ้นเรื่อยๆ เหยียบย่างออกมาจากโลกมิติใบนั้น บนบ่าของเขาคือเด็กหญิงเล็กๆ ที่มีเขาวัวงอกออกมา
ร่างกายของเขาเกลื่อนไปด้วยโซ่อันแปรเปลี่ยนมาจากเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ และพวกมันก็รัดรึงเขาเอาไว้ ที่ปลายสุดอีกข้างหนึ่งของโซ่คือโลกอันถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นแดนใต้พิภพไปแล้ว
กระนั้นภูติบดีก็ยังลากโซ่ไปและดึงโลกมิตินั้นไปข้างหน้า ไล่ล่าพวกเขาตรงไปยังสภาสวรรค์
“ภูติบดีบ้าไปแล้ว!”
พวกเขากรีดร้องเมื่อพุ่งตะบึงเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณแห่งสภาสวรรค์ เทพบรรพกาลมากมายกรูกันออกมาและยืนอยู่กลางอากาศเพื่อขัดขวางเส้นทางของภูติบดี พวกเขาโน้มน้าวเขา
“ภูติบดี พวกนั้นแค่ล้อเล่นกับท่านเท่านั้น ทำไมท่านจะต้องโกรธกริ้วด้วยล่ะ”
“พวกเจ้ายังไม่ออกมาขอโทษอีกหรือ”
บางคนพยายามไกล่เกลี่ย “โชคดีว่าไม่เกิดเรื่องใหญ่ ภูติบดี โปรดระงับโทสะไว้เถิด…”
ภูติบดีลากกระถางสังหารเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณ มีโซ่ปรากฏบนร่างของเขามากขึ้นทุกที และข้างนอกประตูสวรรค์ทักษิณก็กลายเป็นแดนใต้พิภพที่คุกรุ่นในความมืด
ทันใดนั้น เทพบรรพกาลที่เข้ามาเกลี้ยกล่อมเขาก็ร่วงลงไป และกลายเป็นใบหน้าสยดสยองที่อยู่ในกระถาง
ในวันนั้น ภูติบดีต่อสู้บุกทะลุเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณ และเทพเจ้ามากมายก็ร่วงหล่น