เมื่อข่าวแพร่งพรายมาถึงจวนอี๋หนิงโหว นายท่านซูก็รีบรายงานให้ท่านพ่อกับท่านแม่เช่นกัน
คู่สามีภรรยาเหล่าอี๋หนิงโหวกลับไม่มีความสุขมากนัก
รอนายท่านซูออกไป เหล่าอี๋หนิงโหวก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “คาดไม่ถึงเลยว่าซื่อเอ๋อร์จะมีชะตาได้เป็นไท่จื่อเฟย จากนี้ไปจะทำอะไรโดยประมาทไม่ได้แล้ว”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด
หลานสาวกลายเป็นไท่จื่อเฟย ไม่นานก็ต้องย้ายไปอยู่ตงกง จากนี้ไปก็ต้องมีการพูดคุยทำความรู้จักกับเหล่าผู้สูงศักดิ์พวกนั้น…
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เมื่อเห็นอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินใจลอย เหล่าอี๋หนิงโหวจึงเอ่ยถาม
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินฝืนยิ้มออกมา “ก็แค่คิดไม่ถึงว่าซื่อเอ๋อร์จะโชคดีเช่นนี้”
เหล่าอี๋หนิงโหวเอ่ยขึ้นเสียงเบา “จะโชคดีหรือไม่ต้องรอดูหลังจากนี้”
ในความคิดของเขา ที่จริงการเป็นพระชายาอ๋องธรรมดาๆ นั้นสบายกว่าอีก ส่วนตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ไม่น่านั่งเท่าไร
“ใช่ ต้องดูหลังจากนี้…” อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินพูดพึมพำคล้อยตาม
ช่วงนี้ซื่อเอ๋อร์มักจะมาเยี่ยมนาง นางรู้ดีว่าซื่อเอ๋อร์อยากสืบเรื่องในอดีตบางอย่าง
เดิมความลับพวกนั้นนางวางแผนจะเก็บไว้จนลงโลง หรือว่าต้องบอกความจริงกับหลานสาวแล้ว
หลังจากที่ทราบข่าวว่าเจียงซื่อได้เป็นไท่จื่อเฟย เป็นครั้งแรกที่ความเด็ดเดี่ยวของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินสั่นคลอน
……
ณ จวนอันกั๋วกง
พอเว่ยซื่อฮูหยินแห่งอันกั๋วกงทราบเรื่องก็ตะลึงงันไปเลย สักพักถึงได้สติกลับมา ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
เรื่องนี้นางต้องพูดกับเหล่าฮูหยิน
น้องสาวสามีไม่อยู่แล้ว แถมยังทำผิดมหันต์ พัวพันจนฉีอ๋องไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตา ทว่าเยี่ยนอ๋องกลับกลายเป็นไท่จื่อ ซึ่งเยี่ยนอ๋องนั้นเป็นลูกแท้ๆ ของน้องสาวสามี เกียรติติยศอันยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับจวนอันกั๋วกงเลย
นี่มันน่าอึดอัดใจเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีอีกกี่คนที่หัวเราะเยาะลับหลังจวนอันกั๋วกง
เพิ่งจะเดินออกมานอกเรือน เว่ยซื่อก็เจอเข้ากับจี้ฉงอี้ลูกคนเล็กที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก
เว่ยซื่อแค่มองก็รู้สึกปวดใจ ตะเบ็งเสียงลั่นด้วยความโกรธ “เจ้าลูกชั่ว ไปที่แม่น้ำจินสุ่ยมาอีกแล้วรึ”
จี้ฉงอี้ยืนนิ่ง ตอบอืมออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เมื่อเห็นลูกชายที่แตกสลายจนกู่ไม่กลับ เว่ยซื่อโกรธถึงขีดสุด “เจ้าลูกไม่รักดี ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้คลอดเศษสวะอย่างเจ้าออกมา เจ้าจะทำให้ข้าสบายใจบ้างไม่ได้รึ ต้องรอให้ข้าโมโหจนสิ้นใจก่อนหรือถึงจะหยุด…”
การพ่นคำด่าด้วยความเจ็บปวดทำเอาเว่ยซื่อริมฝีปากแห้งผาก คอแทบลุกเป็นไฟ
ทว่าจี้ฉงอี้ยังคงแสดงท่าทางเย็นชาเช่นเดิม รอจนเว่ยซื่อพูดจบ ก้มหน้าลงพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ลูกทราบแล้ว หากท่านแม่ไม่มีเรื่องใดอีก ข้าขอตัวกลับห้องนะขอรับ”
เมื่อเห็นลูกชายหันหลังเตรียมจะเดินจากไป เว่ยซื่อก็พูดโพล่งออกมา “พี่ชายเจ้าได้เป็นไท่จื่อแล้ว!”
พี่ชาย? ฉีอ๋องงั้นหรือ
เกี่ยวข้องอะไรกับเขากัน
จี้ฉงอี้ยังคงไม่หยุดเดิน มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
เว่ยซื่อเอ่ยพูดด้วยความโกรธตามหลังเขา “ทำไมเจ้าไม่เอาอย่างพี่ชายบ้าง ตอนที่เยี่ยนอ๋องกลับมาจากดินแดนทางใต้ไม่ได้เป็นแม้แต่ท่านอ๋อง นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน…”
จี้ฉงอี้หันขวับกลับมา “เยี่ยนอ๋องงั้นรึ”
ความประหลาดใจของลูกชายทำให้เว่ยซื่อพูดช้าลง ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างในแววตาที่ตกตะลึงของเขา
เว่ยซื่อยิ้มเยาะ “ตกใจมากใช่หรือไม่ ตอนแรกที่เยี่ยนอ๋องกลับมาที่เมืองหลวงยังคงเป็นเพียงองค์ชายเจ็ดที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย หน้าตาฝ่าบาทก็ไม่เคยเห็น ว่ากันตามตรงสถานการณ์ของเขาเทียบไม่ได้กับองค์ชายที่มีความดีความชอบด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นไท่จื่อแล้ว”
จี้ฉงอี้กำหมัดแน่นโดยไม่รู้สึกตัว เอ่ยพูดน้ำเสียงเรียบ “เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา เขาเป็นลูกของฮองเฮาไปแล้ว
เว่ยซื่อกัดฟันกรอด “เจ้าลูกชั่ว แม้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนกั๋วกง แต่มันเกี่ยวกับเจ้า!”
จี้ฉงอี้หนังตากระตุก มองไปที่เว่ยซื่ออย่างเย็นชา
เว่ยซื่อทนเห็นไม่ได้ที่ลูกชายทำตัวเหมือนศพเดินได้ แต่บังเอิญว่าในสองปีนี้เห็นมาเยอะแล้ว พอโดนกระตุ้นจึงพูดโพล่งออกไปอย่างไม่ไว้หน้า “ถ้าหากตอนนั้นเจ้าไม่ได้ถอนหมั้นกับเจียงซื่อ ตอนนี้จะเป็นยังไง เห็นได้ชัดว่าเจียงซื่อเป็นดาวอุปถัมภ์สามี สามารถทำให้องค์ชายที่ไม่มีอะไรเลยกลายเป็นไท่จื่อได้ ส่วนเจ้าทิ้งภรรยาเช่นนี้ไปก็อย่าได้แต่งเอาตัวก่อเรื่องเข้ามา…”
“ท่านหยุดพูดได้แล้ว!” จี้ฉงอี้ตะโกนออกมา สีหน้าซีดเผือด
เว่ยซื่อเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงอ่อนลง “อี้เอ๋อร์ หากเจ้าไม่อยากให้ทั้งชีวิตจมอยู่ในโคลนก็ฟังคำแม่ไว้ หย่ากับเฉี่ยวเหนียงแล้วแต่งงานกับบุตรสาวจากครอบครัวมั่งมีที่มีสมบัติผู้ดี ต่อให้ฐานะตระกูลจะต้อยต่ำเล็กน้อยก็ไม่ต้องกังวลไป อย่างน้อยจะได้ทำให้เจ้าดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา…”
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว เว้นแต่ข้าจะตายเท่านั้นถึงจะหย่ากับเฉี่ยวเหนียง!” จี้ฉงอี้พูดจบ ก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมา
จี้ฉงอี้รุดหน้าเข้าไปที่ห้องอักษร นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเตี้ยกุมหัวด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เขาจะหย่ากับเฉี่ยวเหนียงได้อย่างไร
เขาเป็นคนที่ไม่เสียดายการถอนหมั้นนั้น ยอมรับคำแนะนำและเสียงหัวเราะเยาะของผู้คนนับไม่ถ้วยเพื่อแต่งงานเอาเฉี่ยวเหนียงกลับมา กระทั่งวันนี้ยังไม่ถึงสามปีก็จะให้หย่ากับเฉี่ยวเหนียง แล้วเขาจะกลายเป็นตัวอะไร จะกลายเป็นเรื่องตลกของใต้หล้าหรือไม่
เขายอมตายดีกว่ายอมเสียหน้าอีกครั้ง และไม่อาจผลักเฉี่ยวเหนียงไปสู่ทางตันได้
สตรีสามัญชนคนหนึ่งถูกจวนอันกั๋วกงไล่ออกจากบ้าน นอกจากการตายเฉี่ยวเหนียงก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ส่วนเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเฉี่ยวเหนียง มันหายไปหมดตั้งแต่ตอนที่โต้เถียงกับเฉี่ยวเหนียงนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…
จี้ฉงอี้จ้องตำราบนชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยฝุ่น ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น
เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลว ไม่รู้คืนนั้นฝันไปกี่ครั้งว่าไม่ได้ไปพบเฉี่ยวเหนียงที่ริมทะเลสาบมั่วโยว ทว่ากลับไปแต่งงานกับแม่นางซื่อจากจวนตงผิงปั๋วอย่างหน้าระรื่นแทน สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดี ใช้ชีวิตด้วยกันจนคนอื่นอิจฉา
ไม่เหมือนตอนนี้ เขากับเฉี่ยวเหนียงแทบจะไม่คุยกันแล้ว จึงทำได้เพียงไปที่แม่น้ำจินสุ่ยเพื่อหลีกหนีความจริง กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของทุกคน
เมื่อนึกถึงเจียงซื่อที่กลายเป็นไท่จื่อเฟยแล้วนึกถึงตัวเอง จี้ฉงอี้ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก เจ็บจนหายใจไม่ออก
ขณะที่น้ำตากำลังจะไหลลงมา ความคิดอันน่าเศร้าของจี้ฉงอี้ก็ผุดขึ้น หากชีวิตคนเราเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง จะดีสักแค่ไหนกัน…
เมื่อเทียบกับจี้ฉงอี้ที่ทุกข์ระทม ภายในตำหนักคุนหนิงเต็มไปด้วยบรรยากาศน่าเบิกบานใจ
“ข้ามาแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียง”
ฮองเฮารีบเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เป็นวันดีจริงๆ ฝ่าบาททำให้นางประหลาดใจมาก นางต้องออกไปต้อนรับที่หน้าประตูเพื่อเป็นกำลังใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ให้ฮองเฮาได้รอช้าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู “ทำไมฮองเฮาถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ”
ฮองเฮาย่อเคารพแล้วเงยหน้าขึ้น หน้าตายิ้มกริ่ม “หม่อนฉันคิดว่าฝ่าบาทจะมาเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมเสียงออกมา ท่าทางสำรวม “เข้าไปคุยข้างในกัน”
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้าห้องไปด้วยกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้จิบชาในมือ พลางตรัสอย่างใจเย็น “เดิมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ควรจะปรึกษากับเจ้าก่อน แต่คิดดูฮองเฮาน่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าเลือก จึงไม่ได้รบกวนเวลา…”
ตอนนี้ฮองเฮาแค่มองรอยย่นที่หางตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกดูดีมาก เม้มริมฝีปากลง เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หม่อมฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฝ่าบาทอยู่แล้วเพคะ”
อย่างแรกคือสามารถทำให้นางพอใจได้
“ฝ่าบาทไปหาเสด็จแม่มาแล้วหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางถ้วยชาลง “มาบอกเจ้าก่อน จากนั้นค่อยไปหาเสด็จแม่”
แต่งตั้งเจ้าเจ็ดเป็นไท่จื่อเขาก็อยากให้มีคนชื่นชมบ้าง พอเห็นเหล่าขุนนางที่งงเป็นไก่ตาแตกพวกนั้น แน่นอนว่ามาหาฮองเฮาเพื่องฟังคำรื่นหูดีกว่า
ฮองเฮารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร นางยืนส่งจิ่งหมิงฮ่องเต้ออกไปจากตำหนักคุนหมิงจนไกลสุดสายตาแล้วก็ยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม
จิ่งหมิงฮ่องเต้มุ่งหน้าไปยังตำหนักฉือหนิงด้วยความอิ่มเอมใจ