ขณะที่ฉินมู่กำลังเข่นฆ่าอย่างมันมือ ลู่หลีก็พลันยกกระถางสี่เหลี่ยมขึ้นมาจากที่ไกลๆ
แม้ว่ากระถางนี้จะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่มันก็มีรอบประทับรูปวงกลมภายใต้ฝาปิดสี่เหลี่ยมของมันอันฝังเอาไว้ด้วยรอยตราของดวงดาวทั้งหลายในโลกหล้า มันแทนภาพของแผ่นสวรรค์
ทั้งสองด้านของกระถางจารึกเอาไว้ด้วยมารเทวะสี่ตนที่มีศีรษะวัวใบหน้าเสือ และร่างมนุษย์ พวกมันกัดไปบนแผ่นสวรรค์ และนั่นก็เป็นภาพแทนของแดนใต้พิภพ
ลู่หลียกฝากระถางขึ้นสูง และในเสี้ยวพริบตานั้น แสงเจิดจ้าบาดตาก็สาดส่องลงไปบนร่างของฉินมู่ ฉินมู่รู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว และทันใดนั้น โลกก็เหวี่ยงหมุนไปหมด ร่างกายของเขาลอยขึ้นไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ และเขาก็ถูกจับเข้าไปพร้อมๆ กับเทพเจ้าตนอื่นๆ ลอยไปยังฝากระถางอันอยู่ในมือของลู่หลี
เทพเจ้าอีกสามตนที่ถูกแสงนั้นจับไปด้วยก็ปั่นป่วนว้าวุ่น พวกเขาร้องออกมา “ตาข่ายสวรรค์สะกดเทพยดา!”
ฉินมู่สะท้านหัวใจอย่างรุนแรง เขานั้นกำลังจะหลบหนี แต่ทันใดท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดมิด เขาเงยศีรษะขึ้นมองดู และมันเต็มด้วยดวงดาวดารดาษ
ลู่หลีจับฝากระถางและดครอบลงไปบนกระถางสังหารที่ร่างกลับชาติของภูติบดีหลอมสร้างขึ้นมา นางปิดผนึกมันเอาไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่อากาศก็รั่วออกมาไม่ได้
ลู่หลีระบายลมหายใจโล่งอกและร้องออกมา “พวกเจ้าจะไม่มาช่วยหรืออย่างไร”
เสวียนหมิง หานเหลย และเจว้หวงรีบเข้ามาฟาดฝ่ามือลงไปบนกระถางสังหาร ลู่หลีเองก็ลงมือด้วยเช่นกัน และฝ่ามือทั้งสี่ที่ฟาดประทับไปยังสี่ด้านก็กระตุ้นพลานุภาพของกระถางสังหารและตาข่ายสวรรค์
ทันใดนั้น ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายแห่งแดนใต้พิภพก็เหาะลงมา และเอี๋ยนเชียนจ้งก็ก้าวไปข้างหน้า “เจ้าขับเคลื่อนกระถางสังหารตอนนี้ไม่ได้นะ! ข้างในยังมีสหายเต๋าสามตนที่ถูกดึงเข้าไปในกระถางด้วย หากว่าเจ้ากระตุ้นการทำงานของกระถางสังหาร พวกเขาก็จะถูกเคี่ยวกรำจนตาย!”
ลู่หลีปรายตามองเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็เปิดฝาและปล่อยทรราชย์น้อยแห่งแดนใต้พิภพออกมา จากนั้นจักรพรรดิแดงก็จะต้องฟาดเขากลับลงไปด้วยตนเอง”
เอี๋ยนเชียนจ้งแค่นเสียงและไม่กล่าวอะไรอีก
“ปล่อยโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพออกมา พวกเราก็จะตายกันหมด”
เสวียนหมิงกล่าวอย่างชืดชา “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโส และพวกเจ้าไม่มีกายเนื้อ พวกเจ้าย่อมถูกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพสะกดข่มโดยธรรมชาติ บัดนี้เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพย้อนกลับมา เขาแตกต่างไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อน เขานั้นได้ซ่อมแซมในส่วนที่บกพร่องทั้งหมด และทักษะเทวะในวันนี้ของเขาก็เกินธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยู่ในแดนใต้พิภพ ดังนั้นไม่ว่ากลุ้มรุมโจมตีอย่างไรก็ตีเขาไม่ตาย สิ่งเดียวที่สามารถสังหารเขาได้ก็มีแต่ตาข่ายสวรรค์และกระถางสังหาร”
ทุกคนเงียบงัน
พลังอำนาจและความน่าสะพรึงกลัวของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ได้สัมผัสประสบการณ์ตรงมาสองครั้งแล้ว
ครั้งแรกนั้นคือเมื่อสองเดือนหลังจากที่เขาถือกำเนิด ในคราวนั้น โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้ก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย และกลืนกินเทพเจ้าจากฝักฝ่ายต่างๆ ไปตั้งไม่รู้เท่าไร เขาใหญ่มหึมาขึ้นและมหึมาขึ้น และกลายเป็นยโสโอหังยิ่งไปกว่าเดิม
แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็มิได้ไร้เทียมทาน
เขาไม่รู้จักมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เขาอาศัยแต่ความที่ว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกอันถือกำเนิดจากครรภ์ในแดนใต้พิภพ ด้วยการอยู่ในแดนใต้พิภพ เขาสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ทุกขณะ และเขาก็สามารถดูดกลืนดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้อื่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง เขาถึงรอดชีวิตมาได้
และยี่สิบสองปีให้หลัง โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้ย้อนคืนกลับมายังแดนใต้พิภพอีกครั้ง และพลังอำนาจที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ในการต่อสู้เมื่อครู่ มีการบาดเจ็บล้มตายอย่างใหญ่หลวงต่อยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิหนึ่งร้อยตน มากกว่าครึ่งได้ตกตายในน้ำมือของเขา
ยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิมากมายไม่มีกายเนื้อ และหลงเหลือก็เพียงแต่จิตวิญญาณดั้งเดิม กำลังฝีมือของพวกเขาถดถอยลงไปเป็นอย่างมาก และพวกเขาก็เทียบเท่าเพียงแค่เทพเจ้าในขั้นอัครนครหยกและตำหนักชิดฟ้า แต่ทว่าความรู้และวิสัยทัศน์ของพวกเขาจากเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังคงอยู่กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าในขั้นอัครนครหยกมาก
ด้วยยอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมากลุ้มรุมสังหารเขา ก็ยังอุตส่าห์มีการบาดเจ็บล้มตายอย่างมากมาย นี่ทำให้พวกเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเอาจริงๆ
การโจมตีของลู่หลีได้ทำให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพไม่ทันตั้งตัว และเก็บเขาเข้าไปในกระถาง หากว่าพวกเขาเปิดกระถางสังหารขึ้นมา จะปิดผนึกเขากลับเข้าไปอีกครั้งคงยากกว่าเดิมมาก ใครจะรู้ว่าจะมีตัวตนบรรพกาลอีกกี่ตนที่จะต้องตาย!
“สำหรับสหายเต๋าทั้งสามที่ได้สละชีพเพื่อกำจัดโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ คุณธรรมความดีของพวกเขาสูงล้ำปานนภากาศ และข้าก็เลื่อมใสพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง”
ทันใดนั้น ราชาสวรรค์เกาก็มีสีหน้าเศร้าโศก และวางฝ่ามือลงไปบนกระถางสังหาร เขากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา “สำหรับสหายเต๋าทั้งสามที่เที่ยงธรรมขนาดนี้ ให้ข้าร่ำไห้ให้แก่พวกเขาด้วยก้นบึ้งหัวใจของข้า และส่งพวกเขาไปสู่สัมปรายภพ!”
ตัวตนโบราณอื่นๆ มีสีหน้าย่ำแย่ และพวกเขาก็พูดด้วยเสียงเจือสะอื้น “เพื่อส่งสหายเต๋าทั้งสามไปสู่สัมปรายภพ!”
ทุกคนล้วนแต่ร่ำไห้
ลู่หลีมองไปที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม และนางก็พลันหัวเราะขึ้นมา “เอาเถอะๆ ไม่จำเป็นที่ทุกท่านจะต้องเศร้าโศกขนาดนี้ หลังจากที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพตกลงไปในกระถาง เขาก็ไม่ตายไปโดยฉับพลันหรอก เพื่อไม่ให้สหายเต๋าทั้งสามเหล่านั้นต้องทนทรมาน พวกเรารีบขับเคลื่อนกระถางสังหารและส่งพวกเขาไปยังโลกหน้า!”
ทุกคนมีสีหน้ามืดล้ำ เอี๋ยนเชียนจ้งกล่าวอย่างเย็นชา “ผู้บัญชาการแคว้นลู่หลี ความกระหายความดีความชอบของเจ้านั้นสูงเกินไปแล้ว สหายเต๋าทั้งสามนั้นเพิ่งจะตายไปก็เพราะเจ้า ทำไมเจ้ายังยิ้มหัวอยู่ได้”
ลู่หลีร่ำไห้โฮๆ ทันที และน้ำตาของนางก็ร่วงพราวประดุจสายฝน นางปาดน้ำตาและกล่าว “คนอื่นๆ อาจจะคิดว่าข้าทำเรื่องนี้เพื่อหวังความดีความชอบ แต่ใครจะรู้ว่าข้าต้องบังคับตนเองให้ฝืนยิ้ม”
เสวียนหมิงทนดูนางไม่ได้อีกต่อไป และเพียงแค่กล่าวอย่างนุ่มนวล “เรื่องสำคัญมาก่อน จัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนกว่า”
ราชาสวรรค์เกาเลิกคิ้วและกล่าว “หลังจากพวกเราเคี่ยวกรำโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพจนตายไปแล้ว ใครล่ะจะเป็นเจ้าของกายเนื้อของเขา”
ทุกคนหัวใจเต้นพลาดไปจังหวะหนึ่ง
ราชาสวรรค์เกาหัวเราะในคอและกล่าว “สี่มหาผู้บัญชาการแคว้น ตาข่ายสวรรค์นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยความพยายามของพวกข้าทั้งหมดเพื่อจัดการกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ บัดนี้ในเมื่อสหายเต๋าหลายคนได้สละชีวิตไป พวกเราก็อาจจะเศร้าโศก แต่กายเนื้อของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมิใช่เรื่องเล็กน้อย พวกเราควรจะปรึกษากันดูว่ากายเนื้อของเขาควรจะตกเป็นของใครไว้เสียก่อนล่วงหน้า”
ลู่หลีขมวดคิ้ว และนางถามพร้อมรอยยิ้ม “ราชาสวรรค์เกา เจ้ามีความเห็นอย่างไรล่ะ ทำไมเจ้าไม่พูดให้ชัดมาเลย”
ราชาสวรรค์เกาหัวเราะในคอ “พวกเราเป็นเพียงแค่คนตาย จะมีความเห็นอะไรได้”
เอี๋ยนเชียนจ้งหัวใจหวั่นไหวเล็กน้อยและกล่าว “สี่ผู้บัญชาการแคว้นล้วนแต่มีกายเนื้อ แต่พวกข้าวัตถุโบราณทั้งหลายไม่มีกายเนื้อ หลังจากที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพถูกเคี่ยวกรำจนตาย กายเนื้อของพวกเขาก็ย่อมต้องเป็นของพวกข้า สี่ผู้บัญชาการแคว้นควรจะมอบมันให้แก่พวกข้า ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของเจ้า”
เจว้หวงยิ้มหยันและกล่าว “มีภูตผีตั้งมากมาย แต่มีโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเพียงแค่คนเดียว งั้นทำไมเจ้าไม่ฉีกแบ่งเขากันคนละชิ้น ในเมื่อกายเนื้อของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมิใช่ของพวกข้า ทำไมพวกเจ้าทุกคนไม่ตัดสินใจกันเลยล่ะว่ามันควรจะเป็นของใครในหมู่พวกเจ้า!”
ตัวตนโบราณทั้งหลายประหวั่นพรั่นพรึง
กายเนื้อของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพนั้นเย้ายวนจนเกินไป เมื่อพวกเขาจินตนาการถึงว่าจะสามารถควบคุมมหิทธานุภาพของภูติบดีได้เมื่อฟื้นคืนชีพในกายเนื้อนั้น และเมื่อพวกเขาเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง การเข้าไปแทนที่ภูติบดีนั้นก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
รอบข้างของกระถางสังหารเงียบสงัด เมื่อตัวตนบรรพกาลทั้งหลายต่างก็ไม่ปริปาก
ลู่หลียิ้มหยันในใจอย่างไม่รู้จบ ผู้บัญชาการแคว้นอีกสามคนยืนเคียงข้างนาง และจับจ้องมองดูใบหน้าของตัวตนโบราณเหล่านี้ คอยระวังเอาไว้
ในกระถางฉินมู่และจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นตำหนักชิดฟ้าทั้งสามได้ตกลงมาพร้อมๆ กัน แสงสว่างของตาข่ายสวรรค์สลายไป
รอบข้างตกลงไปในความมืด
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองดู และเขามองเห็นดวงดาวเจิดจรัสและดาราจักรที่ลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา
เมื่อเขามองลงไปข้างล่าง มันก็เป็นความมืดทมิฬอันไร้ปานเปรียบ ที่ลอยอยู่ในความมืดนั้นเป็นใบหน้าต่างๆ มีทั้งใบหน้าของมนุษย์ และของเทพเจ้า
ใบหน้าเหล่านั้นเหมือนกับทำขึ้นมาจากกระดาษอันบางเฉียบที่สุด และพวกมันก็เอาแต่ลอยล่องอยู่ในความมืดโดยปราศจากความหนา เดี๋ยวก็โผล่ เดี๋ยวก็หาย
พวกนั้นคือยอดฝีมือที่ได้ตายลงไปในกระถางสังหาร และหลังจากที่พวกเขาถูกกระถางสังหารเคี่ยวหลอม พวกเขาก็กลายเป็นรอยประทับข้างในกระถางเพื่อเพิ่มพูนอานุภาพให้เทพศาสตราชิ้นนี้
“ตาข่ายสวรรค์!”
หนึ่งในจิตวิญญาณดั้งเดิมเผยสีหน้าสิ้นหวัง และร้องออกมาด้วยเสียงอันโหยหวน “ตาข่ายสวรรค์ที่พวกเราสร้างขึ้นมากับมือ ถูกนังหญิงต่ำช้าน้อยลู่หลีใช้กับพวกเรา!”
“และยังมีกระถางสังหาร!”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของตัวตนโบราณอีกสองตนก็เผยความหวาดกลัวอันเข้มข้น เสียงของพวกเขาแหบพร่า “กระถางสังหารที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมาโดยร่างกลับชาติของภูติบดี สมบัติวิเศษอันดับหนึ่งในแดนใต้พิภพ สมบัติวิเศษอันดับหนึ่งสำหรับการเข่นฆ่า!”
“เมื่อก่อนนั้น เมื่อภูติบดีเริ่มฆ่าล้างผู้คนในยุคสมัยหลงฮั่น เขาได้ใช้กระถางนี้และเคี่ยวกรำดวงวิญญาณของเทพบรรพกาลและครึ่งเทพตั้งมากมายให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!”
“พวกเราจบเห่แล้ว!”
“ปล่อยพวกเราออกไป!”
จิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสามทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และเหาะตรงไปยังดาราจักร ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองดูและเห็นดวงดาวและดาราจักรเคลื่อนคล้อยโคจร และเมื่อตัวตนขั้นตำหนักชิดฟ้าพุ่งขึ้นไปยังดาราจักร พวกเขาก็ถูกฟาดร่วงลงมาและตกลงไปในความมืด พวกเขาระเบิดอยู่ในความมืดมน และแสงของพวกเขาก็ค่อยๆ ดับสูญ
“น่าเสียดายจริงๆ ข้ากินพวกเขาไม่ได้…”
ทารกยักษ์กล่าวด้วยความอาวรณ์
ฉินมู่สำรวจดูรอบๆ ด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
เมื่อครู่นี้เขาได้เห็นใบหน้าของตัวตนโบราณทั้งสามปรากฏขึ้นมาในความมืดและกลายเป็นรอยประทับอีกสามรอย
ผู้คนที่ถูกเคี่ยวกรำจนตายที่นี่ล้วนแต่แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว ภายใต้พลานุภาพของกระถางสังหาร พวกเขากลับตกตายไปโดยไม่มีโอกาสดิ้นรนสักนิด!
เมื่อครั้งกระโน้น ภูติบดีสังหารผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็เพราะความตายของภรรยาและบุตรสาวของเขา เขาถูกสันดานมารเข้าควบคุม และผลที่ตามมาก็คือกระถางอันเป็นสมบัติวิเศษสำหรับการเข่นฆ่าสังหารอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้พิภพ
ความเคียดแค้นและสันดานมารของเขาได้บรรลุไปถึงขีดจำกัดอันล้นปรี่ และในชั่วพริบตานั้น ก็ทะลุจนทลายการควบคุมของหลักกฎแดนใต้พิภพ ในเวลานั้น กระถางสังหารก่อตัวขึ้นมาด้วยสันดานมารและความเคียดแค้นที่กล้าแข็งที่สุดของเขา ดังนั้นใครก็คงจะนึกออกว่ากระถางนี้น่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน!
ตอนนี้กระถางยังคงไม่โจมตีพวกเรา
ฉินมู่มองไปยังใบหน้าที่ล่องลอยรอบๆ และรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง หรือภูติบดีจะเป็นคนควบคุมกระถางนี้ แต่นั่นคงไม่ใช่ หลังจากที่ภูติบดีเริ่มเข่นฆ่าล้างผลาญในยุคสมัยหลงฮั่น เขาก็รู้สึกสำนึกผิดบาปอย่างหนัก และพันธนาการร่างกลับชาติของตนเอาไว้ในด่านกุญแจหยกเพื่อให้รับทุกข์ทรมานจากไฟนรก กระถางนี้คงจะต้องถูกเขาทิ้งไป หรือไม่ก็ถูกสภาสวรรค์เก็บยึด ผู้ซึ่งมอบต่อให้แก่ผู้บัญชาการแคว้นลู่หลีเอาไปควบคุม นั่นก็ยังหมายความว่าพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของกระถางนี้ยังไม่ถูกกระตุ้นทำงาน มันจะต้องยังไม่มีใครข้างนอกที่ลงมือกระตุ้นการทำงาน
เขาตั้งสติตนเอง และเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสามถูกฟาดตบลงมาจากตาข่ายสวรรค์ มันก็กระตุ้นพลานุภาพของกระถางสังหารและปลิดชีวิตพวกเขาไปในทันที นี่หมายความว่าพลานุภาพของกระถางสังหารถูกกระตุ้นให้ทำงานได้ แต่ตราบเท่าที่มันยังไม่ถูกกระตุ้น ก็คงไม่มีปัญหามากมาย เว้นก็แต่ว่าลู่หลีและพรรคพวกจะกระตุ้นให้กระถางทำงานไปตรงๆ
การที่ภูติบดีหลอมสร้างกระถางสังหารนี้ในยุคสมัยหลงฮั่น ความสำเร็จของเขาในเชิงพีชคณิตตอนนั้นคงจะไม่สูงมากเท่าไร
ฉินมู่ยังคงสงบท่วงทีเอาไว้ และดวงตาที่หว่างคิ้วของเขาก็เปิดออกเพื่อมองไปยังรอบบริเวณ เขาคิดในใจ ในเวลานั้น เจ้าสำนักเต๋าคงจะเพิ่งคิดค้นตำราคำนวณสตรีปริศนา และตำราคำนวณบรมปริศนาเท่านั้น ภูติบดีก็คงไม่ได้เรียนทั้งสองตำราด้วยซ้ำ กระถางสังหารนี้น่าจะมีช่องโหว่ในพยุหะสังหาร
เขามองไปรอบๆ และขมวดคิ้วหนักขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดเป้งปรากฏที่หน้าผากของเขา
เขามองหาช่องโหว่ไม่เจอสักนิด
ในตอนนั้น เขาก็ตระหนักถึงประเด็นสำคัญขึ้นมา!
สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่ออธิบายเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน ในทางกลับกัน ภูติบดีนั้นเป็นเทพบรรพกาลก่อนฟ้าดิน เขานั้นคือตัวสำแดงของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ!
เขาไม่จำเป็นต้องใช้พีชคณิต!
พีชคณิตเป็นเพียงวิชาต่ำชั้นสำหรับเขา!
การที่เขาจะละทิ้งมรรคา วิชา และความสำเร็จต่างๆ เพื่อมาศึกษาค้นคว้าพีชคณิต นั้นไม่ต่างอะไรกับการซื้อไข่มุกมาเพื่อจะเอาแค่กล่องบรรจุ
บัดซบแล้ว…
ขณะที่เขาคิดมาถึงตรงนี้ ฉินเฟิงชิงที่อยู่ทางขวาของเขาก็พลันสูดลมหายใจลึกและร้องชม “ที่นี่ดีเยี่ยมจริงๆ มีกลิ่นดีๆ อยู่เต็มไปหมด หอมอะไรอย่างนี้”
ฉินมู่กะพริบตาปริบ “หอมอะไรอย่างนี้ งั้นหรือ”
ฉินเฟิงชิงผงกหัว “หอมจริงๆ! เจ้าไม่ได้กลิ่นหอมในอากาศหรือ นั่นคือกลิ่นหอมของดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง ความเคียนแค้น ความย้อนเสียใจ และความคิดด้านลบทั้งหลาย กลิ่นของมันช่างเย้ายวนใจจริงๆ!”
ฉินมู่อึ้งไป ทันใดนั้น ทักษะเทวะก็ระเบิดขึ้นในความมืด มีเสียงครืนครันกัมปนาท และความมืดก็ไหลบ่ามา แต่ทว่าไม่มีการตอบโต้กลับจากกระถางสังหารอย่างที่เขาคาดเอาไว้!
กระถางสังหารไม่มีปฏิกิริยาต่อการโจมตีของเขา มีก็แต่ใบหน้าอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมองเข้าไปในความมืด และอ้าปากออกเพื่อกรีดร้องโดยไร้เสียง
ฉินมู่ตกตะลึง และพลันตระหนักขึ้นมา เขาร่ำร้อง “ข้ารู้แล้วว่าว่าเพราะอะไร! พวกเราสองพี่น้องคือภูติบดี สำหรับกระถางนี้ พวกเราเหมือนกับมัน มันไม่โจมตีภูติบดี และไม่โจมตีตัวมันเอง!”
เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ และก็ยังคงไม่ถูกกระถางสังหารจู่โจม
ฉินมู่เหาะไปที่เบื้องหน้าของใบหน้าหนึ่ง และดวงตาของใบหน้านั้นกลอกไปมา มองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ฉินมู่เคลื่อนไปยังข้างๆ ใบหน้านั้น และก็ยังคงเห็นใบหน้าดังกล่าว ไม่ว่าเขาจะมองไปที่มันจากมุมใด ก็จะเห็นแต่ใบหน้าด้านตรง เขาไม่อาจมองเห็นข้างหลังของใบหน้าได้!
เขาอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง “พี่ชาย เจ้ามองเห็นไหมว่ากระถางนี้ใช้มรรคา วิชา และทักษะเทวะแบบไหน ภูติบดีสร้างใบหน้านี้ขึ้นมาได้อย่างไร”
“ให้เวลาข้าสักเดี๋ยว!”
ฉินเฟิงชิงยกมือขึ้นและยืดแขนของเขาเข้าไปในดวงตาที่หว่างคิ้ว เขาควานหาทั่วไปอย่างสะเปะสะปะ และในแผ่นดินรูปตัวฉิน เทพสรรพชีวิต จักรพรรดิแดงฉาน และเทพครองดาวมหาตะวันรีบหลบไปทางนั้นทีทางโน้นที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเฟิงชิงก็เอาศีรษะหนึ่งออกมาจากแผ่นดินรูปตัวฉิน เขาเป่าลมหายใจเข้าใส่เฮือกหนึ่ง และศีรษะนั้นก็บินขึ้นไปลอยล่องอยู่ในความมืด “ทำแบบนี้”
ฉินมู่ตกตะลึงและเดินวนอ้อมศีรษะนั้นหลายรอบ ทั้งสี่ด้านของศีรษะล้วนแต่เป็นด้านตรงของใบหน้า เขาไม่อาจมองเห็นด้านข้างหรือด้านหลังได้
“ในนี้ใช้มรรคา วิชา และทักษะเทวะแบบไหน” ฉินมู่จับต้นชนปลายไม่ถูก
“ข้าไม่รู้น่ะ”
ฉินเฟิงชิงกล่าว “ในเมื่อไม่มีอันตราย งั้นให้ข้าย่อยอาหารก่อน เจ้าก็คิดหาวิธีออกจากที่นี่ไปพลางๆ”