ผ่านไปไม่นาน ย่วนสื่อหัวหน้าสำนักหมอหลวงก็มายืนอยู่ตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ไท่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง” จิ่งหมิงฮ่องเต้อดใจรอไม่ไหวตรัสถามออกไป
อย่ามาโทษว่าเขาใจร้อน พรุ่งนี้เป็นวันสถาปนาไท่จื่อแล้ว!
ใบหน้าแก่ๆ ของย่วนสื่อเหี่ยวเหมือนดอกเก๊กฮวย เขาเอ่ยพูดอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท อาการท้องเสียของไท่จื่อได้มีการให้โอสถแบบน้ำไปแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น…”
“จะมีผลกระทบต่อการมอบตำแหน่งพรุ่งนี้หรือไม่”
ย่วนสื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความกล้า มองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้
แล้วท่านว่าอย่างไรล่ะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ “…” เขารู้แล้ว
แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามออกไปอีกครั้ง “เป็นไปได้ไหมว่ายาไม่ถูกกับโรค”
ย่วนสื่ออดทนพยายามไม่กลอกตา เอ่ยตอบ “กระหม่อมวินิจฉัยโรคดูหลายรอบ ลองยาไปเกือบครึ่ง อาการท้องเสียของไท่จื่อดีขึ้นแล้ว ทว่ายังคงไม่หายดี ตอนนี้ไท่จื่อไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ลุกออกจากเตียงไม่ได้ หากพรุ่งนี้ฝืนมาร่วมพิธีมอบตำแหน่ง เกรงว่าอาจจะขายหน้าได้…”
ปกติเขาไม่มีทางพูดออกมาชัดเจนขนาดนี้ แต่นี่เป็นการสถาปนาไท่จื่อ ไม่ใช่แค่เบื้องบนและใต้ล่างของต้าโจวให้ความสนใจ เมืองที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้นยังให้ความสนใจด้วย ตอนที่ไท่จื่อเข้าร่วมพิธีสถาปนา…เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ ย่วนสื่อก็เห็นเพียงแต่ความมืดมิด
เขาเป็นคนต้าโจว ยังถือว่ามีความละอายใจอยู่!
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพูดออกไปเช่นนี้ เพื่อทำลายความเพ้อฝันของฝ่าบาท
คำพูดเช่นนั้นกระทบกระเทือนจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างแรง จึงตรัสพึมพำออกมา “หากเป็นเช่นนี้ พิธีสถาปนาในวันพรุ่งนี้ก็ต้องเปลี่ยนงั้นหรือ”
ย่วนสื่อไม่กล้าพูดต่อ
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วรึ”
ครั้งนี้ย่วนสื่อสามารถพูดต่อได้ “หากไท่จื่อเป็นโรคอื่นก็อาจจะใช้ยาเพื่อประคับประคองอาการไปได้ ทว่านี่มันท้องเสีย…”
ท้องเสียมันอั้นได้ที่ไหนกัน เมื่อก่อนฝ่าบาทไม่ใช่คนใสซื่อขนาดนี้นี่นา
บอกได้แค่ว่าโชคร้าย ถ้าไท่จื่อปวดเอวเจ็บขาก็ยังพอมีวิธีรับมืออยู่
จิ่งหมิงฮ่องเต้เศร้าสลด ตรัสพูดออกไปอย่างหมดปัญญา “ช่างเถอะ เช่นนั้นพิธีสถาปนาในวันพรุ่งนี้ก็ยกเลิกไป พานไห่แจ้งประสงค์นี้ออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” พานไห่ขานรับ รีบประกาศแจ้งเรื่องเร่งด่วน
วันพรุ่งนี้ต้องเริ่มพิธีสถาปนาแล้ว หากไม่รีบแจ้งประสงค์ยกเลิกพิธีสถาปนา พรุ่งนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนมากันตรึมคงกลายเป็นเรื่องน่าขันแย่
พานไห่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ
จะว่าไปแล้ว เยี่ยนอ๋อง ไม่ ไท่จื่อองค์ใหม่ชะตาไม่ค่อยดีนัก เหตุใดถึงต้องมาท้องเสียเวลานี้ด้วย
พอมีข่าวยกเลิกพิธีสถาปนาเพราะไท่จื่อท้องเสียแพร่งพรายออกไป ความอับอายก็ตกไปอยู่ที่บ้านท่านยายของเจียงซื่อด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ กลับไปเถอะ” เมื่อตัดสินใจได้เพราะหมดหนทาง จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นย่วนสื่อจากสำนักหมอหลวงแล้วรู้สึกหงุดหงิดจึงรีบไล่กลับไป จากนั้นขลุกตัวอยู่ในห้องด้วยความไม่พอใจ
พานไห่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ “ฝ่าบาท กระหม่อมแจ้งประสงค์ออกไปเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“อืม” จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย คิดดูก็โกรธไม่ลง ตรัสพูดออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรียกไท่จื่อเฟยเข้าวัง”
……
เจียงซื่อได้เตรียมพร้อมสำหรับการถูกเรียกพบแล้วเล็กน้อย นางแสดงความเคารพด้วยท่าทางสง่างาม “ถวายบังคมเพคะเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิ่งฮ่องเต้สะบัดเคราเล็กน้อย “นั่งลงเถอะ”
ไม่นานพานไห่ก็ยกเก้าอี้ตัวเล็กออกมาวางข้างๆ เจียงซื่อ
เจียงซื่อนั่งลงด้วยท่าทางเรียบร้อย รอจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสพูด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถือพัดพลางตรัสถาม “เจ้าเจ็ดอาการดีขึ้นรึยัง”
“หมอหลวงหลายท่านพยายามรักษาอย่างเต็มที่จึงอาการดีขึ้นแล้วเพคะ” เจียงซื่อหยุดคิดสักพัก เอ่ยพูดออกไปน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อวานท้องเสียไปสิบครั้ง ส่วนวันนี้จนถึงตอนนี้ท้องเสียไปเพียงแค่เจ็ดแปดครั้งเองเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ “…” นี่เรียกว่าดีขึ้นแล้วรึ
“เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ท้องเสียล่ะ”
เจียงซื่อหลุบตาลง สีหน้าราบเรียบ “บางทีอาจเพราะในงานเลี้ยงช่วงนี้กินของที่มีน้ำมันเยอะเกินไป และตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูร้อนพอดี…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “อากาศร้อนเช่นนี้จะกินของมีน้ำมันอะไรกัน”
เจ้าบ้านี่หัดอยู่ในกรอบไม่ได้เลยรึไง
เจียงซื่อตอบออกไปด้วยความสัตย์จริง “ไท่จื่อชอบทานขาหมูหมักซีอิ๊ว เนื้อนึ่ง ขาหมูตุ๋น…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็กลอกตา ตรัสออกมาอย่างอดไม่ได้ “อาหารในฤดูร้อนควรจะทานเป็นอาหารรสจืด กินของพวกนี้ได้อย่างไร”
เจียงซื่อเงยหน้ามองจิ่งหมิงฮ่องเต้ เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้ และเกลี้ยกล่อมให้ไท่จื่อกินอาหารรสจืด”
“เขาไม่ฟังหรือ”
ไม่น่าเป็นไปได้
เจียงซื่อถอนหายใจ พลางแสดงความรู้สึกปวดใจ “ไท่จื่อบอกว่าช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนทางใต้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหล่าทหาร มีโอกาสน้อยนักที่จะได้กินเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์มื้อใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงชอบกินมากเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบ
หายโกรธขึ้นมาทันที แถมยังรู้สึกว่าเจ้าเจ็ดน่าสงสารเล็กน้อย…
จิ่งหมิงฮ่องเต้น้ำเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว “กลับไปบอกเจ้าเจ็ด จากนี้ไปจะไม่ขาดเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นอย่ากินเช่นนี้อีก”
เจียงซื่อลุกขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ที่จริงไท่จื่อก็ทราบดีว่าทำให้เสด็จพ่อทุกข์ใจ จึงกำลังตำหนิตัวเองอยู่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ตำหนิตัวเองไปก็ไร้ประโยชน์ รีบรักษาร่างกายให้ดีขึ้นดีกว่า เอาล่ะ เจ้ากลับไปดูแลเจ้าเจ็ดเถอะ”
รอจนกระทั่งเจียงซื่อเดินออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกพัดไปมาเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจ “จะว่าไป ข้าเองที่ไม่ยุติธรรมต่อเจ้าเจ็ด”
พานไห่ที่ยืนอยู่ในมุมอยากจะหัวเราะออกมา
ฝ่าบาทที่ไร้เดียงสาของข้า ไหนบอกว่าจะด่าไท่จื่อสักยกไม่ใช่หรือ
ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยนอ๋องได้เป็นไท่จื่อ แม้แต่กินดื่มเรื่อยเปื่อยจนท้องเสียจึงต้องเปลี่ยนวันจัดพิธีมอบตำแหน่งไท่จื่อ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นประวัติการณ์ และคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับความสงสารจากฝ่าบาท
พอนึกถึงไท่จื่อไร้ประโยชน์ที่มักจะถูกฝ่าบาทก่นด่าอยู่เป็นประจำ…พานไห่ก็ยิ่งมีความคิดแน่วแน่ว่าจะทำตัวดีๆ กับไท่จื่อองค์ใหม่มากขึ้น
เมื่อข่าวเปลี่ยนวันจัดพิธีสถาปนาถูกประกาศออกไป ทั้งราชสำนักก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที
คาดไม่ถึงเลยว่าร่างกายไท่จื่อจะไม่พร้อมก่อนพิธีสถาปนา นี่ไม่ใช่ลางที่ดีเลย
เป็นไปได้ไหมว่าสวรรค์อาจรู้สึกว่าไท่จื่อองค์ใหม่ไม่เหมาะสม ก็บอกแล้วว่าฝ่าบาทรีบตัดสินใจเกินไป!
ไม่รู้ว่ามีคนคิดเช่นนี้กี่คน ขุนนางที่มีความกล้าและไม่พอใจกับการตัดสินใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มเขียนรายงานแล้ว
วันนั้นมัวแต่รอให้คนอื่นเสนอหน้าออกไปก่อน สุดท้ายรอกันไปรอกันมาก็ได้แต่อึ้งไปตามๆ กัน ครั้งนี้รออีกไม่ได้แล้ว เมื่อเข้าว่าราชการอีกครั้งจะต้องเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทพิจารณาเรื่องการสถาปนาไท่จื่อใหม่
เมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางที่รู้สึกแปรปรวนในใจ ไทเฮาที่ทราบเรื่องชาไปทั้งตัว นั่งเงียบๆ พิงฉากกั้นห้อง อยู่นาน
เพราะอวี้จิ่นท้องเสียจึงไม่สามารถเข้าพิธีมอบตำแหน่งไท่จื่อได้งั้นหรือ
นี่เป็นเพราะฟ้าลิขิตหรือว่าเขาดูออกกันแน่
เป็นไปไม่ได้ที่จะดูออก หมากลับในสำนักหอดูดาวหลวงที่วางไว้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นอวี้จิ่ยังเป็นเด็กอยู่เลย
หลังจากนั้นไม่นาน ไทเฮาลุกขึ้นมาช้าๆ เดินไปที่หน้าต่าง
แสงอาทิตย์สว่างจ้าภายนอกหน้าต่าง ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีเรื่องที่น่ากลัวเกิดขึ้น
พิธีมอบตำแหน่งไท่จื่อไม่อาจถูกจัดตามวันที่กำหนดได้ ทว่าสุริยคราสยังคงมาถึงตรงตามเวลา
หลังจากวันพรุ่งนี้ไป สำนักหอดูดาวหลวงจะต้องเผชิญหน้ากับการตรวจสอบอย่างละเอียด หมากลับที่ไร้ประโยชน์แล้วก็คงต้องกำจัดทิ้ง
หรือว่านี่คือชะตาที่สวรรค์ลิขิต
ไทเฮามองไปนอกหน้าต่าง เหม่อลอยอยู่นาน รู้สึกใจหายเล็กน้อย
……
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากพิธีมอบตำแหน่งไท่จื่อถูกยกเลิก เหล่าขุนนางล้วนถกแขนเสื้อ ถือสาส์นกราบทูลราชการของขุนนางมาร่วมว่าราชการ
วันนี้ต้องดุเดือดมากแน่ จะปล่อยฝ่าบาทหนีไปอีกไม่ได้!
ท่ามกลางการรอคอยและความมุ่งมั่นของเหล่าขุนนาง จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินกรีดกรายเข้ามาทั้งๆ ที่สายแล้ว
พานไห่กระแอมเสียงพลันตะโกนออกไป “มีเรื่องอันใดก็กราบทูล หากไม่มีก็จบการว่าราชการ…”
ทันใดนั้นก็มีขุนนางกลุ่มหนึ่งยืนขึ้น เอ่ยพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปรอบๆ ตรัสถามหัวหน้าเสนาบดีออกไปอย่างระมัดระวัง “เสนาบดีกู้มีเรื่องอันใดจะกราบทูล”
“กระหม่อม…” เสนาบดีเพิ่งจะอ้าปาก ท้องพระโรงก็มืดลงมากะทันหัน