ตำหนักฉือหนิงอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์ ไทเฮาทอดถอนใจเอ่ยขึ้น “ข้าไม่นึกเลยว่าจี้ซื่อจะเป็นคนเช่นนี้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจตาม “ลูกก็คิดไม่ถึงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อนึกถึงเสียนเฟยที่ใบหน้าเมตตาอ่อนโยน ทว่าใจดำอำมหิต หนิงเฟยที่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังจะทำหน้าระรื่น และนึกไม่ถึงเลยว่ายังมีฮองเฮาที่กล้าเมินเขาอีกด้วย จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าสตรีช่างซับซ้อนเสียจริงเหลือเกิน
เพียงแค่คิดไม่ถึง ไม่ได้แปลว่าพวกนางจะทำไม่ได้
พอนึกถึงผินเฟยจำนวนมากที่วังหลัง จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าสามพันชีวิตในวังหลังนั้นเป็นความกดดันที่สูงที่สุดในการเป็นกษัตริย์
“ข้าบอกฮองเฮาไปแล้วว่าจากนี้ไปไม่ต้องให้ฝูชิงมาหา”
“เสด็จแม่…” จิ่งหมิงฮ่องเต้พระพักตร์เปลี่ยนเล็กน้อย
ไทเฮายิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้เสียนเฟยสั่งให้เสี่ยวเติ้งจือใช้ชื่อของตำหนักฉือหนิงมาหลอกฝูชิงถึงได้มีโอกาสลงมือ แถมยังคร่าชีวิตขององค์หญิงสิบสี่ไป เรื่องก่อนเทศกาลซั่งหยวนก็เกี่ยวพันกับตำหนักฉือหนิง แม่เสียใจยิ่งนัก ไม่อาจปล่อยให้ฝูชิงเกิดเรื่องเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าได้อีก…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบปลอบใจ “นี่มันไม่เกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ ที่ฝูชิงคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านเดิมเป็นการแสดงความกตัญญูในฐานะหลานสาวที่ควรทำอยู่แล้ว”
ไทเฮาส่ายหน้า “ฮ่องเต้อย่าได้เกลี้ยกล่อมแม่อีกเลย ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฝูชิงเกิดเรื่องมักจะเกี่ยวพันกับตำหนักฉือหนิง ไม่ว่าข้าจะปลอบตัวเองอย่างไรก็ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้จริงๆ”
“เช่นนั้นท่านชอบเด็กคนไหน ก็ให้นางมาอยู่กับท่าน”
ไทเฮาถอนหายใจ ท่าทางเศร้าสร้อย “ไม่แล้วล่ะ แม่กลับไปไหว้พระ สวดภาวนาเช่นเดิมดีแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกผิดมาก “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะลูกไร้ความสามารถ ล่าช้าในการหาคนชั่วที่คอยปลุกปั่นเรื่องราวในวัง จนพัวพันเสด็จแม่ทำให้ไม่สบายใจ”
ไทเฮามองจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ขมวดพระขนง “ฮ่องเต้คิดว่าเสียนเฟยมีคนบงการอยู่เบื้องหลังงั้นหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งไป จากนั้นก็อธิบายด้วยสีหน้าเหยเก “ลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าภายในวังเกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไป…”
ไทเฮาถอนหายใจออกมาเบาๆ ชี้ไปนอกหน้าต่าง “ฮ่องเต้ลองทอดพระเนตรดู ท้องฟ้าภายในวังกว้างใหญ่กว่าข้างนอกแค่ไหนกันเชียว มีคนมากมายอาศัยอยู่ในที่อันมีเกียรติที่สุดแห่งนี้ทั้งชีวิต อยากออกไปก็ไปไม่ได้ จึงก่อให้เกิดความปรารถนามากยิ่งขึ้น ความปรารถนาที่มากขึ้นแต่กลับไม่สมปรารถนาแน่นอนว่าทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากกว่าเดิม ในความคิดของข้าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องปกติ เดิมพระราชวังก็ทำให้ตัณหาของคนเพิ่มพูนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ลูกเป็นกษัตริย์ของเมือง จะต้องมองให้กว้าง อย่าให้เรื่องในวังเหล่านี้มาขัดขวางได้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “ที่เสด็จแม่พูดก็มีเหตุผล”
ไทเฮาชักสายตากลับ หยุดมองที่ใบหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฉีอ๋องรู้เรื่องแล้วหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงฉีอ๋อง จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกให้เขาเข้าวังไปพบหน้าจี้ซื่อเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าเป็นไมตรีจิตต่อพวกเขาแม่ลูก”
ไทเฮาพยักหน้า “ฮ่องเต้ช่างรอบคอบ อย่างไรเสียจี้ซื่อก็เป็นผินเฟยตำแหน่งสูง พอจากไปอย่างกะทันหันก็ต้องให้คนบางส่วนรับรู้เรื่องราวภายใน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา แล้วฉีอ๋องกลับไปแล้วหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง “ยังคงคุกเข่าอยู่ที่ตำหนักหย่างซิน บอกว่ามาขอรับโทษ”
ไทเฮาลูบลูกประคำ เลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ไม่ไปเจอหน้าเขาหน่อยหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “ลูกเห็นแล้วหงุดหงิด”
ไทเฮาส่ายหน้า เอ่ยปลอบจากใจจริง “ฮ่องเต้ เสียนเฟยทำผิดมหันต์ก็จริง ทว่าอย่างไรก็ตามฉีอ๋องนั้นไม่รู้เรื่อง แถมยังเป็นลูกแท้ๆ ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องพาลใส่เขา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำปากขมุบขมิบ แต่ก็ไม่พูดออกมา
ว่ากันตามจริง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่มีความรู้สึกใดต่อเจ้าสี่เลย ไม่ได้ชอบและก็ไม่ได้เอือมระอา ทว่าตอนนี้กลับเอือมระอาแน่นอน
บางทีอาจจะเป็นเพราะนิสัยต่างกัน
ไทเฮาเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ฟังจึงถอนหายใจเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ สำหรับองค์ชายทั้งหลายท่านไม่ได้เป็นแค่พ่อคนหนึ่ง ยังเป็นกษัตริย์ด้วย ไม่อาจอาศัยแค่ความชอบได้ เวลานี้ตำแหน่งไท่จื่อยังคงว่างอยู่ หากเหล่าองค์ชายไม่ได้ทำผิดอะไรมาก ก็อย่าได้ดุด่ารุนแรงเกินไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงในอนาคตจะไม่มีใครให้เลือก…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินไทเฮาพูดก็รู้สึกกดดันในใจเล็กน้อย
ไท่จื่อองค์เก่าตายไปแล้วจิ้นอ๋องทำผิดจึงส่งไปเฝ้าสุสานกษัตริย์ เซียงอ๋องแย่งชิงตำแหน่งจึงถูกนำตัวไปคุมขังเงียบๆ เดิมคิดว่าการมีลูกเยอะจะไม่ต้องกังวลเรื่องผู้สืบทอด ตอนนี้มาคำนวณดู ไม่นึกเลยว่าจะเหลือไม่กี่คนแล้ว
“ฮ่องเต้ให้อภัยเด็กๆ เถิด มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วตัวเองจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำซะเปล่า” ไทเฮาพูดแฝงความหมาย
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “ลูกเข้าใจเสด็จแม่ว่าต้องการจะสื่ออะไร”
ไทเฮาเห็นว่าเข้าใจแล้วจึงพอ พลางยกถ้วยน้ำชาเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ไปจัดการธุระเถิด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกจากตำหนักฉือหนิงกลับไปที่ตำหนักหย่างซิน เห็นฉีอ๋องยังคุกเข่าอยู่ รองเท้าหนังปักลายมังกรทองหยุดลงตรงหน้าฉีอ๋องที่ท่าทางจะล้มมิล้มแหล่
ฉีอ๋องเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเศร้าหมอง “เสด็จพ่อ ลูกมาขอรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดพลางเริ่มเอาหัวโขกกับพื้น หน้าผากกระทบเข้ากับอิฐขาวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็เลือดซิบออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วตรัสเสียงเรียบ “เจ้ากลับไปเถอะ เรื่องของจี้ซื่อไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ลูกต้องชดใช้ในสิ่งที่เสด็จแม่ทำ เสด็จแม่กระทำความผิด ก็หมายความว่าลูกผิดด้วย หากเสด็จพ่อทรงกริ้วก็ปลดปล่อยมาที่ลูกเถิด เก็บไว้ในพระทัยรั้งแต่จะทำร้ายสุขภาพเปล่าๆ บาปของลูกก็จะยิ่งหนักขึ้น”
“บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า กลับไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องหมอบลงกับพื้นพร้อมกับเอาหัวโขกอีกสองสามทีถึงได้เดินโซเซออกไป
เมื่อกลับมาถึงจวนฉีอ๋องที่เงียบเหงา ฉีอ๋องก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องอักษร ทุบโต๊ะพร้อมกับร้องไห้อย่างเจ็บปวด
เสด็จแม่ตายแล้ว แถมยังทำให้เสด็จพ่อไม่ชอบขี้หน้าอีก เขาสูญเสียเส้นทางที่คิดอยู่ตลอดเวลาไปแล้ว
โต๊ะอักษรสั่นไหว ตำราเล่มหนึ่งตกลงมา เกิดเสียงดังดึงความสนใจ
เสียงนี้ขัดจังหวะการระบายอารมณ์ของฉีอ๋อง เขามองตำราเล่มนั้นอย่างใจลอย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ ฉีอ๋องดีดตัวขึ้น รีบเดินอ้อมไปด้านหลังชั้นวางตำราแล้วดึงลิ้นชักลับออกมา
ภายในลิ้นชักลับไม่มีสิ่งของอะไรมากมาย หลักๆ ก็เป็นพวกจดหมายซะมากกว่า และของเหล่านี้ล้วนสำคัญมาก
ฉีอ๋องรีบเปิดดูจดหมายเหล่านั้น หยิบจดหมายที่อยู่ล่างสุดออกมา
หน้าซองจดหมายไม่เขียนอะไรไว้ทั้งสิ้น
ฉีอ๋องลูบรอยประทับอันงดงามบนหน้าซองจดหมาย สีหน้าเปลี่ยนไม่หยุด ในที่สุดก็กัดฟันแกะจดหมายออก
มีกระดาษจดหมายหนาหลายแผ่น ฉีอ๋องอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วก็อ่านตั้งแต่หัวจดท้ายทุกตัวอีกษรอีกครั้ง ยืนพิงชั้นวางตำราพลางเอ่ยพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
ฉีอ๋องนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาว่า หลังจากที่เสด็จแม่ขอร้องจนอาเจียนเป็นเลือดถึงได้น้อมทักเสด็จพ่อในครั้งนั้น
ตอนนั้นเขาถูกเสด็จพ่อตักเตือนว่าถ้าไม่เรียกไม่ต้องเข้ามาในวัง ที่ทำเช่นนี้หนึ่งก็คือกังวลเรื่องสุขภาพร่างกายของเสด็จแม่ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องแสดงความกตัญญูต่อเสด็จพ่อ
ในที่สุดเสด็จพ่อก็ยอม
ก่อนที่จะจากไป ขณะที่เสด็จแม่ได้มอบจดหมายลับฉบับหนึ่งให้เขา นางได้เอ่ยขึ้น ‘จังเอ๋อร์ ถ้าหากว่าวันหนึ่งแม่ไม่อยู่แล้ว และเจ้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ค่อยเปิดจดหมายฉบับนี้ดู’
เขานำจดหมายกลับมา ข่มความอยากรู้อยากเห็นแล้ววางมันลงในลิ้นชักลับ หลายวันหลายคืนที่เอาแต่ครุ่นคิดว่าในจดหมายเขียนอะไร
ไม่นึกเลยว่าเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จแม่
ภาพใบหน้าอันเมตตากรุณาของไทเฮาปรากฎขึ้นมาในหัวของฉีอ๋อง รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
ไม่นึกเลยว่าไทเฮาจะซ่อนตัวได้ลึกเช่นนี้!
มีจดหมายฉบับนี้ของเสด็จแม่ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องทันทุกเหตุการณ์แน่ ถ้าหากในอนาคตไทเฮานิ่งดูดายต่อเขา เขาก็มีจุดอ่อนของไทเฮา
แม้เสด็จพ่อจะกตัญญูต่อไทเฮาเพียงใด จดหมายฉบับนี้ก็เพียงพอให้เสด็จพ่อเกิดความรู้สึกระแคะระคายไทเฮา และแน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ไทเฮาไม่อยากเห็น
ซึ่งถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่เอ่ยเรื่องจดหมายนี้กับไทเฮา นี่เป็นทางหนีที่ไล่ที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้ ไม่ควรถูกไทเฮาเอาไปใช้ประโยชน์ แล้วหลังจากตายไทเฮาก็ยังไม่เคารพกฎแถมยังไม่เป็นอะไรด้วย
ไทเฮา…จะสามารถช่วยเขาให้ได้นั่งตำแหน่งนั้นได้จริงหรือไม่
ฉีอ๋องที่จิตใจห่อเหี่ยวสิ้นหวังจกลับมาจากพระราชวังได้กลับขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง