ในเมืองหลวง ราษฎรมากมายหลั่งไหลไปตามหัวถนน ส่งเสียงด้วยความปลาบปลื้ม
เจียงซื่อกลับมาพร้อมสายฝนโปรยปราย เป็นอีกครั้งที่นางได้เห็นภาพผู้คนออกมายืนออแน่นถนน
“ดูนั่น ขบวนขอฝน!”
ผู้คนที่กำลังโห่ร้องเต้นรำท่ามกลางสายฝนเห็นกองขบวนของเจียงซื่อก็รีบกรูกันเข้าไปล้อม เมื่อขบวนขยับเข้ามาใกล้ต่างก็พากันคุกเข่าลงแทบพื้นทำความเคารพเจียงซื่อ
“พระชายาไท่จื่อคือเทพที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ สวรรค์ถึงได้ปกปักคุ้มครองต้าโจว!”
แม้ขบวนสักการะฟ้าดินจะเคลื่อนผ่านไปแล้ว แต่ชาวเมืองยังคงคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหนแรกก้าวพรวดออกจากตำหนัก เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ทันทีที่ฝนโปรยลงมา เขาที่พร่ำเพียรรักษาอารมณ์ให้มั่นคงประหนึ่งเขาไท่ซานมานานเป็นสิบปี น้ำตายังไหลรินอย่างช่วยไม่ได้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ฝนตกแล้วจริงด้วย!”
พานไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กางร่มพลางเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาท ฝนตกลมแรง เสด็จเข้าข้างในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ ไปที่ตำหนักคุนหนิง”
ในขณะนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้อยากแบ่งปันความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ฮองเฮารับรู้
จิ่งหมิงฮ่องเต้สับเท้าเร็วรี่ คำกล่าวของพานไห่ไม่เป็นผลจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามไปเพื่อให้เงาร่มบังร่างของจิ่งหมิงฮ่องเต้
ฮองเฮายืนอยู่ใต้ชายคาที่กำลังเหม่อมองม่านน้ำฝนเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้ามาพอดี
“ฝ่าบาทเหตุใดจึงเสด็จฝ่าฝนมาเช่นนี้เล่าเพคะ” ฮองเฮารีบออกไปต้อนรับ
นางในที่ยืนอยู่ด้านข้างกางร่มเดินตามไปทีหลัง ละอองฝนพรมลงบนปลายผมและไหล่ของฮองเฮา
แต่ในเวลาเช่นนี้ผู้ใดจะสนใจเล่า
ฮ่องเต้และฮองเฮามิได้สนใจคนรอบข้าง พากันเดินเข้าไปในตำหนัก
ฝนโปรยกลางเดือนสี่มิได้พาลมหนาวมาด้วย มีเพียงลมเย็นโชยอ่อนพัดใจฮ่องเต้และฮองเฮาให้เย็นสบาย
เมื่อรับถ้วยชาร้อนจากนางในมาไว้ในมือ จิ่งหมิงฮ่องเต้เป่าใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำพลางกล่าว “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพระชายาไท่จื่อจะขอฝนสำเร็จ!”
ฮองเฮายิ้มกว้าง “เพคะ หม่อมฉันหวั่นใจอยู่นาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที ฝนตกลงมาเช่นนี้ ราษฎรคงจะวางใจสงบได้แล้ว”
นางเองก็จะได้วางใจสงบด้วยเช่นกัน
ครั้นหวนคิดถึงเรื่องที่พระชายาไท่จื่อบุกเข้าไปในตำหนักหย่างซิน ฮองเฮายังรู้สึกตกใจไม่หาย
เหตุไฉนถึงได้ทำเรื่องอุกอาจเพียงนี้ หากอธิษฐานขอฝนไม่สำเร็จก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองมิใช่หรือ
โชคดีเหลือเกินที่ทำสำเร็จ!
พระชายาไท่จื่อเป็นที่ยอมรับ ตำแหน่งขององค์รัชทายาทก็จะมั่นคง ตำแหน่งฮองเฮาของนางก็พลอยมั่นคงไปด้วย นางไม่มีสิ่งใดให้กังวลใจอีกต่อไปแล้ว
“ฮองเฮา”
“หื้ม?”
“ธูปในหอพระ ต้องจุดติดไว้ตลอดนะ อย่าละเลยองค์พระโพธิสัตว์เป็นอันขาด”
ฮองเฮาผุดหัวเราะ “ฝ่าบาทวางพระทัยได้เพคะ ธูปในหอพระถูกจุดใหม่ทุกวัน มิเคยปล่อยปละละเลยพระโพธิสัตว์เลยสักครั้งเพคะ”
“ดี”
เมื่อเทียบกับความปลื้มปีติของฮ่องเต้และฮองเฮา บรรยากาศในตำหนักฉือหนิงคล้ายกับมีเมฆดำสุมตัวหนา อึมครึมเข้าขั้น
ไทเฮากำเม็ดลูกประคำในมือแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก่อนจะสบถคำออกมา “นังปีศาจ!”
สะใภ้เจียง พระชายาไท่จื่อต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน มิฉะนั้นขอฝนแล้วฝนจะตกได้อย่างไร
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายเช่นนี้ นางไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้สตรีผู้นี้ร่ำไป
ไทเฮาหวนคิดถึงแรงกดดันยามที่เผชิญหน้ากับจิ่งหมิงฮ่องเต้เมื่อไม่นานมานี้แล้วขัดใจอย่างยิ่งยวด
พระชายาไท่จื่อขอฝนสำเร็จ ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องชวนหัว นับแต่นี้คงไม่มีใครกล้าพูดจาให้ร้ายพระชายาไท่จื่อกลางถนนอีกแล้ว เพราะเกรงว่าคงถูกรุมประชาทัณฑ์
ไทเฮาหลุบตาจดจ้องไปที่ลูกประคำในมือ ความคิดแวบผ่านเข้ามาในหัว หรือว่านางควรหยุดเสียที การใช้ชีวิตสุขสงบก็มิใช่เรื่องเลวร้ายปานนั้น
เพราะถึงอย่างไรนางก็ตัดสัมพันธ์กับเผ่าอูเหมียวไปแล้ว ฉะนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทำภารกิจที่หัวหน้าผู้อาวุโสมอบหมายให้เมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว
นางเป็นไทเฮา หากนางอยู่เฉยๆ ไท่จื่อและชายาจะทำอะไรนางได้
ในขณะที่ไทเฮากำลังคิด จู่ๆ ภาพกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเจียงซื่อก็แวบแล่นเข้ามาในสมอง ความคิดที่จะวางมือพลันหายสิ้น
ไม่ได้ ไท่จื่อและชายายังอายุน้อย ฉะนั้นพวกเขายังมีโอกาสได้เป็นใหญ่ หากในตอนนั้นนางมิได้มีชีวิตอยู่แล้วก็แล้วไป แต่หากนางยังมีชีวิตอยู่ สะใภ้เจียงจะยอมปล่อยนางไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ
แต่ตอนนี้นางลงไพ่ไปไม่น้อย ฉะนั้นนางต้องคิดให้รอบคอบ…
จิตใจไทเฮาสับสนว้าวุ่นในชั่วเวลาหนึ่ง
พระชายาไท่จื่ออธิษฐานขอฝนสำเร็จ ราษฎรให้การสนับสนุน เหล่าขุนนางข้าหลวงใหญ่คงรีบเข้าไปประจบประแจง คงไม่มีใครกล้าล่วงเกินไท่จื่อและพระชายาอีกแล้ว
ส่วนขุนนางที่วิ่งชนเสาเสียชีวิต หากพระชายาไท่จื่อทำไม่สำเร็จ ชื่อของเขาคงจารึกอยู่ในพงศาวดารในฐานะขุนนางที่ยอมพลีกายเพื่อความสงบสุขของปวงชน แต่ตอนนี้ แค่กๆ มีใครบ้างที่ยังจำชื่อของชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นได้
ก็แค่ตัวตลกที่เอาชีวิตของตัวเองไปแลกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
……
ณ จวนกู้
กู้ฮูหยินชี้นิ้วไปที่เตียงที่สาวรับใช้ปูไว้ในห้องตำราพลางกล่าวแก่เสนาบดีกู้ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “นับตั้งแต่วันนี้ นายท่านนอนอยู่ในห้องตำราก็แล้วกัน”
เสนาบดีกู้ได้ยินก็ร้อนใจ “ฮูหยิน ข้าไม่ชินกับการนอนในห้องตำรา!”
สมัยหนุ่มๆ ยามที่ร่ำเรียนอย่างขะมักเขม้นจนปวดไหล่ ปวดคอ ก็มีแต่หัตถ์เทวดาของหญิงหน้าเหี่ยวนางนี้ที่แอบนวดให้เขายามที่เขาหลับไปแล้ว ทำให้เช้าวันถัดมาเขารู้สึกสบายตัว
แล้วจะให้เขาไปนอนที่ห้องตำราได้อย่างไร!
กู้ฮูหยินกลอกตาใส่ผู้เป็นสามี พลางเอ่ยเสียงเย็น “ข้าอุตส่าห์เตือนนายท่านแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเรื่องราชวงศ์ แต่นายท่านไม่ฟัง ที่นี้ล่ะเป็นไง ขายขี้หน้ากันหมด”
เสนาบดีกู้ประหม่า “สตรีดูแลเรื่องในจวนให้ดีก็พอแล้ว เรื่องข้างนอกนั้นเจ้าไม่เข้าใจ…”
กู้ฮูหยินตบเตียงแข็งๆ เต็มแรง “ในเมื่อข้าเป็นคนดูแลเรื่องในจวน นายท่านก็นอนที่นี่”
สิ้นคำ กู้ฮูหยินก็หันหลังเดินกลับไป เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงกระแทกประตู
เสนาบดีกู้พ่นจนเคราปลิวด้วยความฉุนจัด “สตรีนางนี้ยิ่งแก่ยิ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว คราวนี้อย่ามาตามข้ากลับไปนอนด้วยก็แล้วกัน!”
กลางดึก เสนาบดีเฒ่าหอบฟูกเดินมายืนอยู่ข้างเตียง พลางกล่าวอย่างขมขื่น “ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้ว ให้ข้ากลับมานอนด้วยเถิด”
“หลังจากนี้จะยุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่ยุ่งแล้วจ้า”
กู้ฮูหยินถึงยอมอ่อนข้อ “นายท่านอาการเจ็บไหล่กำเริบอีกแล้วมิใช่รึ มาข้าจะนวดให้”
ท่านพี่ได้ไปสืบมาหรือไม่ว่า พระชายาไท่จื่อเป็นคนปกติหรือเปล่า
คราวนั้นที่ได้ยินว่าเกิดเหตุม้าพยศขณะที่พระชายาไท่จื่อและพระชายาฉีอ๋องไปถวายธูป พระชายาฉีอ๋องตกใจจนกลายเป็นคนเสียสติ แต่พระชายาไท่จื่อกลับไม่มีบาดแผลใดๆ เป็นเพราะพระชายาไท่จื่อถวายปัจจัยแก่พระโพธิสัตว์วัดไป๋อวิ๋นมากมายมหาศาล
การถวายปัจจัยมหาศาลมิใช่เรื่องแปลก แต่แปลกที่พระโพธิสัตว์ก็รับปัจจัยนั้นไว้ มิฉะนั้นแล้วคงไม่คุ้มครองดูแลพระชายาไท่จื่อเช่นนี้มิใช่หรือ
หากนางไม่ห้ามนายท่านไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับพระชายาไท่จื่อที่มีพระโพธิสัตว์คอยปกปักคุ้มครอง จะให้นางรอวันที่จวนของตัวเองต้องพังพินาศอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินของเสนาบดีมีหน้าที่กังวลเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่นายท่านจะเข้าใจอะไร
ในยามนี้ บรรดาขุนนางเป็นเหมือนนกน้อยไร้พิษสง อันตรายแฝงเร้นที่หมายจะโค่นตำแหน่งองค์รัชทายาทจางหายไปแล้ว ความสบายใจที่เกิดขึ้นกับจิ่งหมิงฮ่องเต้หาได้ยากยิ่ง นั่นยิ่งทำให้เขาประทับใจเกินจะกล่าว
ถัดจากวันนั้น พานไห่เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าเจินมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่อยากจะยกมือปิดหูไม่รับรู้ แต่เพราะพานไห่อยู่ด้วย เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้า “ให้เขาเข้ามา”
เหล่าเจินมาของเข้าเฝ้าคงเพราะมีธุระสำคัญ ซึ่งธุระสำคัญที่ว่าก็มักจะเป็นเรื่องไม่คาดฝันทุกที…ดี มีเรื่องอีกแล้ว!
ไม่นานเกินรอ เจินซื่อเฉิงเดินเข้ามาพร้อมหีบหวายสานขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดอยู่ที่หีบหวายสานใบนั้น “เจินอ้ายชิง นี่คือ…”
เจินซื่อเฉิงวางหีบหวายสานลง ประสานมือพลางกล่าว “กราบทูลฝ่าบาท นี่คือเอกสารคดีความทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง “มากมายขนาดนี้เชียวหรือ”
เจินซื่อเฉิงหลุบตาพลางกล่าว “กระหม่อมเองก็ไม่คิดว่าจะรวบรวมมาได้มากมายเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าแต่คดีอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากจะถาม แต่การไม่ถามก็คงไม่ได้ หีบใบใหญ่เช่นนี้สามารถใช้แทนเก้าอี้ตัวเล็กได้เลย
“คดีหมิ่นประมาทเจ้าของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงพ่ะย่ะค่ะ”