ดั่งรักบันดาล 154

ตอนที่ 154

ซ่งอวิ้นอันเข้าใจในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ฟังแล้วเงียบ

ซ่งฉีได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจ เธอกัดฟันแล้วพูด “ซ่งอวิ้นอันเธออย่าได้ใจให้มันมาก!เธอก็ด้วยหร่วนซือซือ เรื่องวันนี้ไม่มีทางจบแค่นี้แน่!”

พูดจบ เธอก็หันหน้าไปหาบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ สั่งการเสียงเย็นชา “อาจง โทรเรียกคนมา!”

วันนี้เธอจะตั้งตาดู ว่าหร่วนซือซือกับซ่งอวิ้นอันผู้หญิงสองคนนี้จะมีความสามารถมากแค่ไหนกัน!

พอได้ยินซ่งฉีจะโทรเรียกคนมา หร่วนซือซือก็ร้อนรนขึ้นมา เดิมทีเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะพาอวี้อี่มั่วกับตู่เยี่ยเข้ามาเกี่ยวพันด้วย และซ่งฉีคงไม่ถอยให้อย่างแน่นอน ถ้าเป็นแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่อ่อนข้อให้กัน เกรงว่าเรื่องมันจะใหญ่ไปมากกว่านี้

หร่วนซือซือไม่มั่นใจกับแผนของอวี้อี่มั่ว เธอร้อนรนเล็กน้อย ยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อของเขา

อวี้อี่มั่วก้มตามอง เห็นว่าในสายตาเธอนั้นเผยให้เห็นความกังวล เขาเลยปลอบโยนด้วยเสียงเรียบๆ “ไม่เป็นไร”

มีเขาอยู่ ไม่มีทางทำให้เธอเกิดเรื่องแน่นอน

ไม่รู้ว่าทำไม มองสายตาลุ่มลึกของชายผู้นี้ ในใจหร่วนซือซือจู่ๆก็สงบลงไปเยอะ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปลี่ยนไปจับมือของซ่งอวิ้นอันที่อยู่ข้างๆเบาๆ

เวลานี้ อวี้อี่มั่วเดินไปข้างหน้า จ้องซ่งฉีด้วยสายตาโหด แล้วพูดเสียงขรึม “ถ้าคุณซ่งอยากจะต่อ ผมเต็มใจอยู่เป็นเพื่อน”

ต่อให้เธอเรียกบอดี้การ์ดมาอีกสี่ห้าคน รวมกันแล้วเกรงว่าคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขากับตู้เยี่ย

ซ่งฉีชำเลืองมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่มองไปทางบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ แล้วเร่งด้วยความหงุดหงิด “รีบโทร!เรียกมาให้หมดเลย!”

บอดี้การ์ดอาจงกำโทรศัพท์ไว้ ลังเลเล็กน้อย “คุณหนูครับ จะให้โทรจริงๆเหรอครับ?”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าอวี้อี่มั่วเป็นใคร แต่ดูจากท่าทางนี้แล้ว ก็รู้แล้วว่าภูมิหลังเขาไม่ธรรมดา ถ้าเป็นเพราะนิสัยของคุณหนูที่ทำให้เรื่องมันใหญ่จริงๆ เกรงว่าเขาคงต้องชี้แจงให้คุณผู้ชายซ่งรับรู้อย่างช่วยไม่ได้

คืนเดียวเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ซ่งฉีกำลังโมโหโดยที่ไม่มีสติเลยสักนิด เธอเดินเข้ามาด้วยความโกรธ แย่งมือถือในมือของอาจงไป “นายไม่โทร ฉันโทรเอง!”

ทันใดนั้น เวลานี้ก็มีเสียงผู้ชายข้างๆดังมา “เดี๋ยวก่อน!”

เสียงนี้ดังขึ้นมา ทันใดนั้นสายตาทุกคนก็หันไปมองตามเสียง หร่วนซือซือก็มองไปตามเสียงเช่นกัน ตอนที่เห็นว่าใครมานั้น ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ

ทำไมถึงเป็นเขา

มองผู้ชายที่ยิ้มเล็กน้อยนั่งอยู่บนรถเข็น แล้วหร่วนซือซือก็เบนสายตากลับมา มองไปที่อวี้อี่มั่วข้างๆเธอ

เป็นอย่างที่คิด สีหน้าของเขาอึมครึมขึ้นไม่น้อย สายตาที่แหลมคมจ้องไปยังคนที่มา น้องชายของเขา อวี้กู้เป่ย

เห็นว่าอวี้กู้เป่ยนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีเช่าจัวเข็นเข้ามา ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่มีพิษไม่มีภัย สายตากำลังมองมาที่ซ่งฉี

เหมือนว่าซ่งฉีจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าสำรวมขึ้น “พี่กู้เป่ย ทำไมพี่ถึงอยู่ที่นี่?”

“มาตามคำเชิญเพื่อนน่ะ มาคุยธุระข้างบนนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกเธอที่นี่”

เขาพูด แล้วหันไปมองอวี้อี่มั่วกับหร่วนซือซือ ยิ้มเบาๆแล้วทักทายเขา “พี่ใหญ่”

สายตาแวบหนึ่งของอวี้อี่มั่วเผยให้เห็นความรำคาญ จ้องอวี้กู้เป่ยด้วยสายตาเย็นชา และไม่ได้ตอบอะไรกลับ

อวี้กู้เป่ยเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาตอบโต้ของเขา เขายิ้มให้หร่วนซือซือ แล้วรีบหันไปมองทางซ่งฉี

ซ่งฉีได้ยินคำเรียกที่อวี้กู้เป่ยใช้กับอวี้อี่มั่ว ทันใดนั้นก็ตกใจเบิกตาโพล่ง เอ่ยปากถามออกมา “เขา…คืออวี้อี่มั่ว?”

อวี้กู้เป่ยพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดแนะนำเสียงเบา “เสี่ยวฉี นี่คือพี่ใหญ่ของพี่เอง ข้างๆคือเพื่อนพี่ วันนี้เห็นแก่หน้าพี่แล้วกันนะ เรื่องนี้ให้จบแค่นี้ เธอว่าดีไหม?”

เขายิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ คำพูดก็มีน้ำหนัก ทุกอย่างมันพอดีกันหมด ทำให้ผู้คนรู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธ

เป็นอย่างที่คิด พอซ่งฉีได้ยิน ก็กวาดสายตาไปมองทางหร่วนซือซืออย่างเย็นชา ลังเลอยู่สักพัก ถึงถอนหายใจแล้วตอบตกลง “ก็ได้ ในเมื่อพี่กู้เป่ยพูดมาแล้ว งั้นฉันจะจบเรื่องนี้แล้วกัน!”

ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ในใจหร่วนซือซือก็แปลกใจ อดไม่ได้ที่จะมองไปทางอวี้กู้เป่ย

ดูแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองไม่ธรรมดาจริงๆ

เวลานี้ อวี้อี่มั่วหันหน้าไป เสียงเย็นชาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน กวาดสายตามองตู้เยี่ย แล้วสั่งการ “พวกเราไปกันเถอะ”

หร่วนซือซือนิ่งอึ้งไป ไม่ว่าจะพูดยังไง เรื่องนี้ก็มีอวี้กู้เป่ยออกหน้าจัดการให้ อวี้อี่มั่วจะไปทั้งแบบนี้เหรอ มันดูไม่ค่อยมีมารยาทไปหรือเปล่า?

ช่วงที่ลังเลนั้น เธอเงยหน้าขึ้น ตอนที่มองไปที่เคอเจ๋อหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอถึงจะนึกขึ้นได้ เขาอยู่ข้างๆมาตลอด!

เมื่อครู่เคอเจ๋อหลินถูกบอดี้การ์ดซ้อมจนหน้าบวมก็เพื่อปกป้องเธอ จนเกือบจะหมดสติไป คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ไปไหน

เคอเจ๋อหลินมองเธอเหมือนอยากจะพูดด้วย อยากจะเข้าใกล้เธอแต่ก็ยังลังเลอยู่ หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบเรียกอวี้อี่มั่วไว้ “รอ…รอเดี๋ยว ฉันยังมีเรื่องอีกนิดหน่อย”

เท้าของอวี้อี่มั่วหยุดลง หันหน้ากลับมามองเธอ แล้วถามเสียงขรึม “เรื่องอะไร?”

หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับ แต่มองไปทางซ่งอวิ้นอัน แล้วพูดเสียงเบา “เมื่อกี้เคอเจ๋อหลินถูกซ้อม พวกเราควรหาใครสักคนพาเขาไปโรงพยาบาลนะ”

หลังจากที่เธอพูดแบบนี้ ซ่งอวิ้นอันก็รับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของเคอเจ๋อหลินขึ้นมาทันที

“ใช่ๆๆ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เป็นฮีโร่ที่ช่วยพวกเรา น่ายกย่องจริงๆ!”

ซ่งอวิ้นอันพูด แล้วหันหน้าไปมองตู้เยี่ยที่อยู่ด้านหลัง พูดด้วยเสียงที่จริงจังอย่างสุดความสามารถ “รออยู่นี่นะ”

หลังจากสั่งการไป เธอก็ลากหร่วนซือซือ เดินไปทางเคอเจ๋อหลินอย่างรวดเร็ว

เคอเจ๋อหลินมองเห็นหร่วนซือซือ ก็บังคับตัวเองที่ถูกซ้อมจนหน้าบวมดึงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ซือซือ คุณโอเคไหม?”

หร่วนซือซือตอบด้วยท่าทางจริงจัง “ฉันไม่เป็นไร แต่นายต้องรีบไปโรงพยาบาลตอนนี้”

เมื่อกี้บอดี้การ์ดลงมือหนักไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทนไหวได้

เคอเจ๋อหลินกระตุกมุมปาก รอยยิ้มที่มุมปากเพิ่มความเจ็บปวดเข้ามาด้วย “ซือซือ ขอโทษนะ ที่ผมปกป้องคุณไม่ได้”

เขายังคงซื่อตรงกับหร่วนซือซือ แต่เมื่อกี้เห็นว่าอวี้อี่มั่วปรากฏตัวขึ้นมาปกป้องเธอ เขาถึงรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของตัวเองกับคนอื่น

หร่วนซือซือยิ้มให้เขา แล้วพูดปลอบใจ “นายทำได้ดีมากแล้ว ขอบคุณนะ”

เวลานี้ ซ่งอวิ้นอันคว้าผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่ไปออกมาจากกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น ให้เขาไปส่งเคอเจ๋อหลินที่โรงพยาบาล

มาถึงตรงนี้แล้ว เคอเจ๋อหลินก็ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วมองหร่วนซือซือด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะไปก็ยัดนามบัตรของตัวเองให้เธอ แล้วเดินออกไป

หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย ในใจหร่วนซือซือก็ผ่อนคลายลง พอหมุนร่าง ก็ปะทะกับสายตาดุดันของเขา บนใบหน้าของเขามีความหงุดหงิดปรากฏอยู่ เห็นว่าเธอหันกลับมา ก็เบนสายตาออกโดยไม่ได้พูดอะไร

ในใจหร่วนซือซือรู้สึกแปลกใจ ใครไปยั่วโมโหอะไรเขาอีก?

ขณะที่พวกเขากำลังจะไป อวี้กู้เป่ยขับรถเข็นเข้ามาใกล้ แล้วตะโกนเรียก “ซือซือ”

หร่วนซือซือหันหน้ากลับไป เห็นว่าเขากำลังยิ้มมาให้เธอด้วยความอ่อนโยนอย่างมีมารยาท

ไม่ได้เจอเขามาสักระยะแล้ว ครั้งนี้เจอกัน เธอสามารถรับรู้ได้ถึงสภาพจิตใจของเขาที่ดีขึ้นเยอะอย่างเห็นได้ชัด

อวี้กู้เป่ยอยากจะพูดอะไรกับเธอหน่อย แต่พอเห็นว่าอวี้อี่มั่วเดินเข้ามา คำพูดก็ได้แต่อยู่ในปาก แล้วกลืนกลับลงไปใหม่ หันไปพูดกับเขาแทน “พี่ใหญ่……”

สายตาเย็นชาของอวี้อี่มั่วมองผ่านไป กรามที่แข็งแรงของเขากัดเป็นสันเล็กน้อย ริมฝีปากที่บางเม้มเป็นเส้นตรง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่ใหญ่”

คำตอบตรงๆที่ไม่เหลือเยื่อใยของเขาเหมือนกับว่าได้แทงใจดำอวี้กู้เป่ย ทำให้บนใบหน้าของเขาเผยให้เห็นเศร้าโศก “พี่ยังคงไม่ให้อภัยผมงั้นเหรอ?”

Options

not work with dark mode
Reset