เมื่อพาดพิงถึงไทเฮา ความอดทนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หมดลงทันที
หญิงชราผู้สันโดษที่ผลักดันให้เขาขึ้นมานั่งอยู่บนตำแหน่งจ้องจะทำร้ายฝูชิงผู้เป็นหลานสาวอย่างนั้นหรือ
ไร้สาระสิ้นดี ผู้ใดจะรับไหว
แต่ทว่าส่วนลึกสุดในใจกลับเกิดความสงสัยในตำหนักฉือหนิง นั่นยิ่งทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับคำกล่าวของเสียนเฟยยิ่งนัก
เสียนเฟยกระแอมกระไอ ทิ้งรอยเลือดไว้บนผ้าผืนน้อย สายตาจ้องมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยความสิ้นหวัง “เป็นเพราะฮองเฮาตรัสก่อนนี่เพคะ หม่อมฉันเพียงย้อนถามเท่านั้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปทางฮองเฮาพลางเอ่ยเสียงเย็น “จนถึงบัดนี้แล้วเจ้ายังโทษว่าเป็นความผิดของฮองเฮาอีก ช่างไม่รู้สำนึก!”
การปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของฮองเฮาต่อหน้านางสนมเป็นนิสัยที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำจนชิน ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าคำกล่าวของฮองเฮาเกินเรื่องไปบ้างก็ตามที
เมื่อเห็นโลหิตสดใหม่บนผ้าเช็ดหน้าของเสียนเฟย จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ำหม่น “ผ้าขาวกับสุราพิษ เจ้าเลือกมา เพราะเห็นแก่การที่เจ้าอยู่กับข้ามานานหลายปี ข้าจะให้เจ้าจากไปพร้อมอวัยวะครบถ้วน”
ร่างของเสียนเฟยสั่นสะท้านด้วยความกลัว นางกล่าวเสียงต่ำ “หม่อมฉัน…ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ต่อให้นางเคยคิดว่า นางคงมีชีวิตได้อีกไม่นาน สู้นางยกชีวิตนี้ให้ไทเฮาเพื่อช่วยบุตรชายของตนเองคุ้มค่าที่จะแลก แต่เมื่อความตายมารออยู่ตรงหน้า นางก็อดกลัวมิได้
ฮองเฮารีบปราม “ฝ่าบาท ไม่ได้นะเพคะ!”
“ทำไมล่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองฮองเฮาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ฮองเฮาย่อเข่าทำความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังเชื่อว่าที่เสียนเฟยทำร้ายฝูชิง นางมีวาระซ่อนเร้น มิใช่เพราะการที่หม่อมฉันรับจิ่นเอ๋อร์มาเป็นโอรสบุญธรรมเพคะ…”
“แล้วเจ้าคิดว่าวาระซ่อนเร้นที่ว่าคืออะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ย้อนถาม
ฮองเฮาเงียบงัน
นางรู้จักจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นอย่างดี ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์สงสัยในตัวไทเฮา
ฮองเฮาจึงตอบได้เพียง “วาระซ่อนเร้นที่ว่าคืออะไร คงต้องง้างปากเสียนเฟยถึงจะทราบได้เพคะ”
เสียนเฟยยังหมอบอยู่ที่พื้น สายตาจดจ้องไปที่แผ่นกระเบื้องหินอ่อนพลางหัวเราะเยาะ
แสงไฟในห้องส่องไสว พื้นกระเบื้องสะท้อนใบหน้ารางสลัวของเสียนเฟยที่แขวนรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก
ง้างปากนางงั้นรึ ฮองเฮา ฝันไปเถอะ!
เพราะนางรู้ว่าฮองเฮาไม่มีทางกล้าพูดตรงๆ ว่าสงสัยในตัวไทเฮา เพราะนั่นรังแต่จะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่พอใจ
“ฝ่าบาท ตั้งแต่ความสัมพันธ์มารดาและบุตรระหว่างหม่อมฉันและเจ้าเจ็ดสะบั้นลง หม่อมฉันก็เริ่มชังฮองเฮามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้เกิดเรื่องในวันนี้ แต่ฮองเฮาก็มิวายกล่าวหาว่าหม่อมฉันมีวาระซ่อนเร้น เพราะทรงคิดว่าหม่อมฉันถูกใครยุยง หม่อมฉันไม่เข้าใจเลยเพคะ ในเมื่อเรื่องนี้นำหม่อมฉันไปสู่ความมรณา หากมีคนยุยงหม่อมฉันจริง หมายความว่าหม่อมฉันแลกชีวิตของตัวเพื่อคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่นางกล่าวมีเหตุผลมากทีเดียว
เสียนเฟยเอ่ยเสริม “หม่อมฉันมิใช่นางสนมยศเล็กนะเพคะ หนำซ้ำยังมีโอรสอีกสองคน เมื่อครู่ที่หม่อมฉันบอกว่านอกจากพระองค์ ฮองเฮา และไทเฮาแล้ว จะมีใครยุยงหม่อมฉันได้อีกเล่าเพคะ หม่อมฉันบอกเหตุผลของหม่อมฉันไปแล้ว แต่ฮองเฮามิทรงเชื่อ…ฝ่าบาท คนที่ใกล้ตายพูดความจริงจากใจ ต่อให้พระองค์ทรงชังหม่อมฉัน หรือกริ้วหม่อมฉัน แต่ขอพระองค์ทรงไตร่ตรองอีกครั้งด้วยเถิดเพคะว่าคำกล่าวเมื่อครู่ของฮองเฮามีเป้าประสงค์ใด…”
“พอ เรื่องของฮองเฮามิใช่เรื่องที่คนผิดเช่นเจ้าจะวิพากษ์วิจารณ์!” จิ่งหมิงฮ่องเต้แผดเสียง
ฮองเฮาฟังคำกล่าวของเสียนเฟย ถึงแม้จะโกรธแต่จำต้องยอมรับว่า วาจาของอีกฝ่ายคมคายยิ่งนัก
เห็นชัดๆ แล้วว่านางกำลังเพลี่ยงพล้ำ ไร้ซึ่งหนทางรอด แต่นางยังมิวายรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของนางฝ่าบาทและนางขึ้นมาอีก ทำให้ฝ่าบาทสงสัยในตัวนาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากนางเอ่ยถึงไทเฮาอีก ฝ่าบาทคงจับตาดูเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
ฮองเฮาใคร่จะกล่าวต่อ แต่จู่ๆ เสียนเฟยก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาป้องปาก ไอโขลกยกใหญ่
นางไอแรงขึ้นเรื่อยๆ โลหิตที่กระเซ็นออกมาด้วยทุกครั้งทำให้คนในเหตุการณ์พากันแตกตื่น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทนไม่ไหว เขาชะงักไปก่อนที่จะรีบตะโกน “ตามหมอหลวงมา…”
แม้เสียนเฟยสมควรตาย แต่การเฝ้าดูเสียนเฟยไอจนตายไปต่อหน้า ใครกันจะทนไหว
ฮองเฮาร้อนใจกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ นางเอ่ยเร่ง “ไปเรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
เสียนเฟยเห็นฮองเฮาร้อนรน แววตาของนางก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะ อาการไอรุนแรงขึ้น แล้วทันใดนั้นนางก็สำลักก้อนเลือด ร่างของนางทรุดลงกับพื้น
ศีรษะของเสียนเฟยกระแทกเข้ากับพื้นหินอ่อนเย็นเยียบ แต่ทว่าเสียนเฟยไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น ภาพเบื้องหน้าดับวูบ เหลือเพียงน้ำตาหยดใส่ที่ไหลลงจากหางตา
ในวินาทีนั้น มีภาพมากมายไหลพล่านอึงอลในหัวของนาง
มีทั้งภาพมารดาที่เฝ้าอบรมสั่งสอนนางขณะที่นางยังวัยเยาว์ ภาพที่นางใจเต้นรัวยามที่ได้พบหน้าฮ่องเต้เป็นครั้งแรก ภาพท่าทีเย็นชาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพความยินดียามให้กำเนิดบุตรชายคนแรก รวมถึงภาพการต่อสู้ดิ้นรนและความอดทนอดกลั้นของนางในวังหลัง
ในชั่วอึดใจนั้น เมื่อโลหิตร้อนพุ่งออกจากร่างของนางก็คล้ายกับทุกสิ่งสลายตามไปด้วย ในตอนนี้เหลือเพียงความห่วงหา ความเสียดาย และความหวังอันริบหรี่บางเบาเท่านั้น
จังเอ๋อร์ หลังจากนี้แม่คงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว…
แพทย์หลวงรุดมา ไม่กล้าแม้แต่แสดงท่าทีตกใจ ครั้นตรวจร่างกายเสียนเฟยแล้ว เขาก้มศีรษะต่ำ “กราบทูลฝ่าบาท เสียนเฟยเหนียงเหนียงสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองไปที่ร่างของเสียนเฟยครู่ใหญ่ และกล่าวนิ่งเนิบ “พาร่างของนางออกไป จี้ซื่อปองร้ายองค์หญิงทั้งสองถือเป็นความผิดร้ายแรง ถอดยศนางเป็นเพียงสามัญชน มิควรฝังร่างนางไว้ในสุสานหลวง…”
หลังจากนั้น ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ไม่มีคำใดจะกล่าว ทั้งคู่นั่งเงียบเนิ่นนาน
แสงไฟในห้องที่ถูกจุดกว่าครึ่งสั่นไหว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยทำลายความเงียบ “หากเสด็จแม่ถาม เจ้าก็แค่บอกสั้นๆ นางจะได้ไม่ต้องกังวล”
ฮองเฮาหลุบตาพลางถาม “แล้วจำเป็นต้องบอกความจริงทั้งหมดแก่จวนอันกั๋วกงด้วยหรือไม่เพคะ”
“เรื่องนั้นข้าจัดการเอง พรุ่งนี้ข้าจะเรียกเจ้าสี่เข้ามาที่วัง ให้เขาได้เห็นหน้าจี้ซื่อเป็นครั้งสุดท้าย”
ฮองเฮาพยักหน้าเล็กน้อย สายตายังคงจดจ้องไปที่ร่างของเสียนเฟยที่กำลังถูกข้าหลวงคนสองคนหามออกไป นางเม้มปากแล้วจึงถามจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงคิดว่าเสียนเฟย...จี้ซื่อทำร้ายฝูชิงเพราะนางเกลียดหม่อมฉันที่หม่อมฉันรับเจ้าเจ็ดมาเป็นบุตรบุญธรรมจริงๆ หรือเพคะ”
“ทำไมรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองฮองเฮาตาไม่กะพริบ แววตานั้นสุกใส “ฮองเฮายังสงสัยผู้ใดงั้นหรือ”
เขาเว้นวรรค ก่อนจะถาม “ไทเฮาหรือเปล่า”
ขนตาของฮองเฮาสั่นระริก ใจอยากจะพยักหน้า ทว่าความคิดห้ามนางไว้
“มิบังอาจเพคะ…แต่เรื่องที่เกิดกับฝูชิงครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวข้องกับพระตำหนักฉือหนิงอยู่เรื่อย ฝ่าบาทไม่ทรงคิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลหรือเพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ย่ำแย่เข้าขั้น “ข้าเองก็คิดว่าคนร้ายต้องซ่อนตัวอยู่ในตำหนักฉือหนิง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ฮองเฮาก็อย่าเพิ่งคาดเดาไปเองเลย ข้าเกรงว่าการทำเช่นนั้นอาจทำให้ไทเฮาเสียใจ ข้าเองก็ลำบากใจไปด้วย”
ฮองเฮาอดทนแล้วแต่อดถามมิได้ “แล้วฝ่าบาททรงคิดว่าจะพิสูจน์ความจริงได้เมื่อไหร่หรือเพคะ เกิดเรื่องร้ายกับฝูชิงไม่เว้นวัน สิบห้าและสิบสี่ก็ต้องมาจากไปทั้งที่ไร้ความผิด พระองค์คงไม่ปล่อยให้เรื่องเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นในวังหลวงต่อไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่เพคะ”
“ฮองเฮายังคิดว่าการที่จี้ซื่อทำร้ายฝูชิงเกี่ยวข้องกับตำหนักฉือหนิงใช่หรือไม่”
ฮองเฮาเอ่ยแผ่วเบา “หม่อมฉันเพียงแต่คิดว่ามีผล ย่อมมีเหตุเพคะ”
“เจ้า…” จิ่งหมิงฮ่องเต้โมโหกลบเกลื่อนความละอายใจ
ฮองเฮาและจิ่งหมิงฮ่องเต้สบตากัน ไม่มีใครยอมแพ้
“ข้าจะสั่งให้คนจับตาดูตำหนักฉือหนิงเอาไว้ ฮองเฮาเลิกคิดอะไรไร้สาระได้แล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดบทก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกไป
ฮองเฮานั่งลง ตบโต๊ะอย่างเดือดดาล ปากพ่นถ้อยคำบริภาษสาปส่ง “กตัญญูไม่ดูตาม้าตาเรือ! ดื้อด้าน! เลอะเลือน!”
ขณะที่กำลังด่าก็เห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินวกกลับเข้ามา
เสียงของฮองเฮาหยุดชะงัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินผรุสวาทของฮองเฮาไปกว่าครึ่ง แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่คือตำหนักหย่างซิน!”
นี่มันที่ของเขา แล้วทำไมเขาต้องเป็นคนไปด้วย คนที่จะต้องไปคือฮองเฮาต่างหากเล่า
ฮองเฮาลุกขึ้น ดึงหน้าตึ้ง ถวายความเคารพ และสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
นางไปก็ได้ คิดว่านางอยากอยู่ที่นี่หรืออย่างไร