รุ่งสาง ข่าวที่เสียนเฟยยอมรับผิดก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง
หนิงเฟยนอนเบิกตาอยู่ค่อนคืนกว่าจะข่มตาหลับลงเนื่องจากทานไก่ย่างทั้งตัวไปเมื่อกลางดึก ยามที่นางในเข้ามาปลุกเป็นช่วงที่นางกำลังหลับได้ที่
“เหนียงเหนียง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ เกิดเรื่องแล้วเพคะ!”
หนิงเฟยลืมตาด้วยความยากลำบาก นางเรอออกมาเป็นกลิ่นไก่ย่างหนหนึ่งก่อนที่สติจะฟื้นคืนกลับ “มีเรื่องอะไร”
นางในหน้าระรื่น “เสียนเฟยรับสารภาพแล้วเพคะว่าเป็นคนทำร้ายองค์หญิง…”
“เดี๋ยวก่อน เสียนเฟยรับผิดอย่างนั้นรึ” หนิงเฟยนวดที่หว่างคิ้วก่อนจะซักรายละเอียดเพิ่มเติม
สีหน้าของนางในยังคงตื่นเต้น “ว่ากันว่า เมื่อคืนเสียนเฟยทรงละเมอตรัสเรื่องที่พระนางทำร้ายองค์หญิงเพคะ นางในที่นอนเฝ้าได้ยินจึงรีบไปกราบทูลฝ่าบาทเพคะ…”
หนิงเฟยได้ยินดังนั้นก็ชะงักค้าง
รับสารภาพผิดเพราะละเมอพูดอย่างนั้นรึ เหตุใดยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลก
นางหวนคิดถึงเรื่องที่ตัวเองแหกกฎสวาปามไก่ย่างมื้อดึกพลางลูบท้องบวมๆ ของตัวเอง
ชีวิตคนเราช่างอนิจจัง ดีร้ายยากจะคาดเดา ควรอยู่กับปัจจุบันจริงๆ
“ช่วยข้าล้างหน้าล้างตาที” หนิงเฟยรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และไม่ลืมที่จะหันไปสั่งนางใน “มื้อเที่ยงนี้กำชับห้องเครื่องด้วยว่าเพิ่มรายการอาหารห่านย่างให้ตำหนักชุนหว่าด้วย”
นางในรับคำสั่ง “เพคะ”
เมื่อคืนนางเห็นเหนียงเหนียงเสวยไก่ย่างจึงหลงคิดว่าความกดดันอย่างใหญ่หลวงในครั้งนี้ทำให้พระนางรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อคิดดูแล้ว โชคดียิ่งนักที่พระนางเสวยไก่ย่างจึงนอนไม่หลับ มิฉะนั้นอาจเป็นเหมือนเสียนเฟยที่เผลอละเมอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมากลางดึก…ผู้ใดจะคิดว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงถึงเพียงนี้!
หนิงเฟยจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็รีบไปน้อมทัก (ถามข้อมูล) ฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิงทันที
……
ฉีอ๋องที่ได้รับข่าวร่างแข็งทื่อ เขาเดินตามขันทีเข้ามาที่วังหลวงด้วยอาการสับสน
เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักหย่างซินแล้ว ฉีอ๋องถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยท่าทีซึมกะทือ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ…”
ชังเรือนย่อมชังนกกาบนหลังคาเรือนนั้นด้วย จิ่งหมิงฮ่องเต้แทบไม่ชายตามองฉีอ๋อง เขาหันหลังให้พลางกล่าวเสียนเย็น “ไปดูหน้าจี้ซื่อเสร็จแล้วก็รีบออกจากวังไปซะ อย่าได้อยู่ที่นี่นานนักเลย”
ฉีอ๋องตัวสั่น ก้มศีรษะตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องก้าวเท้าเดินตามขันทีไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน ทั้งที่เป็นทางที่เขาเดินเป็นประจำแต่คราวนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคย
ตำหนักอวี้เฉวียนกว้างใหญ่ไร้เงาคน มีเพียงสายลมโบกโชยกับเงาไม้ไหวพลิ้ว
ตำหนักที่เคยห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้สดละลานตา บัดนี้ก็ดูเปลี่ยวเหงาไร้ชีวิต
ฉีอ๋องอ้าปากอยากจะถามขันที แต่ขันทีนำทางก้มศีรษะต่ำราวกับไม่คิดจะสนทนาด้วย
เขาทำได้เพียงซ่อนความสงสัยไว้ในใจ เดินมาเรื่อยจนพบเสียนเฟยที่นอนอยู่ในห้องด้านในสุด
ห้องนั้นถูกใช้เป็นที่เก็บศพชั่วคราว
เสียนเฟยนอนแผ่ราบ เนื้อตัวผ่ายผอม ใบหน้าซีดขาว ไร้ลมหายใจ
“เสด็จแม่…” ฉีอ๋องคุกเข่าลงกับพื้น เอื้อมมือไปจับมือของเสียนเฟย
มือเย็นเฉียบทำให้ฉีอ๋องตระหนักได้ว่าหมู่เฟยที่รักเขาและคอยปกป้องเขามาโดยตลอดได้จากไปแล้ว
สายตาจ้องมองไปที่ใบหน้าของเสียนเฟย ฉีอ๋องรำพึงรำพัน “เสด็จแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้ด่วนจากไปเช่นนี้…”
ไร้ซึ่งเสียงคนตอบ
ขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยเตือน “ท่านอ๋อง อาจต้องเร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากอีกเดี๋ยวร่างของจี้ซื่อจะต้องถูกนำออกจากวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ฉีอ๋องจ้องเขม็งไปที่ขันทีพลางเอ่ยเกรี้ยวกราด “เจ้ามีสิทธิ์เรียกจี้ซื่อด้วยรึ”
ขันทีหลุบตาพลางอธิบาย “ท่านอ๋องอาจมิทรงทราบ จี้ซื่อถูกทอดยศเป็นสามัญชนเนื่องจากปองร้ายองค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ ร่างของนางจึงไม่อาจฝังไว้ในสุสานหลวงพ่ะย่ะค่ะ…”
เรื่องนี้เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้อธิบายให้ฉีอ๋องฟัง
“อะไรนะ” ฉีอ๋องตกตะลึงสุดขีดก่อนจะหันขวับไปมองร่างไร้วิญญาณของเสียนเฟย
ใบหน้านั้นยังคงเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย สำหรับเขาแล้วนี่คือใบหน้าของคนที่รัก เมตตาและห่วงหาอาทรเขาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ในวินาทีนั้น ฉีอ๋องกลับรู้สึกแปลกไป ความแค้นค่อยๆ ก่อตัวส่งผ่านออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ในก้นบึ้งหัวใจ
นี่เสด็จแม่เสียสติไปแล้วหรือ อยู่ดีๆ ไปทำร้ายน้องสิบสามกับน้องสิบสี่ทำไม
พวกนางเป็นเพียงองค์หญิง การทำร้ายพวกนางจะมีประโยชน์อันใด
การที่เสด็จแม่ทรงทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้เสด็จพ่อเกลียดเขามากขึ้น ตอนนี้เขาไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว
สำหรับโอรสที่มิได้เป็นทายาทสายตรงแล้ว การไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการชิงตำแหน่งรัชทายาท นี่คือเหตุที่เหล่าขุนนางที่เคยใกล้ชิดฉีอ๋องตีตัวออกหาก
ในเมื่อไม่ได้เป็นโอรสสายตรง ขุนนางใหญ่ก็ไม่มีเหตุผลเรื่องการสืบสันตติวงศ์ไปงัดง้างกับฮ่องเต้ หากยิ่งมิได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท มีหรือขุนนางจะสนับสนุน
และเนื่องด้วยสาเหตุนี้ เสียนเฟยถึงได้ยอมเป็นเครื่องมือของไทเฮา และยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของนางเอง เพราะนางรู้ดีว่าโอรสที่ฝ่าบาทชิงชังจะไม่ได้รับโอกาสเป็นครั้งที่สอง นอกเสียจากว่าจะมีแรงสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
แต่ฉีอ๋องไม่เข้าใจ ความรู้สึกที่มีต่อเสียนเฟยในตอนมีเพียงความไม่เข้าใจและการกล่าวโทษ
“นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดใช่หรือไม่ เสด็จแม่เป็นคนจิตใจดี ขนาดมดเสด็จแม่ยังไม่เคยเหยียบย่ำ แล้วจะทำร้ายมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร”
ขันทีหัวเราะเย้ยหยันแต่เพียงในใจ
จิตใจดีอย่างนั้นรึ คนที่อยู่ในวังหลังได้ยาวนานถึงเพียงนี้ มีสักกี่คนกันที่จิตใจดีจริงๆ เสียดายที่ข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลงผิดคิดว่าเสียนเฟยเป็นคนดี แต่ยามนี้ดูแล้วคงไม่มีคนดีเลยสักคนเดียว
“ท่านอ๋อง นี่คือสิ่งที่จี้ซื่อยอมรับเองกับปากของนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องมองหน้าขันทีด้วยความพิศวง เขาหลุบหน้าซ่อนน้ำตา “เสด็จแม่ ที่พระองค์ทรงเป็นขาดสติไปชั่วขณะเป็นความผิดของลูกเอง ลูกควรมาหาพระองค์บ่อยๆ พระองค์จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดเช่นนี้…”
ขันทีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเตือน “ท่านอ๋อง ต้องเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องร่ำไห้ เคอโถวแสดงความเคารพเสียนเฟยอย่างสุดซึ้งอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
แต่เมื่อออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียนแล้ว ฉีอ๋องมิได้เดินตามขันทีออกไปนอกวังหลวง แต่กลับไปรับผิดกับจิ่งหมิงฮ่องเต้พร้อมดวงตาแดงก่ำ
“ท่านอ๋อง รีบเสด็จกลับไปก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เพลานี้ฝ่าบาททรงกำลังขุ่นเคืองพระทัยอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
ฉีอ๋องยังคงยืนกราน “เสด็จพ่อจะทุบตี จะลงโทษ หรือจะทรงทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น หากจะทำให้พระองค์หายกริ้วได้”
ในวันนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่มีใจจะจัดการกิจ เขานั่งเหม่ออยู่ในเรือนท้ายในตำหนักหย่างซิน
คล้ายว่าจี๋เสียงจะรับรู้ได้ว่าเจ้าของกำลังอารมณ์ไม่ดี จึงไปหลบกินปลาเส้นแห้งอยู่ในที่ไกลๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เจ้าแมวขาวที่ตัวอ้วนกลมขึ้นทุกวัน แล้วอารมณ์ของเขาก็แย่ลงกว่าเก่า
เจ้าแมวเลี้ยงตัวนี้เนี่ยนะ เขาอารมณ์ไม่ดีถึงขนาดนี้ยังไม่รู้จักเดินมาให้เขาลูบขนหน่อยเลย
สายตาจ้องมองไปที่จี๋เสียงที่กำลังคาบปลาแห้งไว้ในปาก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว บางทีในใจของจี๋เสียง เจ้าของคนนี้อาจไม่สำคัญเท่าปลาแห้งก็เป็นได้
พานไห่เดินเข้ามา “ฝ่าบาท ฉีอ๋องเสด็จมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เปรยตาขึ้นมอง แววตาขับประกายเย็นเยียบ “มิใช่ว่ากลับไปแล้วหรอกรึ”
“ฉีอ๋องเสด็จไปหาจี้ซื่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ท่านอ๋องตั้งใจเสด็จมารับผิดกับพระองค์ ตอนนี้ทรงนั่งคุกเข่าคอยอยู่ที่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ให้เขาคุกเข่าต่อไปก็แล้วกัน”
ฉีอ๋องคุกเข่าอยู่อย่างนั้นนานกว่าหนึ่งชั่วยาม
พานไห่เดินเข้ามายืนข้างจิ่งหมิงฮ่องเต้อีกครั้ง “ฝ่าบาท ไทเฮาเชิญให้พระองค์เสด็จไปที่พระตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากตำหนัก พบว่าฉีอ๋องยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอก
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ฉีอ๋องนั่งคุกเข่าอยู่ใต้แสงแดดอาบฟ้า ใบหน้าแดงระเรื่อ อาภรณ์ตัวบางเปียกเหงื่อจนชุ่มโชก
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองมาที่ฉีอ๋องแวบหนึ่งก่อนจะเดินผ่านไปที่ตำหนักฉือหนิง
ร่างของฉีอ๋องโงนเงน หลุบตาซ่อนความผิดหวังและความไม่พอใจที่มีต่อเสียนเฟย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินมาถึงตำหนักฉือหนิง ไทเฮาคอยอยู่พร้อมสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง
“เสด็จแม่ เมื่อคืนพระองค์มิได้บรรทมเลยหรือ”
ไทเฮาคลี่ยิ้มขมขื่น “เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ปานนั้น ข้าจะข่มตาหลับลงได้อย่างไร วันนี้ได้ยินฮองเฮาบอกว่าคนที่ทำร้ายสิบสี่คือจี้ซื่อ…”