จิ่งหมิงฮ่องเต้ขังตัวเองอยู่ในตำหนักหย่างซิน ไม่ออกว่าราชการ ไม่พบหน้าฮองเฮา ไม่พบหน้าไท่จื่อ แต่กลับเรียกพระชายาไท่จื่อมาเข้าเฝ้า
ในตำหนักที่มีแสงสลัว เจียงซื่อคุกเข่าถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองมาที่เจียงซื่อแวบหนึ่งก่อนจะหันไปกล่าวแก่พานไห่ “พวกเจ้าออกไป”
พานไห่อึกอักลังเล
ทำเช่นนั้นคงไม่เหมาะกระมัง
“หืม?”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว พานไห่จึงเดินนำขบวนออกไป
ฝ่าบาทปรารถนาจะทำสิ่งใดก็ทำ ไม่มีคำว่าไม่เหมาะ!
ในตำหนักเหลือแค่เจียงซื่อและจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศมองไปที่หญิงสาว
เจียงซื่อเริ่มเอ่ยก่อน “เสด็จพ่อมีสิ่งใดจะรับสั่งลูกหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปพักหนึ่ง เสียงที่เปล่งดังก้องในตำหนักว่างเปล่าฟังดูแก่กว่าเดิมมากโข “สะใภ้เจ็ด ข้ามีคำถามหนึ่งอยากจะถามเจ้า”
“เชิญเสด็จพ่อตรัสเถิดเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามแช่มช้า “เจ้าคือพระชายาไท่จื่อแห่งต้าโจว หรือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอูเหมียว”
เจียงซื่อสั่นสะท้านไปทั้งทรวง ทว่าเสียงตอบไร้ซึ่งความลังเลใจ “ลูกเป็นชายาไท่จื่อแห่งต้าโจว และเป็นภรรยาของอาจิ่นเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องตรงไปที่นาง ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความแกล้วกล้า
เขาผุดยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“ลูกทูลลาเพคะ” เจียงซื่อย่อเข่าเล็กน้อยแล้วถอยออกไป
เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา อวี้จิ่นถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงกลับมาไวนัก เสด็จพ่อเรียกเจ้าไปทำไมรึ”
เจียงซื่อสั่งให้นางในที่เหลือออกไป และกล่าวเอ่ยแผ่วเบา “เสด็จพ่อตรัสถามข้าว่า ข้าเป็นชายาไท่จื่อหรือว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียว”
อวี้จิ่นผงะไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เสด็จพ่อทรงสงสัยอย่างนั้นรึ”
เจียงซื่อถอนใจ “เสด็จพ่อคงรู้สึกสับสนมากกว่า”
จักรพรรดิที่ครอบครองบัลลังก์มาอย่างยาวนานหลายสิบปีจะสับสนกับเรื่องเช่นนี้ได้จริงหรือ
“แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
เจียงซื่อผุดยิ้ม “ข้าต้องบอกด้วยหรือ ข้าก็ต้องเป็นชายาของเจ้าอย่างไรล่ะ”
ดวงตาของอวี้จิ่นเป็นประกาย เขาดึงพระชายามาไว้ในอ้อมกอด
……
หลังจากเรียกเจียงซื่อมาเข้าเฝ้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เรียกหันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินมาเข้าเฝ้าต่อ
ในบรรดาขุนนางทั้งหมด ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่ฝ่าบาทเศร้าหมองในช่วงหลายวันนี้อย่างหันหราน ฉะนั้นเมื่อถูกเรียกไปเข้าเฝ้า จึงไม่แปลกที่เข้าจะรู้สึกตื่นกลัว
จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไร ในเมื่อเขารู้มากเกินไป!
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปรายตามองลงมาที่ขุนนางใกล้ชิดที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกว้าวุ่นเหลือประมาณ
เขาเคยคิดอยากจะฆ่าปิดปากเจ้าคนผู้นี้หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำจริงสักครั้ง
เขาคือโอรสสวรรค์ เป็นประมุขสูงสุดของแผ่นดินต้าโจว การที่มีคนล่วงรู้เรื่องน่าอัปยศอดสูทำให้เขารู้สึกละอาย แต่หากความลับไม่อาจแบ่งปัน จะทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวเพียงใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าหันหรานมีอาการตื่นกลัว จึงเอ่ยขึ้นว่า “หันหราน ข้ามีธุระอยากไหว้วานเจ้าหน่อย”
“เชิญฝ่าบาทรับสั่งได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อูเหมียวและเสวี่ยเหมียวมีจุดกำเนิดเดียวกัน สู้รบยืดยุดกันมายาวนาน แต่บัดนี้เสวี่ยเหมียวกำลังปราชัย ข้าต้องการให้เจ้าจัดกำลังคนแทรกแซงเข้าไปที่หนานเจียง และคอยให้ความช่วยเหลือเสวี่ยเหมียวอย่างลับๆ”
หันหรานรู้สึกประหลาดใจ “ให้ช่วยเหลือเสวี่ยเหมียวอย่างลับๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคิดว่าฮ่องเต้จะจัดการกับเสวี่ยเหมียวอย่างเด็ดขาดเสียอีก ไม่คิดว่าจะทรงรับสั่งเช่นนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “จะดูละครให้สนุก สองฝั่งควรมีฝีมือสูสีถึงจะดี ไปเถอะ”
เขามิได้เชื่อคำกล่าวของผู้อาวุโสฮวาทั้งหมดที่นางกล่าวมา
ถึงจะแน่ใจได้ว่าไทเฮาเป็นหมากของชนเผ่าอื่น แต่ยากที่จะบอกว่าเป็นหมากที่อูเหมียวส่งมา หรือเป็นหมากที่เสวี่ยเหมียวส่งมา
ในเมื่อตอนนี้ยังสรุปไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่ควรกำจัดเสวี่ยเหมียวให้สิ้นซาก
การนั่งดูชนสองเผ่าที่มีต้นกำเนิดเดียวกันสู้รบกันเป็นประโยชน์กับอาณาจักรต้าโจวมากที่สุด
สุดท้าย จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกให้เหล่าขุนนางใหญ่มาเข้าเฝ้า ประตูห้องทรงพระอักษรถูกงับปิดสนิทอยู่นานกว่าจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
สองวันถัดจากนั้น ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เสด็จว่าราชการ
เหล่าขุนนางทั้งบู้และบู๋นดวงตาแดงก่ำด้วยความซาบซึ้ง ภาพของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรให้ความรู้สึกเหมือนเห็นคนรักที่พลัดพรากจากไปนาน
ไม่ทราบว่ามีขุนนางมากมายเท่าใดที่แอบลงความเห็นในใจว่า เมื่อก่อนพวกเขาช่างละโมบโลภมาก การมีองค์จักรพรรดิเช่นนี้ดีหนักหนา ต่อไปนี้พวกเขาจะไม่หาเรื่องมางัดง้างกับฝ่าบาทอีกแล้ว…เอ่อะ คิดเช่นนั้นอาจดูเกินความจริงไปเสียหน่อย เอาเป็นว่าในครึ่งปีถัดจากนี้ พวกเขาจะปล่อยให้ฝ่าบาทได้มีชีวิตสุขสงบก็แล้วกัน ฝ่าบาทจะได้ไม่หนีราชการเช้าอีก
“ประกาศราชโองกาได้”
พานไห่คลี่ม้วนแกนหยกพลางกล่าวเสียงดังฟังชัด “องค์จักรพรรดิผู้ทรงปกครองแผ่นดิน ผู้ทรงดำเนินในทำนองคลองธรรมของสวรรค์อย่างเคร่งครัด…ทรงมีราชโองการให้องค์รัชทายาทเสด็จเถลิงราชย์เป็นองค์จักรพรรดินับแต่นี้สืบไป…”
ทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล
นี่คือราชโองการสละราชสมบัติ!
“ฝ่าบาท…”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาการตื่นตระหนกของเหล่าขุนนาง จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับสงบนิ่ง “หมู่นี้สุขภาพของข้ามิค่อยจะสู้ดี ถึงเวลาที่ต้องพักแล้ว พวกท่านมิจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีกแล้ว”
บรรดาขุนนางชำเลืองมองไปที่เสนาบดีกู้และคนอื่นๆ
เสนาบดีกู้และพรรคพวกอยู่ในอาการสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ทราบเรื่องนี้ก่อนแล้ว
ขุนนางคนอื่นๆ ได้แต่ยืนงงงัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบนสายตาไปทางเสนาบดีกรมพิธีการ “เตรียมพิธีราชาภิเษกให้เรียบร้อย”
หลังจากพิธีราชาภิเษก จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ นับตั้งแต่นั้น ต้าโจวจะต้อนรับเจ้านายคนใหม่
หลังจากอวี้จิ่นขึ้นครองบัลลังก์ ตามธรรมเนียมจะมีการแต่งตั้งข้าราชการนับร้อยคน และมีการนิรโทษกรรมครั้งยิ่งใหญ่ บรรยากาศในเมืองหลวงครึกครื้นอบอุ่นประหนึ่งกลางคิมหันตฤดู
ส่วนเจียงซื่อที่ขึ้นเป็นฮองเฮาพบปะเจอหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสได้ง่ายกว่าเดิม เตรียมการเพียงเล็กน้อยก็สามารถพบหัวหน้าผู้อาวุโสที่ปลอมตัวในตำหนักบรรทมของตนได้
ภายในห้อง เจียงซื่อรินชาให้หัวหน้าผู้อาวุโสด้วยตนเอง “หัวหน้าผู้อาวุโสจะกลับแล้วรึ”
หัวหน้าผู้อาวุโสรับถ้วยชาไปถือ ทว่ายังมิได้ยกขึ้นดื่ม แววตาจ้องลึกไปที่หญิงสาว “ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
เจียงซื่อยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ขอให้หัวหน้าผู้อาวุโสเดินทางปลอดภัย จะได้กลับไปดูแลอูเหมียวโดยเร็ว”
“ขอบใจมาก…” หัวหน้าผู้อาวุโสลังเลชั่วอึดใจกว่าจะกล่าว “ขอบใจมากสตรีศักดิ์สิทธิ์”
เจียงซื่อมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำเรียกนั้น นางเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงถามขึ้นว่า “ถึงบัดนี้แล้ว ท่านจะไม่ยอมบอกคำทำนายอีกสองเรื่องกับข้าจริงๆ หรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสผุดยิ้ม “ถึงยามนี้ คำทำนายอีกสองอย่างยังสำคัญต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือ”
เจียงซื่อกะพริบตา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนสุภาพของสตรีวัยเยาว์ “สำคัญสิ ข้าเป็นพวกขี้สงสัย หากไม่รู้คำตอบก็จะค้างคาพักผ่อนได้ไม่เต็มที หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ฮองเฮาแห่งต้าโจวก็คงจะไร้เรี่ยวแรงและกำลังใจ ฉะนั้นเรื่องอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
รอยยิ้มของหัวหน้าผู้อาวุโสแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก
เมื่อครู่บทสนทนายังปรานีปราศรัยอยู่เลย เหตุใดในชั่วพริบตาถึงได้เปลี่ยนไปเร็วนัก
สตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังขู่นางตาใส นางอายุจนปูนนี้แล้ว เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึ
แต่ตอนนี้ ความลับบางอย่างก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว
ในที่สุดหัวหน้าผู้อาวุโสก็ยอมเปิดปาก “ในตอนที่อดีตหัวหน้าผู้อาวุโสทำนาย พลังของนางร่อยหรอเต็มที ความหมายของคำทำนายจึงฟังดูคลุมเครือ รู้เพียงว่า ความรุ่งเรืองของอูเหมียวเกี่ยวข้องกับการที่ต้าโจวไร้ทายาทสืบบัลลังก์”
เจียงซื่อตะลึงงัน “แค่เพราะคำทำนายอันคลุมเครือนี้เป็นเหตุให้ไทเฮาถูกส่งมาที่ต้าโจวอย่างนั้นหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสมองมาที่เจียงซื่อพลางกล่าว “ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่า เราจึงต้องกันไว้ก่อน แต่เมื่อมาพิจารณาตอนนี้ ดูเหมือนว่าการตีความจะพลาดไป…”
เจียงซื่อ “…”
“คำทำนายที่สองเจ้าเองก็คงทราบมานานแล้วคือ โอรสองค์ที่เจ็ดของมังกรจะนำแสงรุ่งอรุณมาปัดเป่าความมืดมนของอูเหมียว”
เจียงซื่อหลุบตาครุ่นคิดก่อนจะถาม “เช่นนั้นหลังจากที่อาจิ่นเกิด และถูกตราหน้าว่าเป็นภัยแก่องค์จักรพรรดิจึงถูกส่งออกไปอยู่นอกวังหลวงก็เกี่ยวข้องกับคำทำนายนี้?”
หัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้า “ไทเฮาได้รับคำสั่งมาเช่นนั้น ทว่านางเองก็มิได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ส่วนคำทำนายที่สามฟังดูพิสดารกว่ามาก…”
“อะไรหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยออกมาสั้นๆ “ยืมเมล็ดพันธุ์”
เจียงซื่อชะงักงันไปชั่วขณะก่อนจะทำหน้ารู้แจ้ง “หากจะบอกเช่นนั้น ท่านยายของข้ามิได้ถูกบัณฑิตต้าโจวล่อลวง แต่เป็น…”
สีหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสออกจะสับสน “จะนับว่านางจำยอมเพราะไม่อาจขัดบัญชาสวรรค์ก็ย่อมได้ ตั้งแต่ที่คำทำนายยืมเมล็ดพันธุ์ถูกเปิดเผย เผ่าของเราได้ส่งสตรีที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมายังต้าโจว เพื่อให้มาเป็นภรรยาของชาวต้าโจว หากคลอดบุตรชายก็ให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป แต่หากคลอดบุตรหญิง ให้พากลับไปที่อูเหมียว…”
เจียงซื่อไม่อาจทนฟังต่อได้อีกแล้ว “หัวหน้าผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องพูดต่อแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของเผ่า นางก็พอจะเข้าใจได้ แต่ใช่ว่านางจะรู้สึกชื่นชม
หัวหน้าผู้อาวุโสเข้าใจความคิดของเจียงซื่อ นางได้แต่กล่าวอย่างถอนใจแต่เพียงในใจ แต่พวกเราก็ทำถูกแล้วมิใช่หรือ
หัวหน้าผู้อาวุโสจากไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกับยามที่นางมาเยือนต้าโจว แต่ขากลับมีคนร่วมทางเพิ่มมาอีกคน
คำทำนายที่สามทำให้อารมณ์ของเจียงซื่อขุ่นมัวอยู่เป็นนาน
อวี้จิ่นที่เสร็จจากว่าราชการเช้ารีบมาปลอบใจ
“อาซื่อ หัวหน้าผู้อาวุโสกลับไปแล้วรึ”
“กลับไปแล้ว”
“ไปแล้วก็ดี ต่อไปนี้ห้ามให้นางมาที่นี่อีก” แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกทั้งยังสร้างความทุกข์ให้อาซื่อ เขาไม่ต้อนรับ!
เจียงซื่ออยู่ในอารมณ์ว้าวุ่น “ข้าควบตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ หากอีกหน่อยเกิดเรื่องที่อูเหมียว ข้าก็ต้องออกโรงอยู่ดี”
อวี้จิ่นทราบความทุกข์ใจของนางเป็นอย่างดี แต่มิวายส่งยิ้มแกมค้าน “ไม่เห็นเป็นไร ปล่อยให้เสด็จพ่ออยู่อย่างสุขสงบอีกสักปีสองปี ข้าค่อยจัดการเสวี่ยเหมียวให้สิ้นซาก อูเหมียวจะได้ไม่มีเรื่องมาทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”
เมื่อกล่าวถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวงดูเหมือนเจียงซื่อจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “จะว่าไป ตั้งแต่เสด็จพ่อเป็นไท่ซั่งหวงก็ทรงพระสรวลบ่อยกว่าก่อนมาก”
ใบหน้าอวี้จิ่นคล้ำหม่น
ตาแก่ฉลาดเป็นกรด มิฉะนั้นจะรีบโยนเผือกร้อนให้เขาทำไม
“ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เสี่ยวเล่อจื่อวิ่งพรวดเข้ามา
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว “มีอะไร”
เสี่ยวเล่อจื่อวิ่งกระหืดกระหอบจนลมหายใจขาดห้วง “ไท่ ไท่ซั่งหวง…”
อวี้จิ่นและเจียงซื่อหันมาสบตากันก่อนจะลุกพรวด “ไท่ซั่งหวงเป็นอะไร”
คนอายุปูนนี้ร่างกายมิสู้คนหนุ่ม หรือว่าอาการจะกำเริบ
เสี่ยวเล่อจื่อหายใจหอบถี่กระชั้น “ไท่ซั่งหวงทรงเห็นว่าท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนทะเลาะกับจี๋เสียงจึงทรงวิ่งเข้าไปห้าม แต่กลับถูกท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนชนล้มพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้จิ่นและเจียงซื่อรีบวิ่งไปที่อุทยานบุปผา เห็นจิ่งหมิงตี้กำลังปราดกิ่งหลิวสีเหลืองทองไปที่เอ้อร์หนิวพลางแผดเสียงจากระยะไกล “เป็นสุนัขตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มยอมให้จี๋เสียงหน่อยไม่ได้เลยรึ หื้ม?”
ต่อให้ไม่ยอมจี๋เสียงก็ควรจะยอมเขาที่เป็นไท่ซั่งหวงบ้างก็ยังดี!
อวี้จิ่นและเจียงซื่อหันมาส่งยิ้มให้กัน ตัดสินใจไม่เข้าไปรบกวนเวลาอบรมสั่งสอนเอ้อร์หนิวของไท่ซั่งหวง แล้วจึงเดินเคียงไหล่ไปตรงบริเวณที่มีบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งพรมปักลายงดงาม
(จบบริบูรณ์)