เมืองหลวงของต้าโจวถือเป็นเมืองที่เฟื่องฟูรุ่งเรืองที่สุด คนมากมายมีทรัพย์สินเหลือเฟือเพียงพอสำหรับการแบ่งปัน จำนวนสถานสงเคราะห์จึงมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน บ้างก็อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง บ้างก็อยู่ภายใต้ความดูแลของตระกูลสูงศักดิ์ แต่ก็มีสถานสงเคราะห์ขนาดเล็กอีกหลายแห่งที่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถือครอง
ภรรยาของจูตัวฮวนมาจากสถานสงเคราะห์ขนาดเล็กที่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถือครอง มิหนำซ้ำสถานสงเคราะห์แห่งนั้นยังถูกไฟไหม้ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน บรรดาเด็กกำพร้าที่เหลือเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
หันหรานพยายามสืบเสาะเบาะแสเกี่ยวกับคู่สามีภรรยาจูตัวฮวน ผลจากการสืบสวนหลายช่องทางได้ข้อสรุปว่าภรรยาของจูตัวฮวนเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งมาจากสถานสงเคราะห์แห่งนั้น
เมื่อสืบค้นลึกลงไป หันหรานพบว่าสถานสงเคราะห์แห่งนั้นเคยได้รับทุนทรัพย์อุดหนุนจากบุคคลลึกลับ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นใจคือบุคคลลึกลับที่ว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยไปถึงวังหลวง
หันหรานจ้องไปที่รายงานอย่างเหม่อลอยก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างแรง ดูเหมือนคงต้องหยุดเพียงเท่านี้
เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เป็นหูเป็นตาให้องค์จักรพรรดิ ไม่ว่าเขาจะค้นพบเรื่องใดก็ควรรายงานเบื้องบนทั้งสิ้น
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขายังยืนหยัดในหน้าที่อยู่ได้
แต่หากรายงานผลการสืบสวนนี้ ฝ่าบาทคงจะออกงิ้วเป็นแน่
ลังเลอยู่นานหลายวัน สุดท้ายหันหรานก็กลั้นใจเข้าไปในวังหลวง
ฤกษ์มงคลครั้งใหม่ถูกกำหนดไว้แล้ว เหตุการณ์สุริยคราสคราวนั้นกลายเป็นปนในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ตราบใดที่เรื่องยังไร้ข้อสรุป อาการนอนไม่หลับของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ดูเหมือนจะยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ
ครั้งแรกอาจจะโชคดีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วหากเกิดเรื่องร้ายซ้ำอีกเล่า การสถาปนารัชทายาทของต้าโจวมิเคยยุ่งยากเท่านี้มาก่อนเลย
“ได้เบาะแสอย่างไรบ้าง”
หันหรานภายใต้ใบหน้าเคร่งเครียดส่งสมุดพับทูลไว้เบื้องหน้า
พานไห่เข้ามารับด้วยสองมือก่อนจะนำไปถวายให้จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้คลี่สุมดพับ กวาดสายตาเร็วรี่ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน
หันหรานรีบก้มศีรษะต่ำ เหงื่อกาฬชื้นแฉะเต็มฝ่ามือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองหันหรานด้วยสายตาเย็นชา และขว้างพับกระดาษไปที่ข้างเท้าของเขา
เสียงสมุดพับกระแทกเข้ากับพื้นอิฐสีทองมันปลาบส่งเสียงดังสนั่นประหนึ่งค้อนขนาดใหญ่ทุบเข้าที่กลางอก ชวนให้กายสั่นสะท้าน
หันหรานคุกเข่าเงียบงัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน มือยันโต๊ะ แผดเสียงถามด้วยใบหน้าคล้ำหม่น “นี่คือเบาะแสที่เจ้าหามาได้อย่างนั้นรึ”
หันหรานก้มศีรษะต่ำ โพล่งคำตอบสั้นกระชับ “พ่ะย่ะค่ะ”
“สถานสงเคราะห์ที่เปิดทำการเมื่อยี่สิบปีก่อนมีความเกี่ยวข้องกับวังหลวง เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าปัญหาอยู่ที่ไทเฮาอย่างนั้นรึ” คำว่าไทเฮาค้างอยู่ที่ปลายลิ้นของจิ่งหมิงฮ่องเต้ชั่วครู่กว่าจะเปล่งออกมา
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งการสืบสวนลับจะเกี่ยวข้องกับไทเฮา โอกาสที่จะถามคำถามนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
คำถามของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ต่างอะไรจากภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับร่างของหันหราน เขาค้อมเอวต่ำลงกว่าก่อน
หันหรานขบฟันกรามแน่น พยายามกุมสติให้มั่น “กระหม่อมมิบังอาจคาดเดาเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่มีหน้าที่จดบันทึกทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินลงในรายงาน และนำมาถวายให้พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หันหรานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ถึงแม้รายละเอียดที่จดจารอยู่ในสมุดพับจะข้องเกี่ยวกับผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง แต่มิได้มีท่อนใดชี้เป้าไปที่ไทเฮา การที่ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้กำลังหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ตลอดสองปีที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เป็นไปได้ไหมว่าฝ่าบาทอาจสงสัยในตัวไทเฮาแต่ทรงไม่รู้ตัว
หันหรานใคร่ครวญทว่ามิได้แสดงออกผ่านสีหน้า เขายังคงนิ่งคอยท่าอยู่อย่างนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เป่าลมไปที่เครา สายตายังคงเขม้นเพ่งจ้องไปที่หันหรานที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง ผ่านไปไม่นาน เขาพ่นลมออกมาด้วยความโกรธเคือง “นับวันหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยิ่งไร้ประโยชน์ ไสหัวกลับไปสืบต่อเดี๋ยวนี้!”
หันหรานรู้สึกคล้ายกับได้รับอภัยโทษ “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นหันหรานกระวีกระวาดเร่งรี่ออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งโกรธจัด
ไม่ได้เรื่องเลยสักคน อุตส่าห์ให้หน่วยองครักษ์จิ่นหลินไปสืบเรื่องหลิงไถหลางขั้นห้า แต่กลับไปสืบเรื่องไทเฮาเสียได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินพล่านอยู่ในห้องด้วยอารมณ์ขุ่นมัว บาทายกสูงเตะเข้าที่สมุดพับที่เขาขว้างลงเต็มรัก
สมุดพับกระดอนพลิกไปมาตามแรงส่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปราดสายตาคมปลาบไปที่พานไห่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายังคงยืนนิ่ง สีหน้าของเขาก็หม่นลง “ยังไม่รีบเก็บขึ้นมาอีก!”
เขาขว้างสมุดพับ แล้วเขาต้องเป็นคนเก็บเองอย่างนั้นหรือ
เจ้าพานไห่เนี่ยนะ ยิ่งอายุมาก ไหวพริบก็ยิ่งหดหาย กลายเป็นคนแก่เลอะเลือนเต็มตัวไปแล้ว
พานไห่รี่เข้าไปเก็บสมุดพับขึ้นมา ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดฝุ่นจนหมดจดก่อนจะส่งให้จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้รับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ออกไป ข้าต้องการความสงบ”
พานไห่ลอบถอนหายใจ ดุ่มเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร
เขาคิดว่าฝ่าบาทควรสงบสติอารมณ์
ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้อง จิ่งหมิงฮ่องเต้ถือสมุดพับ สติล่องลอยไปไกล
จูตัวฮวนที่เกือบจะผลักไท่จื่อองค์ใหม่ไปสู่หายนะเกี่ยวข้องกับสถานสงเคราะห์ที่เปิดทำการเมื่อยี่สิบปีก่อน
หรือจะบอกอีกนัยหนึ่งคือ คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าเจ็ดเปิดสถานสงเคราะห์แห่งนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน และทุกวันนี้ก็ยังควบคุมเด็กกำพร้าเหล่านั้น
ใครกันที่มีความอดทนรอคอยยาวนานเช่นนี้
เมื่อยี่สิบปีก่อน ฮองเฮาองค์ใหม่ก็ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวังหลวง
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำสมุดพับแน่น สีหน้าเครียดขรึมคล้ำหม่น
หากในวังหลวงมีคนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ เกรงว่าคงมีแค่… เค้าลางคุ้นตาแวบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ความเจ็บแปลบแผ่ซ่านไปทั้งทรวง
หรือว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกี่ยวข้องกับเสด็จแม่
จิ่งหมิงฮ่องเต้เก็บสมุดพับอย่างดี และเดินออกไป ขาของเขานำเขามายังตำหนักฉือหนิง เขาหยุดยืนนิ่งด้านนอกเป็นนาน
พานไห่เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ฝ่าบาท ทรงต้องการให้รายงานหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง” จิ่งหมิงฮ่องเต้สลัดความตั้งใจที่จะพบไทเฮาออกจากหัว กลับหลังหัน เดินไปที่ตำหนักคุนหนิง
ไม่มีการกล่าวรายงาน จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินนำพานไห่เข้าไปด้านใน
ฮองเฮากำลังกินอีกแล้ว
คราวนี้มิใช่องุ่น แต่เป็นลูกท้อ
ลูกท้อหวานฉ่ำถูกหันเป็นชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง นางในใช้ด้ามเงินขนาดเล็กจิ๋วจิ้มเนื้อผลไม้ส่งเข้าปากฮองเฮา ชิ้นเนื้อพอดีคำ ไม่เฉียดโดนสีชาดที่ระบายอยู่บนริมฝีปากเลยแม้แต่น้อย
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดนิ่งอยู่ที่ลูกท้อ สีหน้าค่อยๆ คล้ำหม่นลง
ตลอดเวลาที่เขาไม่ได้มาที่นี่ ฮองเฮานั่งกินอยู่ตลอดเลยหรือ
เขามีเรื่องหนักหนาทุกข์ใจ กลัดกลุ้มจนพุ่มผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน แต่ฮองเฮากลับทำเช่นนี้กับเขาอย่างนั้นรึ
เพราะใจอิจฉาริษยา จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงลืมตัวไปชั่วขณะ
ฮองเฮาเช็ดปากก่อนจะเดินออกไปต้อนรับ “ฝ่าบาทเสด็จมา เหตุใดถึงไม่ให้ข้าหลวงกล่าวรายงานเล่าเพคะ หม่อมฉันจะได้ออกไปรับเสด็จ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงมุมปาก ยัดเนื้อลูกท้อสองชิ้นเข้าปากในคราวเดียวก่อนจะส่งสัญญาณให้ข้าหลวงออกไป
“หมู่นี้ฝูชิงเป็นอย่างไรบ้าง”
ครั้นเอ่ยถึงฝูชิง อารมณ์ของฮองเฮาก็ดำดิ่ง นางส่งยิ้มขมขื่น “นางเป็นเด็กอ่อนไหวง่าย จึงล้มป่วยเพราะเรื่องของสิบสี่ จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมทานอะไร หม่อมฉันโน้มน้าวเท่าไหร่ก็ไม่ฟังเพคะ…”
“ฮองเฮาเลือกคนที่เหมาะสมไว้แล้วหรือยัง ฝูชิงก็มิใช่เด็กๆ ควรแก่การออกเรือนได้แล้ว”
ฮองเฮงนิ่งอึ้ง “ฝ่าบาทมิได้ทรงตรัสไว้ว่ารอให้หาตัวคนร้ายที่ทำร้ายฝูชิงให้ได้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องงานอภิเษกของนางภายหลังหรือเพคะ”
“เลือกราชบุตรเขยให้ดี อย่าปล่อยให้นางต้องคอยอีกเลย”
ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องงานแต่งงานของฝูชิงขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ คงต้องมีสาเหตุเป็นแน่
ครั้นเห็นฮองเฮาติดจะลังเล จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงหัวเราะพลางเอ่ย “นี่ก็ใกล้ช่วงสอบชิวเหวยแล้ว หากฮองเฮายังไม่มีผู้ใดในใจ ก็จับตาดูการสอบชิวเหวยและการสอบชุนเหวยว่ามีปราชญ์หนุ่มคนใดคู่ควรที่จะเป็นคู่ครองของนาง”
ยังไม่ทันจะสิ้นคำ ฮองเฮาก็หัวเราะร่า “หากพูดถึงปราชญ์หนุ่มแล้วล่ะก็ มิต้องรอสอบชิวเหวย หรือชุนเหวยให้ยุ่งยากเลยเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าบุตรชายของใต้เท้าเจินผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครยังไม่มีคู่ครอง เขาเป็นจ้วงหยวนหลางที่สอบได้คะแนนสูงสุดในทุกระดับขั้นตอนการสอบจอหงวน ฝ่าบาททรงคิดว่าเขาเหมาะจะมาเป็นสวามีให้กับฝูชิงหรือไม่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังที่ฮองเฮาพูด เคี้ยวลูกท้อพลางคิด
ให้นิมิตมงคลแห่งต้าโจวเป็นสวามีของฝูชิงอย่างนั้นหรือ ความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว