ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ยื่นเข้ามา พยุงตัวเธอไว้ ให้เธอยืนมั่นคงขึ้น
หร่วนซือซือได้สติขึ้น ยังไม่ทันได้เงยหน้า ก็รีบพูดขึ้นอย่างนิสัยเคยชิน : “ขอบคุณค่ะ……”
ในขณะที่พูด เธอก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองหน้าของคนที่พยุงเธอ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
เมื่อเห็นว่าเป็นอวี้อี่มั่ว สีหน้าเธอก็บึงลงทันที รีบยืนขึ้นด้วยตัวเอง เธอถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นท่าทีของเธอแล้ว อวี้อี่มั่วที่สีหน้าเรียบเฉยก็หนักอึ้งขึ้น ขมวดคิ้วและดึงมือกลับ
เขาที่ยังเห็นเธอยังยืนไม่มั่นคง อุตส่าห์มีน้ำใจช่วยพยุง นึกไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้
ในใจจึงรู้สึกแย่ขึ้นมา พูดคุยอย่างเย็นชามาหลายวันแล้ว เขาเม้นริมฝีปากบางเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “พักผ่อนไม่พอก็ไม่ต้องมาทำงาน เดี๋ยวคนอื่นจะนึกว่าที่นี่ใช้งานพนักงานหนักเกินไป”
หร่วนซือซือฟังแล้ว ตอนแรกเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจและพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้เธอกัดฟันแน่น ถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว : “ท่านประธานอวี้วางใจได้ ฉันรู้ร่างกายของฉันดีที่สุด ไม่ต้องกังวลไปค่ะ”
พูดจบ เธอก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ลังเล
อาจเป็นเพราะเธอขยับตัวเร็วเกินไป แค่หมุนตัว ก็หัวเริ่มหนัก รู้สึกหัวหมุน และเกือบล้มลงอีกรอบ
เกิดอะไรขึ้น?
หร่วนซือซือรู้สึกไม่ชอบมาพากล เวียนหัวจนภาพทุกอย่างเบลอไปหมด เธอรีบพิงกับผนังห้อง และหายใจเข้าลึกๆ ทำอยู่แบบนั้นสักพัก จึงรู้สึกว่าดีขึ้นมาหน่อย
อวี้อี่มั่วที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ สีหน้าเข้มขึ้น เขาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล เดินไปยืนข้างหน้าของเธอ พูดขึ้นว่า : “เธอเป็นอะไรไป?”
เธอเองเกือบล้มลงไปอีกครั้ง ดูแล้วไม่ใช่การเสแสร้ง
หร่วนซือซือได้ยินแล้ว หายใจเข้าลึก กัดฟันแน่นแล้วพูดขึ้นว่า : “ฉันไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ต้องใส่ใจ”
เมื่อได้ยินเสียงที่หนักแน่นของเธอ อวี้อี่มั่วก็ขมวดคิ้วเข้ม เวลาแบบนี้แล้ว ก็ยังดื้อรั้นไม่ยอมให้เขายื่นมือเข้ามาช่วย
แต่สีหน้าขาวซีดที่ไม่ได้เสแสร้งนั้น อวี้อี่มั่วไม่ได้สนใจต่อ ยื่นมือมาจับแขนเธอแล้วดึงเธอไป : “ไปกับผม”
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า เมื่อได้สติ ก็รีบดึงแขนตัวเองกลับทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะเวียนหัว แต่เธอไม่ได้โง่ ที่นี่คือบริษัท และนี่เป็นเวลางาน เพื่อนร่วมงานไปๆมาๆไม่น้อย ถ้ามีใครเห็นว่าท่านประทานดึงๆฉุดๆแขนกันไปมากับเธอในที่นี่ ไม่รู้ว่าจะเอาไปนินทาถึงไหนต่อไหน
“ท่านประทานอวี้ เรื่องของฉันคุณไม่ต้องมาสนใจค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับหมุนตัวจะไป นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะโดนล็อคแขนแน่นกว่าเก่า ลากเธอเข้าห้องพักผ่อนถัดไป
หร่วนซือซือตกใจ ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็เห็นอวี้อี่มั่วที่กำลังล็อคประตูลง
ใจเธอรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในออฟฟิตรอบก่อน ก็ตัวนิ่งเย็นไม่ขยับ
เขาคงไม่ทำอะไรแบบนั้น……กับเธอในที่แบบนี้หรอกมั้ง?
อวี้อี่มั่วหมุนตัว หันมาเจอเข้ากับหน้าที่เสียอาการของเธอ เห็นท่าทางกระวนกระวายแล้ว รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว พูดก้วยน้ำเสียงเย็นชา : “เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรงั้นเหรอ?”
“คุณ……อย่าเข้ามานะ!”
หร่วนซือซือถอยหลังไปเรื่อยๆ
อวี้อี่มั่วหัวเราะเบาๆในลำคอ ยิ้มขึ้นที่มุมปาก สาวเท้าก้าวยาวตรงมาหาเธอ
หร่วนซือซือถอยจนไปเจอกับหน้าต่างสุดห้อง เธอถอยจนไม่มีที่จะถอยแล้ว ไม่มีทางให้ถอยเลย
เธอกุมอกเธออย่างไม่รู้ตัว ฮึดสู้อีกครั้ง : “นี่มันกลางวันแสกๆนะ……คุณ……”
ยังไม่ทันพูดจบ อวี้อี่มั่วเองก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยื่นแขนที่ยาวของเขา วางมือลงบนผนังข้างๆศีรษะเธอ ก้มหน้าลงมามองเธอ : “แค่เพียงผมต้องการ จะกลางวันกลางคืนก็ได้หมด”
คำพูดนี้ มีผลกับเธอมาก หร่วนซือซือมองเขาที่ยื่นมืออีกข้างที่ว่างมา เธอกลัวตัวหด หลับตาสนิท
ทันใดนั้นเอง หน้าผากก็สัมผัสถึงความเย็น เขาใช้หลังมือแนบหน้าผากของเธอ
หร่วนซือซือลืมตาขึ้น มองเห็นอวี้อี่มั่วที่สีหน้าจริงจังไม่แกล้งเธอเหมือนเมื่อสักครู่ และไม่ได้จะทำอะไรอย่างว่ากับเธอ
อยู่ๆเขาก็ชะงัก สีหน้าเย็นชาจัด เขาดูเหมือนสีหน้าหนัดหน่วงขึ้น จ้องตรงมายังเธอ : “หร่วนซือซือ เธอเป็นไข้ เธอไม่รู้ตัวเหรอ?”
หร่วนซือซือหยุดนิ่ง หน้าบึ้งและไม่พูดอะไรออกมา
เธอรู้เพียงแต่ว่าตั้งแต่คุยงานกับหลี่หยวน ก็รู้สึกมึนหัวเป็นพักๆ หลังจากนั้นตอนเธอก็ไปเข้าห้องน้ำ ตาก็เริ่มพร่ามัว ปวดและเวียนหัวมาก
อาการเหล่านี้……ดูเหมือนจะเป็นไข้จริงๆด้วย
เห็นเธอที่ตัวลีบหดไม่พูดอะไร เหมือนนกกระทาตัวน้อย อวี้อี่มั่วก็ทำตัวไม่ถูก ทั้งโกรธทั้งขำ สุดท้าย เขาถอยหลังไปนิดหนึ่ง มองเธอด้วยสายตาเย็นชา : “โง่”
ตัวเองเป็นไข้แล้วยังไม่รู้ตัว เธอนี่เป็นยอดอัจฉริยะจริงๆ
หร่วนซือซือที่อยู่ๆก็โดนด่าขึ้นมาดื้อๆ เธอชะงักไปชั่วครู่ แล้วมองไปที่เขา อยากตอบโต้เอาคืน แต่เมื่อมองไปรอบๆแล้ว กลัวว่าจะไปโดนต่อมโกรธเขาเข้าอีก เลยปิดปากเงียบแล้วกลืนคำพูดลงคอไป
ถ้าไปยั่วเขาโกรธตอนนี้เข้า แล้วยังอยู่ในห้องแบบนี้ ก็คงได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบให้เขาแน่นอน
อวี้อี่มั่วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดอะไรไปนิดหน่อย พูดขึ้นเสียงเรียบ : “ฉันให้เธอลาหยุด กลับบ้านไปกินยา ฉันเรียกตู้เยี่ยส่งเธอกลับบ้าน”
สภาพร่างกายของเธอตอนนี้ คงจะทำงานต่อไม่ไหว
แต่จู่ๆสีหน้าเธอก็เปลี่ยน รีบปฏิเสธทันที : “ไม่ได้ ฉันต้องทำงานต่อค่ะ!”
เวลานี้หลี่หยวนยังรอเธอกลับไปหารือเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนงาน และตอนนี้เธอยังมีงานอื่นๆที่ยังต้องทำอีก ถ้ากลับบ้านไปพักผ่อนตอนนี้ จะทำให้งานอื่นๆล่าช้าไปอีก
อวี้อี่มั่วไม่นึกว่าเธอจะปฏิเสธ เขาหมุนตัว สีหน้าเข้มขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ฉันให้เธอหยุด”
ให้เธอหยุดไม่เท่ากับหักเงินเดือนเธอเหรอ โอกาสแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นคงจะพากันแย่ง แต่เธอกลับปฏิเสธเฉย
หร่วนซือซือกัดริมฝีปากตัวเอง และดันทุรังต่อ : “ฉันไม่เป็นไรค่ะ กินยาสักเม็ดสองเม็ดก็ดีขึ้น ขอบคุณที่ท่านประธานอวี้เป็นห่วงค่ะ”
พูดแล้ว เธอก็เดินไปยังประตูทางออก
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วขึ้น สายตาเย็นชาจ้องไปยังเธอ แล้วเดินไปด้านหน้าของเธอ ยืนขวางประตูทางออกไว้
“หร่วนซือซือ เธอตั้งใจใช่ไหม?”
เธอกำลังต่อต้านเขา? เธอตั้งใจทำให้เขารู้สึกแย่?
หร่วนซือซือมองเขาที่อยู่ตรงหน้า ภาพของเหตุการณ์รอบที่แล้วก็ลอยเข้ามาในหัว เธอสูดลมหายใจลึก กัดฟันแน่น : “ท่านประธานคะ ขอความกรุณาอย่ามายุ่งเรื่องของฉันเถอะค่ะ”
เธอตัดสินใจที่จะขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างเขาและเธอ ครั้งที่แล้วยังพูดอยู่หยกๆว่าไม่สนิทกับเธอ แล้ววันนี้ทำไมถึงยุ่งเรื่องของเธอจัง?
เมื่อเธอพูดออกไปแล้ว อวี้อี่มั่วเม้นปากบางๆของเขา ใบหน้าปราศจากความอบอุ่นใดๆ
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า เห็นเขาไม่พูดอะไร และไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น เธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้น จ้องตาเขาจังๆ แล้วพูดต่อ : “ฉันเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งของบริษัท และเชื่อว่าท่านประธานไม่ได้ใส่ใจแบบนี้กับพนักงานทุกคนใช่รึเปล่าคะ?”
“ความเกี่ยวข้องของเราเป็นเพียงแค่เจ้านายกับพนักงานเท่านั้นค่ะ และหวังว่าต่อไปท่านประธานจะไม่มายุ่งเรื่องของฉันอีก”
พูดจบ หร่วนซือซือก็ลดสายตาลง โค้งตัว แล้วเดินออกไปยังประตูทางออก
ได้ยินเสียงประตูเปิดออก แล้วตามด้วยเสียงปิดประตู อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น ไม่พูดอะไร
นึกไม่ถึงเลย ว่าเธอจะไม่แยกแยะถูกหรือผิด
ภายในใจเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา อวี้อี่มั่วยกมือขึ้นมาขยับเนคไทให้หล่วมลง สีหน้าหนักอึ้ง
ดูแล้ว เขาคงยุ่มย่ามเยอะเกินไปมั้ง?
ก็ดี ต่อไปนี้ก็เป็นไปตามที่เธอต้องการแล้วกัน นับตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตาย เขาจะไม่สนใจอะไรอีก!