บรรยากาศในตำหนักชวนอึดอัดไม่มีใครยอมอ่อนข้อ เสี่ยวเล่อจื่อที่ได้รับสัญญาณจากพานไห่พุ่งตัวไปส่งข่าวที่ตำหนักบูรพาทันที
เจียงซื่อกำลังครุ่นคิดหาสาเหตุที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกอวี้จิ่นไปเข้าเฝ้าอยู่พอดี เมื่อได้ยินว่าเล่อกงกงมาที่ตำหนักจึงรีบถามหาสาเหตุ
เสี่ยวเล่อจื่อลมหายใจถี่กระชั้น รีบตอบด้วยความกระตือรือร้น “องค์รัชทายาททรงเตะเสนาบดีกู้พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเอ่ยจบ เสี่ยวเล่อจื่อเกรงว่าเจียงซื่อจะไม่ทราบว่าเสนาบดีกู้คือใครจึงรีบขยายความ “คือเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนพ่ะย่ะค่ะ!”
เจียงซื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย
แน่นอนว่านางทราบว่าเสนาบดีกู้คือเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือน เป็นเสนาบดีที่กุมอำนาจเหนือกรมทั้งหก
“องค์รัชทายาททรงทำร้ายร่างกายเสนาบดีกู้ คาดว่าน่าจะถูกลงโทษให้เสด็จไปสำนึกผิดที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน บ่าวเลยรีบมากราบทูลพระชายาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาไท่จื่อฟังแล้วจะช่วยคิดวิธีช่วยไท่จื่อออกมา หรือว่าช่วยไท่จื่อเก็บผ้าเก็บผ่อนย้ายออกจากตำหนัก เขาคงช่วยได้เท่านี้
ครั้นฟังสิ่งที่เสี่ยวเล่อจื่อกล่าวจบ ท่าทีของเจียงซื่อกลับสงบนิ่ง นางเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดจู่ๆ ไท่จื่อถึงเตะเสนาบดีกู้เล่า”
แววตาเสี่ยวเล่อจื่อสั่นไหว
“เล่อกงกงพูดมาเถิด”
อาเฉี่ยวหยัดเหอเปาหนักใส่มือขันที
เสี่ยวเล่อจื่อจึงยอมพูด “เสนาบดีกู้เสนอให้ลดยศของพระองค์เป็นพระสนม และให้เลือกพระชายาไท่จื่อองค์ใหม่พ่ะย่ะ…”
เจียงซื่อยังไม่ทันฟังจบดี อาหมานที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ถ่มน้ำลายออกมา “ถุย บังคับให้คนหย่าเมียแล้วแต่งงานใหม่ ตาแก่หน้าไม่อายเช่นนี้ หากไม่ทุบตีให้ตาย จะปล่อยไว้ให้ได้ประโยชน์อันใด”
ทำมาเป็นเรียกพระสนมให้ฟังดูเสนาะหู ความจริงก็คืออนุมิใช่รึ นี่มันตั้งใจรังแกกันชัดๆ!
เสี่ยวเล่อจื่อยืนงงกับภาพอาหมานยืนเท้าเอวพร้อมฉอดไม่หยุดปาก
นางในข้างกายพระชายาไท่จื่อนี่ดุชะมัด ขนาดเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนยังกล้าเรียกว่าตาแก่หน้าไม่อาย…หากคิดดูแล้ว การที่ไท่จื่อเตะเสนาบดีกู้คงไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าตกใจนัก
“ลดยศข้าเป็นสนม? เสนาบดีกู้เป็นคนพูด?” เจียงซื่อถามเสียงเรียบ
เสี่ยวเล่าจื่อเย็นวาบไปทั้งหลัง เขายิ้มแห้ง “พระองค์อย่าได้เก็บมาใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอย่าเก็บมาใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพระชายาไท่จื่อน่ากลัวกว่าไท่จื่อเสียอีก
เจียงซื่อลุกขึ้นแล้วเดินออกไป “เล่อกงกงนำทางไปเถิด”
“นำ นำทาง?” เสี่ยวเล่อจื่อเดินตามไป กลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ
เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่เสี่ยวเล่อจื่อแวบหนึ่ง เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ข้ายังไม่เคยไปตำหนักหน้าของพระตำหนักหย่างซิน ไม่รู้ทาง รบกวนเล่อกงกงช่วยนำทางไปที”
เสี่ยวเล่อจื่ออยู่ในสภาวะกล้ำกลืน “พระชายาไท่จื่อ ตำหนักหน้าของพระตำหนักหย่างซินเป็นที่ทรงงานของฝ่าบาท พระองค์เสด็จไปคงไม่…ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ”
แม้แต่ฮองเฮาที่ต้องการพบฝ่าบาทก็ยังไปได้ไกลมากสุดแค่ตำหนักท้าย มิเคยเสด็จไปที่ตำหนักหน้าเลยสักครั้ง ยิ่งเป็นพระชายาไท่จื่อยิ่งแล้วใหญ่
“ไม่เหมาะอย่างนั้นรึ” เจียงซื่อเลิกคิ้ว แววตาดำขลับลุ่มลึกทอประกาย “แล้วการที่เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนเสนอให้ไท่จื่อปลดข้าถือเป็นเรื่องเหมาะสมอย่างนั้นรึ หรือว่าเล่อกงกงคิดว่าเสนาบดีกู้ทำถูกแล้ว”
เสี่ยวเล่อจื่อแทบทรุดตัวลงแทบพื้น กล่าวเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “บ่าวมิบังอาจคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็นำทางไปเถิด”
เสี่ยวเล่อจื่อฝืนใจเดินนำหน้า ในสมองวนเวียนสับสน
เหตุใดเขาถึงถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วยนะ เขามันก็แค่ขันทีตัวเล็กๆ!
หรือว่าท่านอาจารย์จะรู้ว่า พระชายาไท่จื่อเป็นสตรีแปลกพิลึกที่กล้าบุกไปที่ตำหนักหน้าของตำหนักหย่างซิน ถึงได้ส่งสัญญาณให้เขามาแจ้งที่ตงกง!
เสี่ยวเล่อจื่อที่ถูกบีบจนจนมุมเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เมื่อมาถึงที่ก็กล่าวร้องตะโกนเต็มเสียง “พระชายาไท่จื่อเสด็จ…”
ในท้องพระโรง ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ
ขุนนางทั้งหลายหันมาสบตากันก่อนจะรีบหันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “พระชายาไท่จื่อมาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันเกินไปแล้ว!”
เหล่าขุนนางลอบพยักหน้าตาม เกินไปจริงๆ!
“ให้พระชายาไท่จื่อเข้ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสริม
เหล่าขุนนาง “…” นี่ผีเข้าฝ่าบาทรึ
ไม่นาน สตรีร่างบางก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู เดินฝ่าทางเดินในท้องพระโรงโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เบาสบายประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวน
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
ขณะที่เฝ้ามองพระชายาไท่จื่อน้อมถวายความเคารพ จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่
ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
แต่การเงียบก็มิใช่ทางออก จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงกระแอมไอหนหนึ่ง “แค่กๆ เหตุใดพระชายาไท่จื่อถึงมาที่นี่ นี่เป็นที่ที่เจ้าไม่ควรมา!”
เจียงซื่อเอ่ยตอบเบาสบาย “หมู่นี้มีข่าวลือแปลกประหลาดเกี่ยวกับลูกไม่ว่างเว้น ลูกไม่อาจวางใจสงบ เมื่อได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงเรียกเหล่าขุนนางใหญ่และไท่จื่อมาหารือเกี่ยวกับปัญหานี้ ลูกจึงมาที่นี่เพื่อถามว่าการหารือเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนหมดความอดทน “ฝ่าบาททรงหารือกับเหล่าขุนนาง พระชายาไท่จื่อทรงเสด็จมาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียยิ่งนัก!”
แย่แล้ว แย่แล้ว ไท่จื่อกล้าเตะเหล่ากู้ต่อหน้าธารกำนัล ส่วนพระชายาไท่จื่อก็กล้าบุกมาถึงที่นี่ ต้าโจวคงถึงคราวอวสานแล้วซิ!
จิตของเหล่าขุนนางเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง อ้าปากอ้อนวอนเป็นเสียงเดียว “ขอฝ่าบาทโปรดควบคุมความประพฤติของพระชายาไท่จื่อด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ราชสำนักต้องตกเป็นขี้ปากทั่วใต้ล้าอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำหม่น “พระชายาไท่จื่อ เจ้าออกไปก่อน”
ควบคุมความประพฤติของพระชายาไท่จื่อเป็นหน้าที่ของฮองเฮา จะมาโยนขี้ให้เขาได้อย่างไร
ภาพฮองเฮาขลุกตัวอยู่ในตำหนักคุนนิงและเพลิดเพลินกับการกินองุ่นอย่างสำเริงใจตัดสลับกับภาพเหล่าขุนนางที่จ้องจะขย้ำเขา ใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งร้อนรน
เขาเคยคิดว่าถ้าสถาปนาองค์รัชทายาทแล้วจะช่วยเขาแบ่งเบาภาระ นี่เขาคงขอมากไปเอง
เจียงซื่อคุกเข่า หลุบตามองพื้นพลางกล่าว “วันนี้ลูกเลินเล่อไปเหตุเพราะได้ยินว่าเสนาบดีกู้ยุยงให้ไท่จื่อปลดชายา มิทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่เพคะ”
น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบทว่าเชือดเฉือน สายตาทุกคู่ชำเลืองมองไปที่เสนาบดีกู้ที่ถูกถีบหน้าคะมำจนตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวน้อย
เสนาบดีกู้มีหรือจะนั่งติดเก้าอี้อยู่ได้ เขาพยายามฝืนอาการปวดระบมที่เอวยืนขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ “ฝ่าบาท ที่กระหม่อมทำไปก็เพื่อแผ่นดินต้าโจว มิได้ข้องเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนเลยแม้แต่น้อย แต่การที่พระชายาไท่จื่อเสด็จมาที่นี่โดยไม่คำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติ อีกทั้งชี้นิ้วกล่าวหาว่ากระหม่อมยุยงไท่จื่อทำให้กระหม่อมรู้สึกละลายใจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เสนาบดีเฒ่าเดือดถึงขีดสุด ถ้อยคำพรั่งพรูพร้อมน้ำตาไหลร่วงเป็นสาย
อวี้จิ่นที่คุกเข่าอยู่นานได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็น “ต่อให้ต้องทำลายอารามสิบแห่งก็จะไม่ยอมล่มงานวิวาห์เพียงครั้งเดียว การที่เสนาบดีกู้เสนอความคิดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ท่านจะรู้สึกละอายแก่ใจ…”
“ไอ้ลูกตัวดี หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบหยกขาวทับกระดาษขึ้นมาและปราดไปทางอวี้จิ่น
เมื่อตระหนักได้ว่าหมู่นี้หยกขาวทับแตกบ่อยเสียจนเงินในท้องพระคลัง (ส่วนพระองค์) เริ่มจะหดหาย จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ค่อยๆ วางลง
ในขณะนั้นเสนาบดีกู้ก็โกรธจนแทบคลั่งไม่ต่างกัน เขาแสดงท่าทีต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างไม่กลัวเกรง แผดเสียงคำราม “กษัตริย์มิควรเอาครอบครัวมาข้องเกี่ยว พระชายาไท่จื่อคือพระสุณิสาของฝ่าบาท แต่วันนี้ราษฎรเรียกร้องให้ไท่จื่อเลือกพระชายาองค์ใหม่ ฉะนั้นแล้วจะนำไปเปรียบเทียบกับการสมรสของสามัญชนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์จะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ไม่มั่นคง ตำแหน่งขององค์รัชทายาทก็ไม่มั่นคง สุดท้ายแผ่นดินต้าโจวก็จะไม่มั่นคงตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เสนาบดีกู้เอ่ยคำว่า ‘ไม่มั่นคง’ ต่อกันถึงสามครั้งด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดจนน้ำลายแทบจะกระเด็นใส่หน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้วุ่นอยู่กับการหลีกหลบ ‘อาวุธสังหารลับ’ ของเสนาบดีกู้จึงไม่ทันได้เอ่ยคำใด
เจียงซื่อเผยสีหน้าฉงน “ไม่เคยคิดเลยว่าสตรีอ่อนแออย่างหม่อมฉันจะมีความสำคัญถึงเพียงนั้น”
พานไห่ที่หลบอยู่ในมุมมืดก้มศีรษะต่ำอย่างสุดความสามารถประหนึ่งว่าตนมิได้ยืนอยู่ตรงนั้น
เขาไม่ควรหัวเราะ แต่มันเก็บไม่อยู่จริงๆ…
ครั้นเจียงซื่อเห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มโกรธจริง นางจึงเอ่ยถามเสียงดังฟังชัด “เสนาบดีกู้ เหตุใดราษฎรถึงร้องขอให้เปลี่ยนชายาไท่จื่อองค์ใหม่”
เสนาบดีกู้ประสานมือพลางตอบ “เป็นเพราะราษฎรเชื่อว่าพระชายาไท่จื่อทรงประพฤติมิชอบ สวรรค์ถึงได้ให้สัญญาณเตือนผ่านสถานการณ์ภัยแล้งครั้งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อราษฎรเชื่อว่าพระชายาไท่จื่อประพฤติมิชอบ ความจริงจะเป็นเช่นไรไม่เรื่องสำคัญ
พระชายาไท่จื่อจะปิดปากคนทั้งประเทศได้หรือ
เจียงซื่อหัวเราะแผ่วเบา “อย่างนี้นี่เอง แต่แล้วถ้าหากข้าอธิษฐานขอให้ฝนตกได้เล่า”