ณ อวี้เหอย่วน เจียงซื่อกำลังอาบแสงอาทิตย์อยู่ในลานบ้านพร้อมกับสอนอาฮวนพูด
อาฮวนที่เพิ่งอายุครบหนึ่งปีพูดออกมาได้แล้วสองคำ คำแรกคือคำว่าแม่ คำที่สองคือหนิว ยังไงก็พูดคำว่าพ่อออกมาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อไปก่อกวนเอ้อร์หนิวกี่ครั้งแล้ว
เจียงซื่อยิ่งคิดก็รู้สึกไม่สบายใจ พอมีเวลาว่างจึงสอนอาฮวนเรียกคำว่าพ่อ
“อาฮวน พ่อ…” เจียงซื่อชี้ที่รูปปาก
อาฮวนน้อยเอียงหัวมองแม่ตัวเอง สมองอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความสงสัย นี่ท่านแม่ชัดๆ ไม่ใช่ท่านพ่อสักหน่อย
เมื่อรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เด็กน้อยจึงเรียกออกมาไม่ได้ พลันหันหน้าไปหาสุนัขตัวโตที่นอนพักอย่างสบายใจอยู่ที่เชิงกำแพง เอ่ยพูดน้ำเสียงนิ่มนวล “หนิว…”
พอเอ้อร์หนิวได้ยินก็วิ่งส่ายหางดุ๊กดิ๊กเข้ามา
อวี้จิ่นเข้ามาเห็นภาพตรงหน้าพอดี เดินตรงไปด้วยใบหน้าดำทะมึนแล้วเบียดเอ้อร์หนิวออกไปเงียบๆ
พออาฮวนเห็นท่านพ่อ ก็เบะปากร้องไห้ออกมายกใหญ่
เจียงซื่อกลอกตาใส่อวี้จิ่น เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำตัวให้เหมือนพ่อคนหน่อยได้ไหม แม้แต่เอ้อร์หนิวก็ยังจะหวงอีกหรือ”
อวี้จิ่นหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม
ไม่โกรธได้อย่างไร ตอนนี้ลูกสาวพูดคำว่าพ่อยังไม่ได้เลย แต่กลับพูดคำว่าหนิวได้แล้ว
เจียงซื่อไม่สนใจ ปลอบอาฮวนเสร็จก็ส่งให้เอ้อร์หนิว จากนั้นถึงได้เดินไปที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้
อวี้จิ่นนั่งลงบนเก้าอี้หิน เทน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว “อาซื่อ อยากไปเที่ยวทะเลสาบหรือไม่”
“ไปเที่ยวทะเลสาบงั้นหรือ” เจียงซื่อเหม่อมองไปยังกิ่งไม้ใบหญ้าที่แสงส่องสดใส “ช่วงนี้อากาศมันน่าจะร้อนไปหน่อย”
“ที่ริมทะเลสาบเย็นสบายนัก”
เจียงซื่อมองอวี้จิ่น ไม่เข้าใจเล็กน้อย “เหตุใดถึงอยากไปเที่ยวทะเลสาบหรือ”
นางไม่มีความรู้สึกอะไรต่อการไปเที่ยวทะเลสาบเลย
ชาติภพที่แล้วตอนจี้ฉงอี้กับเฉี่ยวเหนียงนัดพบกันที่ทะเลสาบมั่วโยว เฉี่ยวเหนียงก้าวพลาดตกน้ำตาย
กลายเป็นโศกนาฏกรรมในชีวิตของนาง พี่รองก็ถูกคนมอมเหล้าจนเมา จากนั้นก็ถูกผลักลงไปในแม่น้ำจินสุ่ยตายไปดื้อๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็ไม่สนใจเรื่องไปเที่ยวทะเลสาบอีกเลย
“ฤกษ์วันสถาปนาไท่จื่อถูกกำหนดออกมาแล้ว พอคิดว่าหากย้ายเข้าไปอยู่ในตงกง อยากจะออกไปข้างนอกคงไม่สะดวกเหมือนตอนนี้ เช่นนั้นจึงมาถามเจ้าว่าอยากไปเที่ยวที่ใด” อวี้จิ่นยิ้มรอคำตอบ
เมื่อเจียงซื่อได้ยิน ก็ถือโอกาสถามออกไป “กำหนดไว้วันไหนหรือ”
“วันที่ยี่สิบหก เดือนหก”
“วันที่ยี่สิบหก เดือนหกงั้นรึ เช่นนั้นก็ใกล้จะถึงแล้ว…” เจียงซื่อไม่ได้ใส่ใจในตอนแรก แต่จู่ๆ ก็ชะงักคำพูดไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนทันที
วันที่ยี่สิบหกเดือนหกงั้นรึ
ชาติภพที่แล้วเป็นช่วงที่จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับจากดินแดนทางใต้มายังเมืองหลวง ซึ่งก็คือปีหน้า
นางจำวันที่ 26 เดือน 6 ปี 21 ได้อย่างชัดเจน
นั่นเป็นวันที่นางกับอาจิ่นอภิเษกสมรสกันเมื่อชาติภพที่แล้วในดินแดนทางใต้ และก็เป็นวันที่ต้าโจวเกิดสุริยคราส
เช่นนั้นจึงจำได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นจะเกิดสุริยคราส เพราะว่าเป็นวันเดียวกับวันสิริมงคลของนาง หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงก็ถูกคนพูดถึงด้วยเจตนาร้าย
พอเห็นเจียงซื่อทำหน้าผิดปกติ อวี้จิ่นก็รีบถามขึ้น “อาซื่อ เป็นอะไรไปหรือ”
เจียงซื่อมองอวี้จิ่น น้ำเสียงเป็นห่วง “วันที่ยี่สิบหกเดือนหกเป็นวันมงคลหรือ ผู้ใดเป็นคนเลือกกัน”
“ก็ต้องเป็นสำนักหอดูดาวหลวงที่กำหนดวัน สำรวจดวงดาว การทำนายเรื่องดีหรือร้าย สำนักหอดูดาวหลวง ล้วนเป็นคนรับผิดชอบ
เจียงซื่อหลับตาลง หัวเราะเยาะในใจ ฤกษ์งามยามดีงั้นรึ นี่กะจะไม่เหลือที่ให้อาจิ่นยืนเลยรึไง!
ถึงแม้อาจิ่นจะเป็นบุตรในนามของฮองเฮา แต่ก็ยังนับว่าไม่มีอำนาจไม่มากพอ เหล่าขุนนางต่างโต้เถียงกันลับหลัง เพียงแต่ว่าเมื่อพระราชโองการออกมาแล้วจึงไม่สามารถคัดค้านออกมาโต้งๆ ได้
ทว่าหากวันสถาปนาไท่จื่ออย่างเป็นทางการเกิดสุริยคราสขึ้น สิ่งเดียวที่รออาจิ่นอยู่ก็คือการถูกทิ้ง
ถ้าวันสถาปนาไท่จื่อเกิดเรื่องไม่มงคลเช่นนี้ขึ้นมา เแสดงว่าฮ่องเต้เลือกไท่จื่อผิด สวรรค์จึงประทานบทลงโทษเพื่อเป็นการเตือน ถ้าหากฮ่องเต้ยังดึงดันทำต่อไป เช่นนั้นแผ่นดินต้าโจวก็จะตกอยู่ในอันตราย
หมวกใบใหญ่ขนาดนี้ครอบอยู่บนศีรษะใครจะรับไหว
เสด็จพ่อคงทำได้เพียงประนีประนอมเลือกไท่จื่ออีกครั้ง
แต่ว่าการเลือกวันอัปมงคลมาเป็นวันมงคล นางไม่เชื่อเด็ดขาดหากบอกว่าเป็นความผิดพลาดของสำนักหอดูดาวหลวง
เจียงซื่อเบิกตากว้าง จ้องไปที่อวี้จิ่น “อาจิ่น เจ้าเชื่อในความฝันของข้าหรือไม่”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “เชื่อสิ ตอนนั้นที่เจ้าฝันว่าจะเกิดแผ่นดินไหวก็เป็นจริงแล้วมิใช่หรือ”
เขาไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเชื่ออาซื่อ
“ในความฝันข้า วันที่ยี่สิบหกเดือนหกจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น มันไม่ใช่วันมงคล” เจียงซื่อพูดออกไป
อวี้จิ่นหรี่ตาลง ดวงตาฉายแววเย็นชาแวบผ่านไป
เจียงซื่อยื่นมือออกไปจับมือเขาไว้ ความเย็นกลางฝ่ามือทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงแรงกดดันในใจของนาง “เรื่องที่เข้ามาอยู่ในฝันของข้าได้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ อาจิ่น เจ้าอย่าได้เข้ารับพระราชโองการในวันนั้นเลยนะ!”
อวี้จิ่นเห็นนางกังวล แต่กลับเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความสุขุม “อย่ากลัวไปเลย ในเมื่อรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอัปมงคล พวกเราเลี่ยงมันไปก็พอแล้ว”
“อืม”
อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อไว้แน่น น้ำเสียงนิ่งสงบ “วันมงคลกลายเป็นวันอัปมงคล นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ เจ้าว่าผู้ที่วางแผนทำร้ายพวกเราคือผู้ใด”
เจ้าสี่เอาตัวเองยังไม่รอด เจ้าห้าก็โง่ เจ้าหกก็ไม่น่าจะมีความกล้าเช่นนี้ และคนที่สามารถบงการคนของสำนักหอดูดาวหลวงได้…มีอยู่ชื่อหนึ่งค่อยๆ ปรากฎขึ้นมาในหัว
“เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นั้นจะเป็นท่านที่อยู่ในตำหนักฉือหนิง” เจียงซื่อคิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง แล้วเดาออกมา
อวี้จิ่นกระพริบตาปริบๆ “เจ้าก็คิดว่าเป็นยายเฒ่าคนนั้นหรือ”
เจียงซื่อยิ้ม “ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะมาก โดยศูนย์กลางอยู่ที่ตำหนักฉือหนิง แล้วตอนนี้ก็มีเรื่องเช่นเดิมเกิดขึ้นอีก ยากที่จะห้ามไม่ให้คิดเช่นนี้จริงๆ”
น้ำเสียงอวี้จิ่นดูมั่นใจกว่าเจียงซื่อเยอะเลย “นอกจากยายเฒ่านั่น เกรงว่าคนอื่นคงไม่มีความสามารถขนาดนี้ สำนักหอดูดาวหลวงนั้นพิเศษมาก หากจะติดสินบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จำเป็นต้องวางแผนมานาน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าวันนั้นมาถึงแล้ว ทั้งสำนักหอดูดาวหลวงจะต้องเกิดหายนะเป็นแน่ เรื่องหัวจะหลุดออกจากบ่าเช่นนี้ แค่บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ คงไม่มีใครทำหรอก ต้องเป็นหมากที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน ซึ่งทำได้ถึงขนาดนี้ นอกจากไทเฮาแล้วจะมีผู้ใดอีก”
เจียงซื่อก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เอ่ยถามออกไป “อาจิ่น เจ้าว่าเหตุใดไทเฮาถึงทำเช่นนี้ นางเป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ของต้าโจวแล้ว แถมยังได้รับความกตัญญูอย่างแท้จริงจากเสด็จพ่ออีก ยังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะเยาะในใจ “ใครจะรู้ จิตใจคนเรานั้นไม่รู้จักพอ ใครจะรู้ว่ายายเฒ่านั่นคิดอะไรอยู่”
เจียงซื่อตาเป็นประกายออกมา พลันเอ่ยโพล่งขึ้น “บางทีท่านยายอาจจะรู้อะไรบางอย่าง”
อวี้จิ่นมองไปที่นางด้วยความอึ้ง
“ข้ามักจะรู้สึกว่าท่านยายมีอะไรบางอย่าง ไม่แน่อาจสามารถอธิบายเรื่องอันซับซ้อนเหล่านี้ได้ รอผ่านวันที่ยี่สิบหกเดือนหกไปก่อน ข้าจะไปที่จวนอี๋หนิงโหวอีกครั้ง”
“ทำไมต้องไปหลังวันที่ยี่สิบหกเดือนหกด้วยล่ะ” อวี้จิ่นอดถามออกมาไม่ได้
เจียงซื่อยิ้มออกมาอย่างหมดปัญญา “เพื่อให้ท่านยายเห็นว่าแต่ละก้าวของพวกเรานั้นอันตรายและต้องระมัดระวังเพียงใด ไม่แน่อาจจะสงสารพวกเราแล้วพูดออกมาก็ได้”
……
เครื่องแต่งกายที่ใช้ร่วมพิธีของไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยเสร็จอย่างรวดเร็ว พอใกล้ถึงวันสถาปนาไทจื่อ ทั้งในวังและนอกวังเริ่มเข้าสู่สภาวะตื่นเต้นและเคร่งเครียด
พระราชโองการสถาปนาไท่จื่อองค์ใหม่นั้นเป็นเรื่องใหญ่
ทว่าอวี้จิ่นกลับเกิดท้องเสียในเวลานี้
เมื่อข่าวนี้ถึงหูจิ่งหมิงฮ่องเต้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที
จะถึงพิธีสถาปนาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเกิดเรื่องอีก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอามือไขว้หลังเดินวนอยู่ในห้อง ตรัสสั่งออกไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ให้สำนักหมอหลวงไปตรวจโรคไท่จื่อ ต้องแน่ใจได้ว่าจะรักษาอาการท้องเสียของเขาจนหาย”