เมื่อเห็นท่าทางของหร่วนซือซือแข็งทื่ออยู่นาน อวี้อี่มั่วก็หันหน้าไป “เป็นอะไรหรอ?”
หร่วนซือซือถือโทรศัพท์ไว้ และไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี “โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอวี้อี่มั่วก็หยิบโทรศัพท์ออกมามองที่หน้าจอ สายตาของเขาก็ซึมลง
เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีสัญญาณและไม่ต้องพูดถึงว่าจะโทรออกเลย อินเทอร์เน็ตก็เชื่อมต่อไม่ได้
ในขณะนี้ไม่มีทางเลือกอื่นพวกเขาติดอยู่บนเรือ ถ้าไม่คิดหาวิธีอื่นเกรงว่าสถานการณ์จะแย่ลง
“เธอนั่งตรงนี้ ฉันจะไปดูที่ท้ายเรือ”
อวี้อี่มั่วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ เขาให้หร่วนซือซือนั่งอยู่ที่หัวเธอ จากนั้นเขาก็เดินไปที่ท้ายเรื่อและใช้ไม้พายทำให้เกิดคลื่น เพื่อต้องการดูสถานการณ์ด้านล่าง
อาจจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเครื่องยนต์ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานได้ หรือเครื่องยนต์เองก็มีปัญหา
เขาเอาไม้พายเคาะที่ตัวถังเครื่องยนต์ และแน่ใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอม เขากลับไปที่หัวเรือเริ่มต้นใหม่และสตาร์ท แต่เรือไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากเสียง “หึ่งหึ่ง”
หร่วนซือซือที่อยู่ข้างๆก็เฝ้าดูอย่าไม่สบายใจ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และเห็นว่าเรือยังไม่ขยับ เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “ถ้าเราติดอยู่ที่นี่จริงๆจะทำยังไง?”
อวี้อี่มั่วหยุดชั่วขณะ แล้วก็บังเอิญหันกลับมาเห็นดวงตาที่สดใสแต่ก็เป็นกังวลของเธอ
เขาพูดช้าๆอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่หรอก”
ตราบใดที่เขาอยู่ที่นั่น เขาจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
หลังจากนั้นเขาก็พยายามอีกหลายครั้ง แต่เรือก็ยังคงเงียบสนิท อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วอย่างแน่ใจ
เครื่องยนต์น่าจะมีปัญหาจริงๆ
เขาหันไปมองรอบๆ พวกเขาบังเอิญอยู่ที่มุมหลังพุ่มไม้ แม้ว่าจะมีเรือผ่านมา แต่ก็ถูกพุ่มไม้สูงบดบังไว้ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตรงนั้น และตรงนั้นก็มองไม่เห็นพวกเขา
นี่เป็นสถานที่ที่ซวยที่สุด แม้ว่าพวกเขาต้องการขอความช่วยเหลือจากเรือที่แล่นผ่านมา แต่ก็มีปัญหาที่พวกเขาจะไม่มองเห็น เว้นแต่เรือจะแล่นไปรอบๆพุ่มไม้
หลังจากสังเกตภูมิประเทศในบริเวณใกล้เคียงอย่างละเอียด และเขาก็เห็นหร่วนซือซือที่นั่งอยู่ที่หัวเรืออย่างไม่ได้ตั้งใจ มือทั้งสองของเธอผสานกันและแก้มของเธอก็แดงระเรื่อ
อวี้อี่มั่วลังเลและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “กะปรี้กะเปร่าหน่อย ถ้ามีเรือผ่านมาทางนี้ เราก็จะได้กลับไป”
หร่วนซือซือพยักหน้าและพยายามยืนขึ้นมองไปรอบๆ แต่ทันทีที่เธอยืนขึ้นเรือก็โยกเยกจนแทบจะยืนไม่อยู่
ทันใดนั้นฝ่ามือที่อบอุ่นและแข็งแรงก็จับที่ไหล่ของเธอ และกดเบาๆให้เธอนั่งลง “เธอนั่งลงให้ดีๆ ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการ”
เมื่อได้ยินที่เขากำชับ หร่วนซือซือก็สงบลงมากและพยักหน้าอย่างจริงจัง
แม้ว่าจะโชคร้ายมากที่ติดอยู่บนเรือในทะเลสาบ แต่ก็โชคดีที่มีเขาอยู่ข้างๆ
เมื่อเวลาผ่านไป หร่วนซือซือก็เหลือบไปมองเวลา ใกล้จะสิ้นสุดเวลาการแข่งขันแล้ว และตอนนี้ทุกคนก็น่าจะกลับขึ้นฝั่งไปแล้ว
อุณหภูมิโดยรอบต่ำลงเรื่อยๆ หร่วนซือซือนั่งอยู่ที่หัวเรือ เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นที่เข้ามาในร่างกาย เริ่มตั้งแต่มือและเท้าจนไปทั่วหนาวทั้งตัว
อวี้อี่มั่วเฝ้ามองที่หางเรืออยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นเรือสักลำ
เขาหันมาเห็นหร่วนซือซือที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงนั้น
“หนาวไหม?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาหันกลับมาแตะที่มือของเธอ มือของเธอมันเย็นยะเยือกราวกับก้อนน้ำแข็ง!
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอตากฝนจนเป็นไข้ จากนั้นก็ตกลงไปในน้ำ และตอนนี้เธอก็นั่งอยู่บนเรือในทะเลสาบนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอยังไม่ได้กินอะไร ตัวของเธอก็ไม่อุ่นเลย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องเป็นหวัดแน่ๆ
และเมื่อเธอไม่สบาย ภูมิคุ้มกันของเธอก็จะลดลง สภาพร่างกายของเธอก็จะไม่สามารถผ่าตัดได้……
อวี้อี่มั่วขวดคิ้วแน่น และถอดเสื้อคลุมให้หร่วนซือซืออย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นว่าเขาสวมแค่เสื้อยืดสีเทาด้านใน หร่วนซือซือก็ส่ายหัว “ไม่ต้อง ฉันไม่หนาว……”
อวี้อี่มั่วสีหน้าเย็นชา เขาเอาเสื้อคลุมใส่ให้เธออย่างไม่พูดไม่จา และรูดซิปปิดอย่างแน่นหนา
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วมองไปที่เขา “คุณเอาเสื้อมาให้ฉัน แล้วคุณจะทำยังไง?”
แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่เรืออยู่ในทะเลสาบที่รอบๆมีแต่ความเย็น ร่างกายของคนปกติก็ไม่สามารถทนได้
อวี้อี่มั่วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เธอสวมไว้ ฉันไม่ต้องการ เข้าใจไหม?”
เมื่อเห็นเขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว หร่วนซือซือก็ทำได้เพียงเก็บคำพูดกลับไป
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ทุกวินาทีดูเหมือนจะยืดยาว ยืดเยื้อ ยากลำบาก และทำให้วิตกกังวล
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยื่นมือไปจับแขนของอวี้อี่มั่วเบาๆ แล้วพูดเบาๆว่า “เราคุยกันหน่อยไหม……”
ไม่อย่างนั้นจะทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
เมื่ออวี้อี่มั่วได้ยินอย่างนั้นก็หยุดชะงัก และนั่งลงข้างๆเธอ “อยากคุยอะไร?”
หร่วนซือซือเอียงหัวแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเบาๆ “ฉันอยากรู้ว่า คุณกลายเป็นประธาน บริษัทคนเดียวได้?”
เมื่อได้ยินที่เธอถาม แววตาของอวี้อี่มั่วก็เศร้าหมอง
ในช่วงเวลานั้นมันเจ็บปวดมากสำหรับเขา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพ่อของเขา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกหนีรัศมีของพ่อของเขา และเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง
เขาฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่การดื่มเหล้าขั้นพื้นฐาน การพูดคุยทางธุรกิจไปจนถึงการวางแผนและการทำสัญญา จนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับโครงการทั้งหมดเป็นอย่างดี และรู้ช่องทางในการทำธุรกิจ เมื่อเขากลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อของเขาก็ป่วย
เขากลายเป็นผู้สืบทอดอวี้กรุ๊ป และได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
เมื่อเห็นเขาไม่ได้พูดอยู่นาน และจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า เธอค่อยๆขยับเข้าไปใกล้เขา และพูดเบาๆว่า “ไม่สะดวกที่จะเล่า?”
อวี้อี่มั่วสายตาเย็นชา และพูดอธิบายคราวๆว่า “ฉันผ่านความเจ็บปวดมามากมายและได้เรียนรู้มากมายเช่นกัน”
น้ำเสียงนั้นดูเรียบง่ายและเบาเสียจนไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความมืดมนในช่วงเวลานั้นได้
หร่วนซือซือรู้สึกหดหู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดที่จริงจังแบบนี้จากปากของเขา แม้ว่าจะมีเพียงประโยคธรรมดา ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะรวมถึงความยากลำบากที่มากจนเกินไป
หร่วนซือซือเท้าคางและพูดพึมพำ “อันจริงฉันก็อยากเป็นคนแบบคุณ”
ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงของเขาก็ดังขึ้นเข้ามาในหูเธอ “คุณไม่จำเป็น”
“ทำไม?”
สีหน้าจริงจังของอวี้อี่มั่วจางหายไป เขาเอนตัวพิงราวบันไดข้างๆอย่างเหนื่อยล้า “มันเหนื่อยเกินไป เธอไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนี้ แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
ไร้เดียงสาแบบนี้ก็ดีแล้ว
หัวข้อนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดใจของทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว พวกเขาได้พูดคุยกันมากมาย
หลังจากนั้นไม่นาน อวี้อี่มั่วก็รู้สึกว่าไหล่ของเขาหนักขึ้น เมื่อหันมาก็เห็นหร่วนซือซือเอาหัวของเธอมาพิงไหล่ของเขา จากมุมมองของเขาจะเห็นจมูกที่โด่งของเธอพอดี
เธอบ่นพึมพำ “คุณว่าพวกเขาจะรู้ไหมว่าเรายังไม่ได้กลับไป?”
อวี้อี่มั่วพูดเบาๆ “รู้”
ตอนนี้พวกเขาถูกตัดขาดทุกช่องทาง โทรศัพท์ก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ และไม้พายเพียงอันเดียวก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเรือได้ พวกเขามีหนทางสุดท้ายทางเดียวนั่นคือการรอ
เมื่อเพื่อนร่วมงานพบว่าพวกเขายังไม่กลับมาก็ขับเรือออกตามหาพวกเขา
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆสงบลงและไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน เมื่ออวี้อี่มั่วหันกลับไป เขาก็ไม่รู้ว่าหร่วนซือซือหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอนอนหลับไปอย่างนี้ จะไม่สบายเอาง่ายๆ!
เขาบีบหัวคิ้วและพูดทันทีว่า “หร่วนซือซือ หลับไม่ได้นะ”