หมู่นี้จิ่งหมิงฮ่องเต้อารมณ์อยู่ในระดับพอใช้ เพราะถึงอย่างไรปีใหม่ก็ยังไม่ทันผ่านพ้นไป การรักษาอารมณ์ให้เป็นปกติสุขถือเป็นอีกหนึ่งงานขององค์จักรพรรดิ
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ตั้งแต่ไท่จื่อย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา ทุกอย่างยังคงดำเนินไปด้วยความราบรื่น
ยิ่งได้ยินข้าหลวงรายงานว่าไท่จื่อศึกษาตำราอย่างขะมักเขม้น และกำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
พานไห่เดินเข้ามา รายงานว่าหันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินมาขอเข้าเฝ้า
หนังตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกวูบ เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน “ให้เข้ามา”
เทศกาลซั่งหยวนยังไม่พ้นไปเลย หากหันหรานนำเรื่องเล็กมาทำให้เขาต้องอารมณ์เสีย เขาจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด!
หลังอวดศักดาแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับเปลี่ยนความคิด
เอาเรื่องเล็กๆ มาเถิด เรื่องใหญ่ๆ คงปวดเศียรเวียนเกล้าเอาการ
หันหรานเดินฉับเข้ามาถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะโต๊ะ “ว่ามา!”
หันหรานชะงักงัน ก้มศีรษะพลางเอ่ย “กราบทูลฝ่าบาท ผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อมพบเป่ยฉีจวิ้นจู่ที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงบนถนนซีซื่อพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลงคิดว่าตนได้ยินผิดไป “เจ้าว่าอะไรนะ เป่ยฉีจวิ้นจู่?”
เป่ยฉีจวิ้นจู่อยู่ที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงบนถนนซีซื่ออย่างนั้นหรือ
“เป่ยฉีจวิ้นจู่แฝงตัวมาเป็นแม่ค้าขายเซียงลู่ที่ต้าโจวอย่างนั้นรึ”
หันหรานช้อนตามองจิ่งหมิงฮ่องเต้ฉับไวก่อนจะหลุบตาตอบ “เป่ยฉีจวิ้นจู่เป็นคนงานในร้านเซียงลู่แห่งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาจิบชาเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ “สรุปแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่”
หันหรานเล่าเรื่องที่ขุนนางหงหลู่ซื่อเปิดเผยตัวตนหลูฉูฉู่ให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟัง “กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เป่ยฉีจวิ้นจู่ทำงานอยู่ในร้านเซียงลู่แห่งนี้มานานกว่าสองปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางพึมพำ “นี่เป่ยฉีกำลังจะ…”
หันหรานรีบกล่าวเสริม “ร้านเซียงลู่แห่งนั้นเป็นของพระชายาไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำชาในมือจิ่งหมิงฮ่องเต้แทบกระฉอกจากถ้วย
“แล้วพระชายาไท่จื่อทราบตัวตนของเป่ยฉีจวิ้นจู่หรือไม่”
หันหรานเผยสีหน้าลำบากใจ “กระหม่อมยังไม่มีโอกาสได้ถามพระชายาไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้น แล้วนั่งลง ฉุกคิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ “หมายความว่าเรื่องคนงานร้านเซียงลู่คือเป่ยฉีจวิ้นจู่กระจายออกไปแล้วงั้นรึ”
หันหรานตาตกมองพื้น “ไม่เพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ มีคนลือถึงขนาดว่าร้านเซียงลู่เกี่ยวโยงกับพระชายาไท่จื่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เบิกกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย
เรื่องบังเอิญอย่างขุนนางในหงหลู่ซื่อรู้จักหน้าตาของเป่ยฉีจวิ้นจู่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การที่มีคนป่าวประกาศว่าเรื่องนี้โยงใยไปถึงพระชายาไท่จื่อไม่แปลกไปหน่อยหรือ
หากในอดีตไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น บัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้คงแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดเพราะพระชายาไท่จื่อเปิดร้านน้ำหอมเซียงลู่ไปแล้ว แต่ทว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกสงสัยเสียมากกว่า
สรุปแล้วนี่เป็นเพียงเหตุบังเอิญ หรือว่ามีคนจงใจพุ่งเป้าไปที่ไท่จื่อ
“พานไห่ ไปเชิญไท่จื่อและพระชายามาเดี๋ยวนี้”
พานไห่รีบไปตามรับสั่ง
อวี้จิ่นที่เพิ่งเสร็จจากการศึกษาตำรากลับไปถึงตำหนักแล้ว ขณะนี้เขากำลังนั่งสนทนาอยู่กับเจียงซื่อ เมื่อได้ยินว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกให้ไปเข้าเฝ้าจึงกล่าวแก่เสี่ยวเล่อจื่อว่า “เล่อกงกงคอยเดี๋ยว ข้าจะรีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เดี๋ยวนี้”
เสี่ยวเล่อจื่อมิได้ติดใจอะไรกับการขอให้รอเดี๋ยว เขาจึงคอยอยู่ที่ห้องรับรอง
ขณะที่อวี้จิ่นกำลังเปลี่ยนชุด เขาหันไปกล่าวแก่เจียงซื่อด้วยเสียงเบาสบาย “เสด็จพ่อเรียกพวกเราไปเข้าเฝ้าพร้อมกันเช่นนี้ ปีศาจเฒ่าคงแสดงอิทธิฤทธิ์แล้วเป็นแน่”
เจียงซื่อผุดยิ้ม “ก็มิได้กำลังรอให้นางลงมือหรอกรึ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเราขลุกอยู่แต่ในวังหลวง หากนางเลือกจะลงมือ ที่ที่เหมาะสุดที่สุดคงเป็นร้านเซียงลู่ของเจ้า”
ระหว่างทางที่เจียงซื่อเดินทางลงใต้เพื่อไปช่วยเจียงจั้น นางบังเอิญพบบุรุษเป่ยฉีสองคน จึงได้ทราบว่าทั้งคู่มาที่ต้าโจวเพื่อตามหาจวิ้นจู่ หลังจากทำให้ทั้งสองหวาดกลัว นางได้ปล่อยตัวพวกเขาไป โดยที่หลงต้านส่งคนไปสะกดรอยตาม
ในตอนนั้นคนของหลงต้านตามมาถึงเมืองหลวง และเห็นว่าบุรุษเป่ยฉีทั้งสองเดินหาไปทั่วเมือง และสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียง
ที่แท้หลูฉูฉู่คนดูแลร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงอีกคนก็คือฉี่หลัวจวิ้นจู่แห่งเป่ยฉี!
ในตอนนั้นก็พอเดาได้ว่าลูกน้องของเฉินกวงหวาดผวาเพียงใด
ลูกน้องทั้งสองนำสารอันน่าตื่นตะลึงมาแจ้งแก่เฉินกวง เฉินกวงก็รีบนำเรื่องนี้มาแจ้งแก่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นนำเรื่องมาปรึกษากับเจียงซื่อ และตัดสินใจว่าจะยังไม่ทำอะไร
หลูฉูฉู่อยู่ที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงอย่างสงบมาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่านางเลือกที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้ นางละทิ้งสถานะเป่ยฉีจวิ้นจู่มาพึ่งพิงต้าโจวอาจเป็นเพราะมีบางสิ่งทำให้นางรู้สึกลำบากใจ
สำหรับเจียงซื่อ หลูฉูฉู่คือสหาย การที่นางเป็นคนเป่ยฉีไม่อาจทำลายมิตรภาพของระหว่างทั้งคู่ได้
แต่เนื่องจากสถานะของหลูฉูฉู่มีความพิเศษกว่าคนอื่นๆ นางจึงจำเป็นต้องส่งคนไปสะกดรอยตาม เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน
“นี่นับว่าเป็นไปตามคาดมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้ขมวดคิ้วเช่นนั้น”
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของหญิงสาวพลางกล่าวอย่างจนใจ “ข้าเสียใจที่เอาเจ้าเข้ามาเกี่ยวด้วยน่ะสิ”
เจียงซื่อกลอกตา “ไม่เห็นต้องเอ่ยวาจาเช่นนั้น เราเป็นสามีภรรยากัน จะให้เจ้าแบกรับปัญหาไว้คนเดียว ส่วนข้าควรนั่งดูอยู่เฉยๆ อย่างนั้นหรือ”
อวี้จิ่นก้มศีรษะเร็วรี่ “พระชายาตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทั้งคู่เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปจากห้อง
“ปล่อยให้เล่อกงกงต้องคอยนาน”
เสี่ยวเล่อจื่อรีบกล่าว “องค์รัชทายาทอย่าตรัสเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระองค์เสด็จตามบ่าวมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นและเจียงซื่อเดินเข้ามา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ขยับมุมปากพลางกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ทราบหรือไม่ว่าข้าเรียกพวกเจ้าทั้งสองมาทำไม”
“ลูกไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ / เพคะ ขอเสด็จพ่อโปรดทรงชี้แนะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตาไปที่ทั้งสอง และฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ร้านเซียงลู่เป็นร้านที่เจ้าเจ็ดซื้อให้ลูกสะใภ้ นั่นก็หมายความว่าปัญหาคราวนี้มีต้นตอมาจากเจ้าเจ็ด สะใภ้เจ็ดคงมิรู้อีโหน่อีเหน่ ฉะนั้นไฟโกรธจึงพุ่งตรงไปที่อวี้จิ่น ครั้นต่อว่าสาดเสียเทเสียจนหนำใจแล้วจึงปล่อยทั้งสองไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เจียงซื่อไม่ถูกตำหนิเลยสักประโยคเดียว
อวี้จิ่นที่ถูกบ่นจนหูชากลับมาถึงตำหนักบูรพาแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าเฉลียวใจเหลือเกินว่าข้าเป็นลูกแท้ๆ หรือเกิดจากก่อไผ่กันแน่”
เจียงซื่อคร้านจะต่อล้อต่อเถียงจึงเอ่ยเพียงว่า “ต่อจากนี้ร้านลู่เซิงเซียงคงต้องปิดกิจการถาวร น่าเสียดายเหลือเกิน”
อวี้จิ่นชำเลืองไปทางห้องทรงพระอักษรก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ไว้เปิดร้านใหม่ก็ได้”
“อื้อ รอให้เรื่องนี้คลี่คลายก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
เมื่อเอ่ยถึงปัญหาตรงหน้า อวี้จิ่นก็หัวเราะเสียงเย็น “ไทเฮาสูญเสียกำลังคนไปมาก อีกทั้งยังตัดความสัมพันธ์กับอูเหมียว ตอนนี้นางคงเหลือทางเลือกไม่มากนัก ใต้เท้าเจินจะช่วยสืบประวัติของขุนนางหงหลู่ซื่อผู้นั้น และข้าให้คนจับตาดูคนที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนที่พยายามโยงใยมาถึงเจ้า ขุดไชเท้าแล้วจะมีดินติดขึ้นมาด้วยหรือไม่อีกไม่นานคงได้รู้กัน”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย
ไทเฮาไม่สามารถออกจากวังหลวงได้ตามอำเภอใจ แสดงว่าที่นอกวังมีคนจงใจปล่อยข่าวลือเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
หากจับคนพวกนั้นได้ก็อาจพบจุดอ่อนของไทเฮาด้วยเช่นกัน
เจียงซื่อเป็นผู้เสนอข้อสันนิษฐานนี้
นางสงสัยเรื่องอดีตไท่จื่อมาตลอด
เมื่อชาติที่แล้วนางรู้เพียงว่าอดีตไท่จื่อและหยางเฟยเป็นชู้กัน เนื่องจากจู่ๆ ข่าวนี้ก็ลือลั่นในหมู่ราษฎร และลามไปทั่วในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีความเป็นไปได้มากว่า ด้วยแรงกดดันมหาศาลนี้เป็นเหตุทำให้เขาก่อกบฏ ซึ่งนำไปสู่การปลดไท่จื่อครั้งที่สอง และโทษประหารชีวิตในท้ายที่สุด
แต่ในชาตินี้ ข่าวฉาวเรื่องการปลดอดีตไท่จื่อมิได้ถูกแพร่งพรายออกไป
เจียงซื่อจึงสงสัยว่าหรือเป็นเพราะนางและอวี้จิ่นตัดสินใจก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการช่วงชิงอำนาจจึงทำให้อดีตไท่จื่อต้องพบกับอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน ตัวการที่หลบอยู่เบื้องหลังอย่างไทเฮาที่จ้องจะปลดอดีตไทจื่อถึงได้เปลี่ยนใจ
แต่สิ่งที่แน่ใจได้แล้วตอนนี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดก็คือไทเฮา
ในหมู่ราษฎรเหล่านั้น ไทเฮาชุบเลี้ยงกำลังคนกลุ่มหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ปล่อยข่าวโดยเฉพาะ
“ข้าทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วย” อวี้จิ่นเอ่ยอย่างถอนใจ
เจียงซื่อแย้มยิ้ม “ช่างเถิด”
เป็นไปตามที่ทั้งสองคาด ไม่นานในเมืองหลวงก็มีข่าวเล่าอ้างเรื่องพระชายาไท่จื่อเกี่ยวโยงกับไส้ศึกเป่ยฉี และเริ่มมีคนเล่าขานถึงข่าวถอนหมั้นในอดีตของพระชายาไท่จื่อ