สิ้นวาจานั้น ทั้งหมดก็ตกตะลึง
พระชายาไท่จื่อจะบวงสรวงขอฝนอย่างนั้นรึ
การบวงสรวงขอฝนมิใช่เรื่องแปลกสำหรับต้าโจว
ในแผ่นดินต้าโจว ทุกๆ ปี ราชวงศ์และหน่วยงานราชการจะทำพิธีขอฝนอยู่เนืองๆ
ในแต่ละท้องถิ่นจะมีพิธีขอฝน บ้างก็จัดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่น บ้างก็จัดขึ้นกันเองในกลุ่มราษฎร หรือนอกจากนี้อาจจัดขึ้นโดยราชสำนักก็มี
การอธิษฐานขอฝนถือเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของข้าราชการท้องถิ่น มีผลต่อคะแนนประเมินการทำงาน ดังนั้นจึงมีข้าราชการไม่น้อยเสียชีวิตเนื่องจากทำพิธีขอฝน
ตัวอย่างเช่น การบวงสรวงขอฝนท่ามกลางแสงแดดแผดเผากลางคิมหันต์ ทำให้บางคนเสียชีวิตจากสภาวะร่างกายอ่อนล้า หรือบางคนอาจเสียชีวิตจากความตรอมตรมเหตุเพราะล้มเหลวในหน้าที่…เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเวียนวนไม่จบไม่สิ้น
พิธีบวงสรวงขอฝนของราชสำนักถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
พิธีอธิษฐานขอฝนอยู่ภายใต้ความผิดชอบของกรมพิธีการ ขุนนางใหญ่บางคนจะได้รับคำสั่งให้เป็นผู้ทำพิธี ซึ่งรวมไปถึงพิธีบวงสรวงที่ทางราชสำนักจัดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
ยามที่บ้านเมืองเกิดภัยแล้งรุนแรง การที่องค์จักรพรรดิเสด็จมาทำพิธีขอฝนด้วยตนเอง หรือส่งองค์รัชทายาทมาแทนก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
แต่ช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา จิ่งหมิงฮ่องเต้แทบไม่รับหน้าที่นี้เลย
เพราะเขาคิดว่า หากเขาอธิษฐานขอฝน แล้วฝนไม่ตกมีแต่จะขายหน้า
โดยมากเขาจะยกหน้าที่ออกงานให้แก่เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เพราะหากขุนนางอธิษฐานขอฝนไม่สำเร็จ เขาก็แค่ติเตียนและสั่งให้เปลี่ยนคนใหม่ได้
ส่วนฝนจะตกเมื่อไหร่นั้น…แค่กๆ หากส่งคนไปอธิษฐานขอมากหน่อย จะต้องมีคนดวงดีสักคน ถึงเวลานั้นเขาก็มีหน้าที่แค่ตกรางวัลไปตามเรื่อง…
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีพระชายาไท่จื่อองค์ใดอธิษฐานของฝน!
เสนาบดีกรมพิธีการเพิ่งได้สติ กระเด้งตัวโดยพลัน ร้อนใจยิ่งกว่าเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนที่ถูกเตะไปเมื่อครู่ “ฝ่าบาท การปล่อยให้พระชายาไท่จื่อผู้เป็นสตรีเพศทำพิธีบวงสรวงขอฝนถือเป็นการไม่เคารพต่อทวยเทพนะพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
กรมพิธีการเพิ่งจัดราชพิธีขอฝนไปไม่นาน จังหลางจงผู้ทำหน้าที่บวงสรวงยังไม่ทันหายจากอาการลมแดดดีเลย นี่พระชายาไท่จื่อหมายจะแย่งหม้อข้าวเขาแล้วรึ
ไม่สิ เขามิได้ใจแคบกลัวพระชายาไท่จื่อแย่งหม้อข้าวเสียหน่อย แต่เขาไม่ยอมให้ต้าโจวถูกหัวเราะเยาะเด็ดขาด!
ยิ่งคิด แผ่นหลังของเสนาบดีกรมพิธีการก็เหยียดตรงขึ้น ความมั่นใจแสดงออกผ่านทางสีหน้า
เหล่าขุนนางกล่าวเสริมเอ็ดอึง “เสนาบดีฉังกล่าวมีเหตุผล ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เจียงซื่อด้วยแววตาสั่นไหว
เหล่าขุนนางไม่รู้ แต่เขารู้ดี สะใภ้เจ็ดมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป นางไม่เคยพลาดพลั้งเลยสักครั้ง หรือว่านางจะขอฝนได้จริงๆ!
เจียงซื่อคุกเข่า กล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออธิษฐานแล้วฝนตกเพคะ มิได้ขึ้นอยู่กับคนที่อธิษฐานนั้นเป็นสตรีเพศหรือไม่”
“ตั้งแต่อดีตกาลยังไม่เคยมีสตรีคนใดเป็นตัวแทนราชสำนักทำพิธีบวงสรวงขอฝนเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีกรมพิธีการกล่าวจนเคราสั่น
“ข้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์ มิใช่ราชสำนัก”
เสนาบดีกู้แผดเสียงดังลั่น “ไท่จื่อก็ทรงอยู่ที่นี่ มีเหตุผลใดที่ต้องส่งพระชายาไท่จื่อไปแทนพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นเอ่ยแทรกเสียงเย็น “ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องอธิษฐานขอฝน”
เสียงดังไม่ได้แปลว่ามีเหตุผล ตาแก่ผู้นี้จะเสียงดังไปไย เรื่องอภินิหารอย่างอธิษฐานขอฝน ใครเชี่ยวชาญก็ให้คนนั้นทำไปซิ
เสนาบดีกู้แทบคลั่งเพราะถูกขัดใจ เขาถลึงตามองอวี้จิ่น พร้อมริมฝีปากสั่นระริก
“ภัยแล้งรุนแรงนำไปสู่ภัยพิบัติจากตั๊กแตน นำไปสู่อุทกภัยอย่างใหญ่หลวง และนำมาซึ่งภัยพิบัติอีกนานัปการ ถึงคราวนั้น ราษฎรจะทุกข์ยาก และเอาชีวิตไม่รอด เสด็จพ่อ ลูกได้ยินมาว่า ราชสำนักและชาวเมืองทำพิธีขอฝนมาแล้วหลายครั้ง ทว่าไม่เป็นผล เหตุใดถึงไม่อนุญาตให้ลูกลองดูสักครั้งเล่าเพคะ การที่ลมฝนเป็นใจ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขสำคัญกว่าการที่ลูกเป็นสตรีเพศมิใช่หรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใจเต้น เอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจหรือ”
อวี้จิ่นกระแอมไออย่างอดไม่ได้
แม้เขาจะรู้ว่าการที่อาซื่อกล้าเสนอ แปลว่านางเชื่อมั่นว่าทำได้ แต่ถึงอย่างไรก็มิควรร้องขอให้นางรับปากเช่นนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องอวี้จิ่นตาเขม็ง “หุบปาก!”
อวี้จิ่นแอบกลอกตา
อาซื่อพูดตั้งหลายประโยค ไม่เห็นจะเป็นอะไร เขาแค่ไอนิดเดียวมิได้เลยหรือ
“การอธิษฐานขอฝนเป็นเรื่องจิต สิ่งที่ลูกทำได้คือตั้งจิตภาวนาแน่วแน่ ส่วนฝนจะตกลงมาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าสวรรค์จะเมตตาราษฎรที่ตกทุกข์ได้อยากหรือไม่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบเคราครุ่นคิด
สะใภ้เจ็ดยกเหตุผลได้น่าฟังทีเดียว
ก่อนหน้านี้เขาลงโทษข้าราชการชุดหนึ่งที่ขอฝนไม่สำเร็จโทษฐานไร้ซึ่งจิตศรัทธา
เขามิได้อยากทำเช่นนั้นเลย แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่จักรพรรดิทำมาทุกยุคทุกสมัย แล้วคิดหรือว่าเขาจะทำตัวผิดแผกไปจากนั้น
หลังใคร่ครวญพักหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระชายาไท่จื่อจะเป็นตัวแทนของราชวงศ์ไปทำพิธีบวงสรวงใหญ่ขอฝนคราวนี้”
การบวงสรวงแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ บวงสรวงธรรมดาและบวงสรวงใหญ่ การบวงสรวงใหญ่คือพิธีสักการะฟ้าดิน ซึ่งจะจัดขึ้นเมื่อมีเหตุภัยแล้งรุนแรงเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า เจียงซื่อจะเป็นตัวแทนราชวงศ์และโอรสแห่งสวรรค์ที่ทำหน้าที่บวงสรวงใหญ่ขอฝน หากสำเร็จ ตำแหน่งของพระชายาไท่จื่อจะมั่นคง ไม่หวั่นไหวอีกแล้ว
ผู้ใดจะกล้าเอ่ยอ้างถึงพระชายาไท่จื่อที่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์
เหล่าขุนนางตกตะลึง “ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องกวาดตามองไปรอบๆ เปล่งเสียงเนิบนาบ “ข้าตัดสินใจแล้ว”
“ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือ “หากพระชายาไท่จื่ออธิษฐานขอพรให้ฝนตกได้สำเร็จก็เป็นคุณแก่ราษฎร แต่หากล้มเหลว…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองไปทางเจียงซื่อ กล่าวเสริมเสียงเรียบ “ก็จะเป็นไปตามที่เสนาบดีกู้เสนอคือ ลดยศพระชายาไท่จื่อเป็นพระสนม และตั้งแต่พระชายาไท่จื่อองค์ใหม่!”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ย่อมมีขอบเขต ในเมื่อสะใภ้เจ็ดบุ่มบ่ามมาถึงที่นี่ หนำซ้ำยังเอ่ยวาจาห้าวหาญ หากล้มเหลว เขาก็ไม่อาจปล่อยไปเฉยๆ ได้
“เสด็จพ่อ!” อวี้จิ่นตกใจสุดขีด
จิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นลมเย็นเยือก “ทำไม เจ้ามีความเห็นอะไร”
เรื่องสำคัญเพียงนี้ สองสามีภรรยาไม่ได้ปรึกษากันมาแล้วหรือ
นึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว จักรพรรดิอย่างเขาไม่เคยปล่อยให้ใครเล่นหัวอยู่แล้ว!
“เสด็จพ่อ เหตุไฉนถึงทรงทำกับชายาของลูกเช่นนี้ ในเมื่อมีคนจงใจปลุกปั่นข่าวเล่าอ้างไร้สาระพวกนั้น…”
“พอที หากเจ้ารู้สึกว่าข้าทำเกินไป ข้าก็จะถอนคำสั่งที่ให้ไท่จื่อเฟยอธิษฐานขอฝน แล้วเราจะต้องกลับมาถกกันเรื่องวิธีสยบข่าวลือนั้นอีกครั้ง!”
“นี่มัน…” คิ้วของอวี้จิ่นขมวดเป็นปมแน่น
เมื่อเห็นอาการของอวี้จิ่น เหล่าขุนนางจึงรู้สึกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ทั้งหมดกล่าวร้องเป็นเสียงเดียว “ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก”
อวี้จิ่นหลุบตา มุมปากหยักโค้งซ่อนอยู่ในมุมที่ใครก็มองไม่เห็น
จิ่งหมิงฮ่องเต้คร้านจะพร่ำพูดกับไท่จื่อและเหล่าขุนนางเต็มทน จึงหันไปกล่าวแก่เจียงซื่อ “พระชายาไท่จื่อ ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะอธิษฐานขอฝนเพื่อราษฎร เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”
“ยืดตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมได้เลยเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงกศีรษะเล็กน้อย “ดังนั้นสำนักหอดูดาวหลวงก็หาฤกษ์ทำพิธีบวงสรวงใหญ่มาก็แล้วกัน…”
“เสด็จพ่อ” เจียงซื่อขานเรียกเสียงใส
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักเล็กน้อย
เจียงซื่อหลับตาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “หากให้สำนักหอดูดาวหลวงหาฤกษ์มงคลลูกเกรงว่าลูกจะประหม่าเพคะ เรื่องพิธีบวงสรวงขอฝนคราวนี้ ลูกมิได้ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ หวังเพียงว่าลูกสามารถเลือกวันเองได้เท่านั้นเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามแม้จะรู้สึกละอาย “แล้วเจ้าจะเลือกวันไหนล่ะ”
เมื่อกล่าวถึงสำนักหอดูดาวหลวง จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกผิดต่อไท่จื่อและพระชายาขึ้นมาทันที
เขาสั่งหันหรานให้สืบประวัติของข้าราชการในสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว ผลปรากฏว่าสถานสงเคราะห์ที่ถูกไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับคนในวังหลวง
เขาจึงไม่กล้าให้หันหรานสืบต่อ….
“หากปล่อยให้ล่าช้าอีกหนึ่งวัน ราษฎรจะต้องทนทุกข์ไปอีกหนึ่งคืน ฉะนั้นลูกอยากจะกำหนดวันขอฝนเป็นวันที่เจ็ดนับจากนี้เพคะ”
เจ็ดวันหลังจากนี้จะตรงกับวันที่สิบแปด เดือนสี่ รัศชกจิ่งหมิงปีที่ยี่สิบสอง เมื่อชาติที่แล้ว ภัยพิบัติแล้งรุนแรงกินเวลายาวนานหลายเดือน แต่ในวันนั้นกลับมีสายฝนโปรยลงมาไม่ขาดสาย ในตอนนั้น ชาวเมืองนับร้อยพันกรูกันออกมาคุกเข่าร้องไห้อยู่ตามหัวถนน และกราบกรานขอบคุณฟ้าดิน
วันนั้นในชาติที่แล้ว นางเดินทางกลับมาจากเผ่าอูเหมียวจึงได้เห็นภาพรื่นเริงยินดีด้วยตาตนเอง
“ดี เช่นนั้นก็กำหนดเป็นวันที่เจ็ดนับจากวันนี้ เสนาบดีฉัง กรมพิธีการจะต้องทุ่มเทจัดเตรียมพิธีบวงสรวงใหญ่คราวนี้ให้เรียบร้อย ห้ามมีข้อผิดพลาดเป็นอันขาด”
เสนาบดีกรมพิธีการกลั้นใจรับปาก
พิธีการยิ่งใหญ่แต่ให้เวลาเตรียมตัวแค่นี้ พระชายาไท่จื่อต้องจงใจเอาคืนที่เขาลุกขึ้นพูดเมื่อครู่แน่ๆ!