“ปล่อยเผ่าของข้าไป”
“ไม่ได้!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ปฏิเสธทันควัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลางเอ๋อร์ ฝูชิง สิบสี่ สิบห้า เจ้าเจ็ดและภรรยาที่เกือบถูกลากเข้าไปในวังวนนี้ล้วนเป็นฝีมือของคนเหล่านี้ แล้วจะให้เขาปล่อยไปเฉยๆ ได้อย่างไร
ผู้อาวุโสฮวาจ้องลึกเข้าไปในตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก่อนจะหลับตา
จิ่งหมิงฮ่องเต้เสียงคล้ายจะขาดใจ “ในเมื่อเจ้ารับสารภาพแล้ว ยังกล้าทำตัวดื้อด้านอยู่อีกหรือ”
ผู้อาวุโสฮวาลืมตาขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังต้องกลัวการสูญเสียหรือ หากพระองค์ไม่ตอบรับก็จบกันเพียงเท่านี้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธจนตัวสั่น
หากหมากที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวถึงเป็นคนอื่น ไม่สำคัญเลยว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ต่อให้ต้องฆ่าคนผิด ก็ดีกว่ายอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ
แต่ทว่าคนผู้นั้นคือไทเฮาที่เลี้ยงดู ฟูมฟัก และสนับสนุนให้เขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ!
บุญคุณที่ให้เกิดมายังมิสู้บุญคุณที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ในแง่ของการเป็นมารดา ไทเฮามิเคยขาดตกบกพร่อง อีกทั้งนางยังเป็นผู้ที่ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ครอบครองอำนาจสูงสุด
ในมุมของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาไม่มีทางยอมรับว่าไทเฮาเป็นหมากตัวหนึ่งของชนต่างชาติ หรือต่อให้ยอมรับก็มิใช่เรื่องง่าย
“ได้ ข้าสัญญา” หึ ให้สัญญาก็สัญญา ถึงเวลาค่อยกลับคำก็ได้
ลืมเรื่องวาจาศักดิ์สิทธิ์ไปเถิด อีกฝ่ายกล้าทำถึงขนาดนี้ การที่เขารับปากส่งเดชจะเป็นอะไรไป แบบนี้สิถึงเรียกว่าศึกไม่หน่ายเล่ห์[1]!
ดูเหมือนผู้อาวุโสฮวาจะเชื่อสนิทใจ นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ที่สะโพกด้านซ้ายของไทเฮามีปานสีแดงอ่อน ลักษณะคล้ายกลีบบุปผา…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นแล้วรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ท่าทีเคร่งขรึมกว่าเก่า
เรื่องที่ยืนยันได้ตอนนี้คือ คนร้ายอย่างตั่วหมัวมัวมิใช่นางในที่คอยรับใช้ไทเฮาในตำหนักฉือหนิง หากไทเฮามิได้เกี่ยวข้องกับตั่วหมัวมัวและคนเหล่านี้จริง ตั่วหมัวมัวก็ไม่มีทางทราบความลับของไทเฮา ยิ่งถ้าเป็นผู้อาวุโสฮวายิ่งแล้วใหญ่…
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไประยะหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เอาตัวนางออกไป”
ไม่นานผู้อาวุโสฮวาก็ถูกนำตัวออกไป ภายในตำหนักเหลือเพียงจิ่งหมิงฮ่องเต้ พานไห่ และหันหราน
หน้าผากของหันหรานมีเหงื่อเย็นเยียบไหลซึม ถึงจะอยากเช็ดแต่กลับไม่กล้า ส่วนพานไห่ก็พยายามทำตัวล่องหนสุดฤทธิ์
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากฝ่าบาทมิได้กล่าวเอ่ย ผู้ใดจะอยากหาเหาใส่หัว
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จิ่งหมิงฮ่องเต้ขานเรียกเสียงเย็น “พานไห่…”
พานไห่ตัวสั่นจนเกือบทรงตัวไม่อยู่ เขากลั้นใจกล่าว “กระหม่อมอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“แอบไปถามนางในในตำหนักฉือหนิงที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติไทเฮาว่า…คำพูดของผู้อาวุโสฮวาเป็นความจริงหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยความยากลำบาก
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าปอด กล่าวว่า “ห้ามให้ไทเฮารู้ตัวเป็นอันขาด”
ในตอนนี้เขายังพอมีหวัง เพราะหากผู้อาวุโสฮวาโป้ปดมดเท็จ อย่างน้อยๆ ไทเฮาก็มิควรรู้ว่าเขาสงสัยในตัวของนาง
พานไห่รีบไปตามรับสั่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปทางหันหราน
หันหรานขนหัวลุกพรึ่บ ศีรษะก้มต่ำกว่าเก่า
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าว “เจ้ารออยู่กับข้าที่นี่แหละ”
เวลาคืบเคลื่อนเชื่องช้า หลังจากที่พานไห่ออกไป ฮ่องเต้และขุนนางที่อยู่ในตำหนักรู้สึกทรมานเหลือเกินจะกล่าว
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด พานไห่ก็กลับเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
ในชั่วอึดใจหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่กล้าถาม
พานไห่พยายามยับยั้งคลื่นพายุใหญ่ในใจพลางถวายความเคารพ “ฝ่าบาท ได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้คอยอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเอ่ย “ว่าอย่างไร”
พานไห่หลุบตาตอบ “บ่าวถามนางกำนัลสองนางที่ทำหน้าที่อยู่ในห้องสรงของไทเฮา นางทั้งสองยืนยันว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสฮวากล่าวเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
การเรียกนางในที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติไทเฮามาสอบเป็นการกระทำที่อุกอาจ ฉะนั้นการซักถามจากนางในที่ทำหน้าที่ในห้องสรงของไทเฮาจึงเหมาะสมกว่า
นางในเหล่านี้ปรากฏตัวต่อเมื่อถึงเวลาสรงน้ำเท่านั้น มิได้เป็นนางในคนสนิทคนไทเฮา
มือจิ่งหมิงฮ่องเต้สั่นสะท้าน ใจสลายลงในชั่วพริบตา
หากที่ผู้อาวุโสฮวาพูดเป็นความจริง ไทเฮาก็เป็นคนเผ่าอื่น
นางเป็นคนเสวี่ยเหมียวหรือว่าอูเหมียว สำคัญด้วยหรือ สิ่งสำคัญก็คือ ตั้งแต่เขาเด็กจนโต สิ่งที่เขาเห็นจากไทเฮา ได้ยินจากไทเฮา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น แม้แต่ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องโกหก
เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด!
“พวกเจ้าออกไปเถอะ”
พานไห่เป็นกังวลกล่าวอย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาท…”
“ออกไป!”
หันหรานส่งสายตาให้พานไห่แล้วถอยออกไปก่อน
ทั้งคู่เดินอยู่บนทางเดินนอกตำหนักด้วยอาการเหม่อลอย
อดีตไท่จื่อสวมเขาให้ฝ่าบาท ไทเฮาเป็นตัวปลอม…
ดูเหมือนพวกเขาทั้งคู่จะรู้เรื่องมากเกินไปแล้ว ทำอย่างไรดี
ภายในตำหนัก อณูความเงียบปกคลุมทั่วพื้นที่ จิ่งหมิงฮ่องเต้เก็บตัวอยู่ในนั้นแม้ฟ้าจะมืดลง
วันถัดมา จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้เสด็จว่าราชการเช้า ปล่อยให้เหล่าขุนนางคาดเดาสาเหตุกันไปต่างๆ นานา
วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า…
เหล่าขุนนางเริ่มร้อนใจ พวกเขาไม่ได้เห็นพระพักตร์ของกษัตริย์หลายวันติดต่อกัน เห็นก็แต่พานไห่ที่มายืนอยู่ที่หน้าประตูเฉียนชิง และตะโกนบอกพวกเขาสุดเสียงว่า “พระวรกายของฝ่าบาทมิใคร่จะปกติ เชิญเหล่าใต้เท้ากลับไปก่อนเถิด”
เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นไม่อาจวางใจสงบ
ฮองเฮาจำต้องสงบศึกสงครามเย็น และเข้าไปหาที่ตำหนักหย่างซิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เก็บตัวเงียบเอาแต่นั่งเหม่อลอย ครั้นได้ยินคำถามของฮองเฮา เขาเพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าอยากใช้เวลาเงียบๆ ตัดสินใจบางเรื่อง”
“ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่นาง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้าไม่ต้องการให้ใครมารบกวน”
ฮองเฮาทำได้เพียงยอบตัว กล่าวลากลับไป เมื่อเดินออกมาจากตำหนักหย่างซินแล้ว นางหันหลังกลับไปมองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
ที่ฝ่าบาทเป็นเช่นนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮาใช่หรือเปล่า บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
ในเย็นวันนั้นเอง เมื่อแสงสายัณห์อาบฟ้า ในที่สุดจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินออกมาจากตำหนักหย่างซิน และตรงไปที่ตำหนักฉือหนิง
……
ณ ตำหนักฉือหนิง ความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวกำลังรุมเร้าไทเฮา
ฝ่าบาทอ้างว่าสุขภาพไม่ดีเพื่อไม่ออกว่าราชการ นางส่งคนเข้าเฝ้าทุกวัน แต่กลับไม่ได้พบหน้าฝ่าบาท ปกติแล้วฝ่าบาทไม่น่าทำเช่นนั้น
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
ไทเฮาลุกพรวด เตรียมจะเดินออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก้าวยาวเข้ามา กวาดสายตาไปรอบห้อง “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
ภายในห้องเหลือแค่ฮ่องเต้และไทเฮาเพียงสองคน
“ฝ่าบาททรงดูแข็งแรงดี ข้าก็สบายใจ” ไทเฮาแสดงท่าทีเมตตาอย่างที่ผ่านมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองตรงไปที่ไทเฮาเนิ่นนานโดยมิได้กล่าวเอ่ย
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรรึ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันหลัง เมื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าคุ้นเคยถึงได้กล่าวออกมา “พระองค์อยู่ที่ต้าโจวจนชินแล้วสิ”
ไทเฮาตกใจ น้ำเสียงขาดหาย “ฝ่าบาทตรัสอะไรอยู่หรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับมากะทันหันจึงเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของไทเฮาพอดี
ไทเฮาพยายามควบคุมอารมณ์ ความตื่นกลัวเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความห่วงใย “ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป หากพระวรกายยังไม่ใคร่ดี ทรงพักผ่อนต่ออีกหน่อยเถิด ส่วนกิจการบ้านเมืองก็ปล่อยให้เหล่าขุนนางช่วยแบ่งเบา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะเยาะกับตนเอง “ความรุ่งเรืองและล่มจมของอูเหมียวเกี่ยวข้องกับหน่อเนื้อของโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ใช่สาเหตุที่พระองค์มาอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ฝ่าบาท…”
“ข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง อย่าทำลายความรู้สึกอันน้อยนิดที่ข้ามีต่อพระองค์อีกเลยจะดีกว่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “นับแต่นี้ไป พระองค์ไม่มีสิทธิ์ก้าวเท้าออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต”
ครั้นกล่าวจบจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันหลังเดินออกไป
ไทเฮาอยากจะฉุดรั้งคนตรงหน้าไว้ แต่ถึงบัดนี้แล้วคำของนางจะก่อประโยชน์อันใด หญิงชราทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ยาว คล้ายกับว่าจู่ๆ น้ำมันในตะเกียงก็หมดเกลี้ยง ทุกสิ่งดำมืด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เดินออกมาถึงหน้าประตูหันหลังกลับไปมอง พลางถามเสียงสั่น “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงเห็นข้าเป็นลูกบ้างหรือไม่”
ไทเฮาเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยปาก แต่ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้รอฟังคำตอบ แต่กล่าวด้วยรอยยิ้มน่าสังเวช “พระองค์ไม่ต้องตรัสแล้ว สรุปว่าข้าหลอกตัวเองมาตลอด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จากไปโดยมิได้หันกลับมามองอีกเลย ไม่นานข้าหลวงที่คอยปรนนิบัติข้างกายไทเฮาก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แต่ส่วนข้ารับใช้ในตำหนักส่วนอื่นๆ ยังคงไว้ดังเดิม คนนอกจึงไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เหล่าข้ารับใช้ที่ไม่ถูกเปลี่ยนรับรู้เพียงว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไป
เพราะพวกเขาไม่เคยได้เห็นหน้าไทเฮาอีกเลย
[1] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ หมายถึง การทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ตาม