อนุภาควิญญาณที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกหล้าก็ถูกเขานำทางมา และในไม่ช้า อนุภาคอันเหมือนทรายดำก็ลอยมาจากทั่วทิศไปยังแดนใต้พิภพ
พวกมันคืออนุภาควิญญาณอันละเอียดยิบ และพวกมันก็แหลกละเอียดเสียจนไม่อาจละเอียดไปกว่านี้ได้ภายใต้ห้วงเวลาอันยาวนาน สายตาเปล่าของบุคคลไม่อาจตรวจเห็นพวกมันได้ แต่ว่าพวกมันมีอยู่จริงๆ
เพราะว่าเวลาหนึ่งล้านปีได้ผ่านไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาสวรรค์และแม่น้ำสวรรค์ในอดีตกาลได้กลายเป็นแบบไหนไปแล้วในตอนนี้ กาลเวลาอันยาวนานได้ทำให้อนุภาควิญญาณของวิญญูชนสวรรค์อวี้กระจัดกระจายไปในโลกมิติเกือบทั้งหมด นี่เกินความคาดหมายของฉินมู่ และเขาก็ค่อยๆ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหมดแรง จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเผาผลาญพลังวัตรเข้าไปมากขึ้นทุกที และเสียงก็ดังก้องขึ้นและก้องขึ้น
“ทำไมเจ้าไม่แค่รวบรวมดวงวิญญาณของเขากลับมาเลยตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ”
ผู้เฒ่านำทางความตายฉงนฉงาย “เมื่อตอนนั้น ดวงวิญญาณของเขากระจัดกระจายไปในสภาสวรรค์ รวมรวบมันในตอนนั้นน่าจะง่ายกว่ามาก เจ้าไม่ต้องรีดเร้นความพยายามมากแบบนี้ในตอนนี้”
“เมื่อครั้งกระโน้น ข้ายังคงไม่รู้จักกับภูติบดีและเทพสรรพชีวิต หากว่าข้าลงมือหยิบยืมพลังอำนาจของภูติบดีและเทพสรรพชีวิต พวกเขาก็จะต้องปลิดชีวิตข้าเป็นแน่”
เหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากของฉินมู่มากขึ้นทุกที เหงื่อของเขาระเหยไปและก่อขึ้นเป็นมวลเมฆ และเขาก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของข้ากับเทพสรรพชีวิตและภูติบดีนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าหยิบพลังอำนาจของพวกเขาพวกเขาก็จะไม่ติติงอะไร ในตอนนั้นข้าทำเช่นนี้ไม่ได้”
ผู้เฒ่านำทางความตายมีสีหน้าพิลึก เหมือนกับว่าปากของเขาถูกไข่ไก่ยัดเข้าไปสองฟอง และดวงตาก็ถลนจ้องราวกับกระดิ่งสำริด เขาคิดอยู่ในใจ วิญญูชนสวรรค์มู่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าในเรื่องความสัมพันธ์อันดี กับเทพสรรพชีวิตน่ะข้าไม่รู้หรอก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภูติบดีนั้นห่างไกลกับคำว่าดี ภูติบดีแค่รำคาญที่เขาวิ่งเข้ามาก่อความวุ่นวายในแดนใต้พิภพเท่านั้น…
ฉินมู่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหมดพลังมากขึ้นทุกทีๆ เมื่อเขายกมือวาดเท้าขึ้นมาสร้างอักษรรูน พวกมันก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ มุทราแล้วมุทราเล่าถูกประทับลงไปบนร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และมันก็เหมือนกับยกภูเขาพระสุเมรุ เสียงของเขาแหบพร่าลงไปเล็กน้อย “และอีกอย่าง สภาสวรรค์ในตอนนั้นอันตรายเกินไป ไม่ใช่เพียงแค่วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเท่านั้นที่ต้องการสังหารเขา บุคคลที่ต้องการสังหารเขาแข็งแกร่งจนเกินไป แข็งแกร่งถึงขนาดที่เทพสรรพชีวิตและภูติบดีไม่กล้าตอแยเขา ต่อให้ข้าชุบชีวิตเขาขึ้นมาในตอนนั้น เขาก็คงยังต้องตายไปอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงเพียงแค่ฟื้นคืนชีพกายเนื้อของเขา และให้วิญญูชนสวรรค์หลิงส่งเขาให้แก่เจ้า มีก็แต่วันนี้ที่ข้ากล้าฟื้นคืนชีพเขา!”
ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของเขาหยุดชะงักลงไปพร้อมๆ กัน หนึ่งนั้นยืนอยู่บนพื้น และอีกหนึ่งคืนอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา ทั้งสองร่างต่างก็มีวงรัศมีแสงหมุนติ้วๆ อยู่ข้างหลังศีรษะ อักษรรูนทุกชนิดบนกงล้อจุดติดตามๆ กันเมื่อพวกมันหมุนไป สาดส่องลงบนร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้!
อนุภาควิญญาณนับไม่ถ้วนลอยเข้ามา และพวกมันก็เข้าไปในร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างต่อเนื่อง พวกมันมุดเข้าไปในอวัยวะของเขา เข้าไปในใจกลางหว่างคิ้ว เข้าไปในคอ เข้าไปในหัวใจ เข้าไปในตันเถียน และเข้าไปในทวารหนัก
ฉินมู่และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ไหวติง ขณะที่กงล้อแสงหมุนวนไปไม่หยุดหย่อน
ผู้เฒ่านำทางความตายแตกตื่นสะท้าน และเขารู้ว่าตอนนี้คือจังหวะอันสำคัญที่สุด เขาพลันระวังไวขึ้นมาทันที และเรือกระดาษก็ลอยเข้ามาในแดนใต้พิภพเพื่อพิทักษ์คุ้มกันคฤหาสน์ จำนวนของพวกมันมากมายยิ่งนัก และข้างนอกก็แออัดไปหมด
ไม่รู้ว่านานเท่าไรกว่าที่ฉินมู่จะเผยสีหน้าอันอ่อนล้า และกงล้อแสงข้างหลังศีรษะเขาก็หยุดหมุนก่อนจะจางหายไป
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก้าวไปข้างหน้า และหดเล็กลงๆ จนกระทั่งมันเข้าไปรวมกับกายเนื้อของเขา
ตอนนี้ผู้เฒ่านำทางความตายถึงค่อยถอนหายใจ และเขาก็รีบก้าวไปเพื่อจะถาม ฉินมู่ชิงตอบเสียก่อนด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น “ดวงวิญญาณของวิญญูชนสวรรค์อวี้มีส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกบดขยี้ ในทางตรงข้ามมันถูกใครบางคนตรึงสะกดเอาไว้ และข้าไม่อาจอัญเชิญมันกลับมาได้”
ผู้เฒ่านำทางความตายตกตะลึงและรีบถาม “มันถูกตรึงสะกดเอาไว้มากแค่ไหน”
“ไม่ถึงหนึ่งในสิบ”
ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและพักอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าส่วนที่หายไปนั้นสำคัญหรือไม่ ส่วนว่าใครเป็นผู้นำดวงวิญญาณส่วนนั้นไป ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
ผู้เฒ่านำทางความตายว้าวุ้นขึ้นมา “พวกเราทำอย่างไรกันดี”
“ง่ายมาก ไปถามภูติบดี”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะนำเขากลับไปที่โลกแห่งคนเป็นในบัดนี้ และประกอบสร้างวิญญาณและจิตของเขาขึ้นมาใหม่! หลังจากที่ดวงวิญญาณและดวงจิตของเขาถูกประกอบขึ้นมาแล้ว ภูติบดีก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวที่หายไปโดยสืบจากดวงวิญญาณและดวงจิตของเขา พวกเราเพียงแต่ต้องไปถามภูติบดีเพื่อแยกแยะสถานที่ตั้งของดวงวิญญาณส่วนที่เหลือ”
ทั้งสองคนวางร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ลงไปในเรือน้อย มารดาของผู้เฒ่านำทางความตายนั้นกำลังง่วนกับการประกอบอาหาร และนางก็รีบกล่าว “นี่เกือบจะเสร็จแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนไม่กินอะไรสักหน่อยหรือ หลังจากที่ง่วนหนักขนาดนี้”
ผู้เฒ่านำทางความตายรีบกล่าว “ท่านแม่ พวกเรามีธุระเร่งด่วนที่ต้องกระทำ!”
หญิงผู้นั้นกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัย ข้าจะเก็บอาหารไว้ให้อุ่น น้องชายผู้นี้ โยวเอ๋อของข้ายังคงเด็กอยู่และไม่รู้ประสีประสา เขาไม่รู้วิธีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนด้วยเช่นกัน ดังนั้นโปรดช่วยดูแลเขาสักหน่อยเถอะนะ”
ฉินมู่ระงับความอยากหัวเราะของเขาเอาไว้และรีบกล่าว “ท่านน้าไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจดี”
เขามองไปยังผู้เฒ่านำทางความตาย ผู้ซึ่งมีสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์
เมื่อเรือแล่นไปไกล ถึงตอนนั้นฉินมู่ถึงระเบิดหัวเราะออกมา ใบหน้าของผู้เฒ่านำทางความตายกลายเป็นเลือนรางอีกครั้ง และเขาก็กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าหัวเราะอะไร เมื่อครั้งกระโน้นข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าอัดเจ้าได้”
ฉินมู่รีบระงับเสียงหัวเราะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ แม้แต่วิญญูชนสวรรค์อวี้ เจ้าก็อัดเขาน่วมได้ ข้าไม่รู้ว่าเขาจะยังจดจำพวกเราได้หรือเปล่านะหลังจากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา”
ผู้เฒ่านำทางความตายเหม่อลอย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าว “ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนเขาก็จะยังเป็นพี่ชายของข้า”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ “แล้วข้าล่ะ?”
“ฮึ่ม”
ผู้เฒ่านำทางความตายสะบัดหน้าไปและเผยหน้ากากมารข้างหลังศีรษะของเขา หน้ากากมารพลันแลบลิ้นใส่เขา
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจและเพ่งพิศดูอย่างถี่ถ้วน หน้ากากมารนี้มิใช่อันที่เขาแกะสลักไปก่อนหน้า มันน่าจะเป็นหน้ากากมารที่วิญญูชนสวรรค์โยวเคยสวมใส่เมื่อครั้งกระโน้น เขาไม่รู้ว่าผู้เฒ่านำทางความตายเอามันออกมาตั้งแต่ตอนไหน และเอามาสวมใส่ไว้ข้างหลังศีรษะอีกครั้ง
เขาคงจะต้องกังวลว่ารูปโฉมของเขาเปลี่ยนแปลงไป และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็จะไม่สามารถจดจำเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไปหาหน้ากากมาใส่ ฉินมู่คิดในใจ
เมื่อพวกเขามาถึงโลกแห่งคนเป็น มันก็ยังคงเป็นริมฝั่งแม่น้ำหย่ง
ในตอนนั้น มันเป็นเวลากลางคืนของแดนโบราณวินาศ และในความมืดก็มีทรายดำวิญญาณและผีเปรตไม่มากมายเท่าเมื่อก่อน ฉินมู่ยืนอยู่บนเรือกระดาษที่ลอยอยู่บนแม่น้ำหย่งและร่ายเวทมนตร์ของเขาอีกครั้ง ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏขึ้นมาและพลิกคว่ำกลับหัวกลับหางเพื่อยืมพลังอำนาจทั้งจากเทพสรรพชีวิตและภูติบดี พลังอำนาจฉายส่องลงไปบนร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ ผู้ซึ่งลอยอยู่บนอากาศ
ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปยังการร่ายเวทมนตร์ของเขาด้วยความกระสับกระส่าย ทั้งยังกำหมัดแน่น
ผ่านไปเนิ่นนาน ฉินมู่ก็สลายพลังวัตรของเขา และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็ลอยลงไปบนผิวแม่น้ำอย่างนุ่มนวล
“หลันอวี้เถียน ไม่ได้เจอกันนานเลย” ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนผิวแม่น้ำ
ชายหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและเผยสีหน้าว่างเปล่า ผู้เฒ่านำทางความตายตื่นเต้น และทันใดนั้น เสียงผลุบก็ดังขึ้น วิญญูชนสวรรค์อวี้จมลงไปในแม่น้ำ และเขาตะเกียกตะกายแหวกแขนขาไปมาอย่างช่วยตนเองไม่ได้ กลืนน้ำเข้าไปในท้องอย่างมาก
กระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดเอาชายหนุ่มที่ไม่รู้วิธีว่ายน้ำไปทางปลายน้ำ
ฉินมู่และผู้เฒ่านำทางความตายตกตะลึง และพลันได้สติ “ช่วยเขาเร็ว!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็ลากวิญญูชนสวรรค์อวี้อันเปียกโชกขึ้นมาบนตลิ่ง และวางเขาลงไป
วิญญูชนสวรรค์อวี้เกือบจะจมน้ำ และเขาเอาแต่โก่งคออาเจียนน้ำที่เข้าไปในปอดออกมา เขาหอบหายใจอย่างไม่คิดชีวิต
ฉินมู่และผู้นำทางความตายหันไปมองกันละกันด้วยความหนักอึ้ง “วรยุทธของเขาหายไปหมดก็ไม่เป็นไร ก็ยังคงฝึกปรือขึ้นมาได้ใหม่”
วิญญูชนสวรรค์อวี้พักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นเพื่อคารวะทักทายพวกเขา “ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองมากที่ช่วยชีวิตข้า จริงสิ ผู้มีพระคุณ เมื่อครู่นี้พวกท่านเรียกข้าว่าอย่างไรนะ”
ชายหนุ่มคนนั้นเกาหัวแกรกๆ และหน้าแดงขึ้นมา “ข้าจำชื่อตัวเองไม่ได้”