ล่วงเลยไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ยังคงไร้ซึ่งวี่แววของฝน
ผืนดินแตกระแหง ธัญพืชแห้งตาย มิรู้ว่ามีชาวนาก้มกราบกรานฟูมฟายต่อฟ้าดินร้องขอฝนโปรยตั้งเท่าไหร่
สวรรค์ส่งสัญญาณชัดว่าพระชายาไท่จื่อเป็นปีศาจร้าย เสียงโจษจันคร่ำครวญถึงภัยแล้งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง
อารมณ์ของอวี้จิ่นถูกปลุกเร้าด้วยคำกล่าวเหล่านี้ไม่เว้นวัน
“ราษฎรรวมตัวกันร้องทุกข์ขอให้ปลดพระชายาไท่จื่อแห่งตงกงอย่างนั้นหรือ ไร้สาระสิ้นดี!” อวี้จิ่นตบโต๊ะฉาดใหญ่ โต๊ะตัวน้อยถูกเตะกระเด็นไปไกลลิบ
นางในที่คอยปรนนิบัติอยู่ในห้องนั้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
เจียงซื่อสอดส่ายสายตาไปที่นางใจพลางเอ่ยอย่างอ่อนสุภาพ “พวกเจ้าออกไปเถอะ”
บรรดานางในเร่งรี่ถอยออกไปประหนึ่งได้รับการอภัยโทษครั้งใหญ่
ด้านนอกตำหนัก ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
นางในคนแรกแสดงสีหน้ากังวลใจก่อนจะเข้าไปกระซิบหูนางในอีกคน “เจ้าว่าพระชายาของพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป หรือว่าจะต้องถูก…”
“อย่าพูดจาไร้สาระ คนนอกอาจไม่ทราบ แต่พวกเราทราบดีมิใช่รึว่าองค์รัชทายาททรงหวงแหนพระชายาเพียงใด เจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทจะปล่อยให้ข่าวลือไร้สาระนั่นมาทำร้ายพระชายางั้นรึ”
นางในขบริมฝีปาก “แต่บางครั้ง องค์รัชทายาทก็ไม่อาจตัดสินพระทัยเองได้ เพราะมีเรื่องขุนนางที่พุ่งชนเสาด้วยมิใช่หรือ…”
อาหมานที่ยืนอยู่บนบันไดหยกเท้าเอวพลางเอ็ด “นี่พวกเจ้าว่างนักหรือ หากยังปากเปราะเช่นนี้ แม่จะจับฉีกปากเรียงตัวเลยคอยดู!”
ตอนนี้อาหมานและอาเฉี่ยวถูกเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนางสนองพระโอษฐ์ อีกทั้งยังเป็นคนโปรดของพระชายาไท่จื่อ แล้วนางในคนใดจะกล้ามีปากเสียงกับพวกนาง ทันทีที่อาหมานในร่างยักษ์ปรากฏกายขึ้น นางในก็สลายตัวกันไปคนละทิศคนละทาง
อาหมานถ่มน้ำลาย ดึงหน้าถมึงทึง กลับหลังหันเดินไปหยุดยืนข้างอาเฉี่ยวพลางกล่าวอย่างเดือดดาล “น่าโมโหจริงเชียว คนนอกพูดซี้ซั้วข้ายังพอทน แต่ไอ้เจ้าพวกนี้มันปากไม่มีหูรูด”
อาเฉี่ยวหัวเราะ “พวกนางก็แค่เป็นห่วงพระชายา ไม่เห็นต้องกระฟัดกระเฟียดปานนั้น”
“ข้าต่างหากที่เดือดเนื้อร้อนใจแทนเจ้านาย เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”
อาเฉี่ยวกล่าวนิ่งเนิบ “ข้าเชื่อว่านายของพวกเราคงมีวิธีรับมือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านั่นคือเจ้านายของพวกเรา…”
อาเฉี่ยวเอ่ยเพียงครึ่งประโยค ในสมองของอาหมานกลับมีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา:ฃ ในค่ำคืนมืดมิด สายลมกระโชกแรง เจ้านายปราดมีดทำครัวไปที่กายส่วนล่างของผู้เคราะห์ร้ายพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ…
อาหมานสูดลมขุ่นๆ เข้าปอด และรู้สึกมั่นคงประหนึ่งภูเขาไท่ซาน
อาเฉี่ยวพูดถูก นั่นคือเจ้านายของพวกนาง
……
ในห้อง เจียงซื่อกำลังเกลี้ยกล่อมอวี้จิ่น “ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามที่เจ้าคาดการณ์ไว้มิใช่หรือ เจ้าจะระบายความโกรธใส่เก้าอี้ตัวเล็กๆ ทำไมกัน”
อวี้จิ่นเผยสีหน้ากะบึงกะบอน “ข้าไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าพูด แม้แต่ชาวบ้านตาดำๆ ยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์เจ้า”
เจียงซื่อไม่ได้คิดเช่นนั้น “คำพูดของคนมีอานุภาพยิ่ง ทำลายผู้คนไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่พวกเรามิได้ถูกข่าวลือนั้นควบคุมชีวิต พวกเรากำลังใช้ประโยชน์จากข่าวลือเหล่านั้น เพราะหลังจากนี้ ใต้หล้าก็อย่าคิดว่าจะมีโอกาสทำให้ชื่อเสียงของเจ้าและข้าแปดเปื้อนอีกเลย”
ขณะที่อวี้จิ่นจำยอมแม้ไม่เต็มใจ ตำหนักหย่างซินก็ส่งขันทีมาเชิญให้เขาไปที่นั่น
อวี้จิ่นเดินมาถึงตำหนักหย่างซิน วินาทีที่ก้าวเท้าเข้ามา หว่างคิ้วของเขากระตุกวูบ
ขุนนางทั้งหกกรมและเสนาบดีทั้งเก้าอยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ
ทันทีที่เห็นอวี้จิ่น เหล่าขุนนางก็ทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
อวี้จิ่นเดินเข้าไป ยกมือคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อมีรับสั่งเรียกหาลูกมีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเข้าขั้น ครั้นเห็นอวี้จิ่น เขาก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยน “ว่าด้วยเรื่องตงกง ขุนนางทั้งหลายมีเรื่องไม่พอใจ ข้าถึงได้เรียกเจ้ามา”
บรรดาขุนนางได้ยินดังนั้น ในใจอยากจะกลอกตากันเป็นแถว
ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว พวกเขาก็แค่เป็นห่วงความมั่นคงของแผ่นดิน มิได้ไม่พอใจตงกงเสียหน่อย
อวี้จิ่นปราดสายตาคมปลาบไปที่บรรดาขุนนาง พลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เอ่อ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องใดไม่พอใจเกี่ยวกับตงกงอย่างนั้นหรือ”
อวี้จิ่นแสดงท่าทีเย็นชา นัยน์ตาดำขลับเย็นวาบประหนึ่งก้อนหิมะ ไม่ว่าใครที่ถูกตาคู่นั้นจ้องมองล้วนแล้วแต่เย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ในชั่วอึดใจนั้นไม่มีใครกล้าปริปาก
ไท่จื่อน่ากลัวยิ่งนัก ก่อนหน้าสถาปนาเป็นท่านอ๋องยังกล้ามีเรื่องกับเหล่าองค์ชาย อีกทั้งยังเคยเสยหน้าอดีตไท่จื่อมาแล้วด้วย…
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นสภาพการณ์แล้วเริ่มมีน้ำโห
ไอ้เจ้าพวกตัวดี ทีต่อหน้าเขาส่งเสียงเอ็ดอึงอย่างกับเป็ดไก่ในตลาด เหตุใดพอเป็นไท่จื่อหน่อยล่ะหัวหดกันเป็นแถว
ความอดทนของจิ่งหมิงฮ่องเต้สิ้นสุดลงแล้ว เขาขานชื่อเรียกทีละคน “เสนาบดีกู้ เมื่อครู่เจ้ามีความเห็นมิใช่รึ เหตุใดพออยู่ต่อหน้าไท่จื่อถึงไม่พูดล่ะ”
เสนาบดีกู้แอบด่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงความเหี้ยมอยู่ในใจ ตาของเขาประสานเข้ากับสายตาเย็นเยือกของอวี้จิ่น กลั้นใจกัดฟันตอบ “กระหม่อมเห็นว่าข่าวลือของพระชายาไท่จื่อที่แพร่สะพัดท่ามกลางราษฎรไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป ควรต้องหาวิธีจัดการให้ได้โดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเสนาบดีกู้มีวิธี?” อวี้จิ่นเอ่ยถามเสียงเรียบ
เสนาบดีกู้สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ประสานมือไว้ที่อกพลางตอบ “ราษฎรลือลั่นว่าพระชายาไท่จื่อเป็นปีศาจมาจุติในแดนมนุษย์ ทำให้เมืองหลวงและอาณาบริเวณโดยรอบเกิดภัยแล้งแสนสาหัส…”
“ปีศาจ?” อวี้จิ่นฟังได้เพียงครึ่งเดียวก็เดือดขึ้นทันใด ฝ่ามือใหญ่ตบเข้าที่เสาทอง คล้ายกับห้องทั้งห้องสะทกสะท้านสั่นไหว
สภาพของเสนาบดีกู้คลับคล้ายเป็ดที่กำลังถูกบีบคอ ละล่ำละลักคำจุกอยู่ในลำคอ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตำหนิเสียงเข้ม “เจ้าจะตบอะไรกันหนักหนา ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเป็นไท่จื่อ!”
ตอนที่เขาเป็นไท่จื่อ เขาเคยตบเสาต่อหน้าเหล่าขุนนางและเสนาบดีงั้นหรือ ไอ้ลูกตัวดีทำอะไรไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลัง!
เมื่อกวาดตามองไปที่รอยฝ่ามือที่ประทับอยู่บนเสาทอง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบงัน
หากให้เขาตบ มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า…
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงชี้นำ เชิญเสนาบดีกู้ว่าต่อเถิด”
เสนาบดีกู้เงยหน้ามองฟ้า
จะให้พูดอะไรล่ะ เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสองปี
เหล่าขุนนางยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ
ใครจะไปกล้ายุ่ง…ไท่จื่อเป็นพวกใช้กำลัง ไม่ใช้สมอง หากได้ขึ้นเป็นประมุขเมื่อไหร่ควรทำอย่างไร
จะพูดให้ถูกคือ พวกเขาควรทำอย่างไรต่างหาก
อวี้จิ่นกวาดตาไปรอบๆ ส่งยิ้มพลางบอก “หากท่านใต้เท้าหมดธุระกับข้าแล้ว ข้าขอไม่รบกวนเวลาหารือของพวกท่านและเสด็จพ่อจะดีกว่า ช่วงนี้พระชายาเองกำลังรับศึกหนักจากข่าวลือไร้สาระ ข้าควรกลับไปอยู่เป็นเพื่อนนาง”
เสนาบดีกู้ได้ยินดังนั้นก็ขึ้งโกรธจนลืมความกลัวไปสิ้น
ในขณะที่ทุกคนกำลังจับตาดู ไท่จื่อยังกล้าพูดว่าจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพระชายา นี่จงใจจะบอกว่าทรงมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อพระชายาใช่หรือไม่ เปล่าเลย นี่เป็นการยั่วโมโหพวกเขาต่างหาก
ความเหิมเกริมร้ายกาจเพียงนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด!
“องค์รัชทายาท ข่าวนี้ถูกลือมานานแล้ว เกรงว่าจะส่งผลต่อความมั่นคงของตงกงพ่ะย่ะค่ะ…”
น้ำเสียงของอวี้จิ่นยังคงเรียบเฉย “ดังนั้นข้าถึงได้รอฟังวิธีจัดการของเสนาบดีกู้อย่างไรเล่า”
เสนาบดีกู้แอบสูดลมหายใจกลั้นใจกล่าว “วิธีการที่ดีที่สุดก็คือลดยศพระชายาไท่จื่อให้เป็นพระสนม และเลือกพระชายาไท่จื่อที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมมาแทน…”
อวี้จิ่นวาดบาทาปะทะเข้าร่างเสนาบดีกู้จนร่วงกองกับพื้น
ภาพเสนาบดีเฒ่านอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นทำจิ่งหมิงฮ่องเต้นึกขัน
เป็นอย่างไรล่ะ เขารู้อยู่แล้วว่าหากใครคิดจะเล่นงานภรรยาเจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ดจะสู้หัวชนฝา เจ้าพวกคนเก่าคนแก่พวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ไม่กี่ชั่วอึดใจถัดมา จิ่งหมิงฮ่องเต้แสร้งทำเป็นโกรธจัด “ไอ้ลูกตัวดี ถึงอย่างไรเสนาบดีกู้ก็เป็นรากฐานของราชสำนัก และเป็นเสาหลักมั่นคงของประเทศชาติ เจ้าไปเตะเขาแบบนั้นได้อย่างไร”
อวี้จิ่นคุกเข่าลงพลัน “ลูกยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงจิ่งหมิงฮ่องเต้แข็งขืน “ยอมรับผิดแล้วจะมีประโยชน์อันใด หากเจ้าเตะเสนาบดีกู้จนมีอันเป็นไปจะทำอย่างไร ทหาร พาตัวไท่จื่อไปนั่งสำนึกผิดที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนเดี๋ยวนี้!”
เหล่าขุนนางที่เพิ่งได้สติรีบเอ่ยห้าม “ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เก้าอี้ไท่จื่อนั่งยังไม่ทันอุ่นดีจะส่งไปสำนึกผิดที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนแล้วรึ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะไม่ซวยไปด้วยหรือ
เสนาบดีกู้เป็นอีกคนที่เอ่ยทัดทานฮ่องเต้
หากให้คนอื่นรู้ว่า ไท่จื่อถูกส่งไปที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนเพราะเตะเขา แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน