แสงจันทราและแสงดารารางเลือน ในยามนี้มีเพียงเงาของทรงพุ่มค่าคบที่ขยับไหวไปตามแรงลง
บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งเกิดเรื่องกับองค์หญิงทั้งสองเมื่อตอนเที่ยงวัน อีกทั้งร่างขององค์หญิงสิบสี่ก็ยังตั้งหลาอยู่ วังหลวงเงียบสงัดประหนึ่งว่าจะมีอสูรร้ายโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ ผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ที่ตำหนักชุนหว่า แสงไฟถูกจุดสว่างโร่
หนิงเฟยนั่งอยู่บนแท่น ยิ่งสมองขบคิดเรื่องเมื่อกลางวัน อารมณ์เดือดก็ยิ่งปะทุหนัก
นี่มันหายนะไร้สัญญาณเตือนชัดๆ!
“เหนียงเหนียง ถึงเวลาบรรทมแล้วเพคะ” นางในเข้ามาเตือน
หนิงเฟยเลิกคิ้ว “จะให้บรรทมอะไรกัน ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว แล้วจะให้ข้าข่มตาหลับได้อย่างไร”
หากนางนอนหลับ ลืมตาตื่นมาก็เป็นวันใหม่ หมายความว่านางก็ต้องถูกสอบปากคำอีก ช่างน่าอดสูเหลือเกิน
หนิงเฟยยิ่งคิดยิ่งงุ่นง่าน นางฟาดเข้าที่เสาเตียง “ไปยกไก่ย่างมาให้ข้า!”
ตาของนางในพลันเบิกกว้าง “เหนียงเหนียง…”
ดึกป่านนี้แล้วยังจะเสวยไก่ย่างอีกรึ
หนิงเฟยจ้องไปที่นางในพลางเปล่งเสียงเกรี้ยวกราด “ทำไม ข้าอยากกินไก่ย่างไม่ได้รึ”
ก็นอนไม่หลับ ขอกินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยรึ ปกตินางเป็นพวกกลัวอ้วน แต่เมื่อมาคิดดูตอนนี้ การได้หายใจอยู่ในวังหลวงเพิ่มอีกวันนับเป็นกำไรมากแล้ว รอนางผ่านด่านเคราะห์คราวนี้ไปได้เมื่อไหร่ นางจะกินทุกอย่างที่อยากกิน จะไม่หักห้ามใจอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว
นางในถูกเอ็ดเช่นนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยให้มากความ รีบไปสั่งการในห้องเครื่องเล็กให้ย่างไก่ทันที
……
จิ่งหมิงฮ่องเต้พักอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง บัดนี้กำลังรอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ
ขันทีในอาภรณ์กระชับรัดรูปเดินรี่เข้ามาพร้อมสีหน้าแปลกพิลึก
“เป็นอย่างไรบ้าง หนิงเฟยเข้านอนไปหรือยัง” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถาม
หากต้องเลือกสืบระหว่างหนิงเฟยและเสียนเฟย จิ่งหมองฮ่องเต้เลือกหนิงเฟยก่อน
หนิงเฟยยังแข็งแรงดี ให้หนิงเฟยลองก่อนก็แล้วกัน
หากเสียนเฟยเจอบททดสอบก่อนทั้งที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วนางเกิดตกใจจนมีอันเป็นไป ใจของเขาคงเป็นทุกข์ไม่น้อย
ข้าหลวงก้มศีรษะต่ำ “กราบทูลฝ่าบาท หนิงเฟยเหนียงเหนียงยังไม่เข้าบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังแล้วโกรธขึ้ง ปากบ่นพึมพำ “นี่มันตั้งกี่ยามแล้ว ยังไม่นอนอีก!”
พึมพำเพียงประโยคเดียวก็หันไปถามขันที “แล้วหนิงเฟยทำอะไร”
ขันทีอยากจะดึงมุมปาก แต่เขาเพียงหลุบตาตอบ “หนิงเฟยเหนียงเหนียงกำลังเสวยไก่ย่างพ่ะย่ะค่ะ”
ในวินาทีนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก และหันไปมองฮองเฮาอย่าอดไม่ได้
สีหน้าของฮองเฮายังคงเฉยเมย
ฝ่าบาทจะตกใจอะไร หนิงเฟยก็แค่กินไก่ย่าง
เมื่อต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงเป็นเวลานาน สตรีที่ใช้ชีวิตเปลี่ยวเหงาก็มักจะเริ่มมีพฤติกรรมแปลกประหลาดเป็นธรรมดา
แค่หนิงเฟยกินไก่ย่าง มิควรค่าที่จะต้องถกถามให้มากความ
ท่าทีสงบนิ่งของฮองเฮาทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ฉงนหนัก แสดงว่าที่ผ่านมา เขาเข้าใจวังหลังผิดมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ
“แล้วเสียนเฟยล่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้คุมอารมณ์ให้มั่น กัดฟันถาม
“ไฟในตำหนักเสียนเฟยเหนียงเหนียงดับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ระบายลมหายใจยาวพรูออกมา
ดูแล้วก็ปกติดีนี่
ความเงียบคั่นกลางเพียงชั่วอึดใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ออกคำสั่ง “เช่นนั้นก็เริ่มที่ตำหนักเสียนเฟยก่อนก็แล้วกัน”
มิใช่ว่าเริ่มที่ตำหนักหนิงเฟยไม่ได้ เพียงแต่แค่คิดว่าหนิงเฟยกำลังกินไก่ย่าง แล้วจู่ๆ สิบสี่ก็โผล่ไป กลัวว่าอาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อน
หนิงเฟยเป็นพวกแม่เสือสาวแข็งแกร่ง หากนางตกใจใช้ไก่ย่างทุบตีสิบสี่จะทำอย่างไร
สิบสี่น่าสงสารมากพอแล้ว อย่าให้นางต้องพบเจอเรื่องแย่เช่นนั้นเลย
หากเปรียบเทียบดูแล้ว เสียนเฟยที่กำลังนอนหลับเนี่ยแหละเหมาะที่สุด
……
ณ ตำหนักอวี้เฉวียน ไฟถูกดับเกือบจนหมด แต่ทว่าดวงตาของเสียนเฟยยังเบิกโพลง
เมื่อนางหลับตา ภาพใบหน้าขาวซีดขององค์หญิงสิบสี่ก็ผุดขึ้นในหัว หนำซ้ำยังมีภาพที่เด็กสาวลืมตาขึ้นมา แล้วนางจะข่มตาหลับได้อย่างไร
นางพลิกตัวไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าประหนึ่งแผ่นแป้งบนเตา ยามที่มองผ่านผ้าม่านโปร่งคลุมเตียง ตาของนางเห็นเพียงเงาข้าวของเครื่องใช้เลือนราง นั่นยิ่งทำให้เสียนเฟยรู้สึกพรั่นกลัว แผ่นหลังของนางเย็นวาบ
ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันทิ้งเงามืดครอบงำหัวใจของนางไว้
ก๊อกๆๆ… เสียงเคาะประตูลอดเข้ามาในโสตประสาทของเสียนเฟย
เสียนเฟยลุกพรวดขึ้นนั่ง “ใครน่ะ”
นางในที่นอนเฝ้าอยู่ที่ปลายเท้าของนางปีนขึ้นมาพลางถามด้วยอาการงัวเงีย “เหนียงเหนียง เหตุใดถึงตื่นบรรทมเล่าเพคะ”
“เจ้าไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูหรือ”
“เสียงเคาะประตู? บ่าวไม่ได้ยินอะไรเลยนะเพคะ” นางในมองไปที่ประตูด้วยแววตางุนงง ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าของเสียนเฟยซีดขาวเข้าขั้น นางจึงสวมรองเท้า “เดี๋ยวบ่าวไปดูให้เพคะ…”
“ไม่ต้อง!” เสียนเฟยกล่าวเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอน
นางต้องหูฝาดไปแน่ๆ หากเรื่องที่นางได้ยินเสียงนี้ไปถึงพระกรรณของฝ่าบาท คนคงคิดว่านางมีความผิดติดตัว
ก๊อกๆๆ…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
เสียนเฟยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงกล้ามเนื้อเกร็งตึงไปทุกส่วน เหงื่อกาฬไหลซึมจนอาภรณ์ชุ่มชื้น
หนนี้นางในปีนขึ้นมาพร้อมใบหน้าตื่นตระหนก “เหนียงเหนียง บ่าวได้ยินแล้วเพคะ”
เดี๋ยวสิ ในเมื่อด้านนอกมีคนในตำหนักเฝ้าอยู่ หากมีคนเคาะประตูจริง เหตุไฉนข้างนอกถึงได้เงียบเชียบเพียงนี้
และหากคนที่เคาะคือคนในตำหนักก็ต้องมีเสียงรายงานแล้วซิ
การรบกวนการพักผ่อนของเหนียงเหนียงจะต้องได้รับโทษ
ก๊อกๆๆ… เสียงเคาะประตูคราวนี้แรงกว่าเก่า ดูท่าคนเคาะคงมีเรื่องเร่งด่วน
“เหนียงเหนียง ให้บ่าวไปดูไหมเพคะ”
เสียนเฟยพยักหน้าทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก
หากปล่อยให้เสียงเคาะดังเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นางต้องประสาทเสียเป็นแน่ สู้ให้นางในไปเปิดประตูจะได้รู้ดำรู้แดงกันไป
นางในม้วนผ้าม่านเตียงขึ้น ติดตะเกียงและเดินออกไป ปากพร่ำพูดปลอบโยนผู้เป็นนาย “บางทีอาจมีแมวป่าในวังแอบวิ่งเข้ามาก็ได้นะเพคะ”
แท้จริงที่นางกล่าวเช่นนั้นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงสิบสี่กระจายไปทั่ววังหลวงแล้ว อีกทั้งเหนียงเหนียงของพวกนางก็มีส่วนเกี่ยวในเรื่องนี้เสียด้วย...
นางในเดินมาถึงประตู สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะดึงบานประตูให้เปิดออก ปากของนางยังไม่ทันส่งเสียงกรีดร้อง เท้าของนางก็สับหายไปในความมืด ปล่อยให้ลมจากโถงด้านนอกโบกโบยพัดเข้ามา ม่านโปร่งกระพือตามแรงลม
เสียนเฟยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงเพียงลำพัง สายตาจดจ้องไปที่ประตู
หลายอึดใจ นางเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน นางร้องตะโกนเรียกชื่อนางในสุดเสียง
แต่ทว่าไร้เสียงตอบรับ ในขณะนั้นกลับมีเสียงฝีเท้าแปลกประหลาดดังขึ้นแทนที่
ที่บอกว่าแปลกประหลาดเพราะเสียงนั้นฟังดูคล้ายกับวัตถุหนักที่ลากเลื่อนไปตามพื้น
เสียนเฟยเขม้นมองทางประตู ร่างของนางขยับไม่ได้
ใบหน้าซีดไร้เลือดพร้อมริมฝีปากม่วงคล้ำปรากฏขึ้นในความมืด
ในวินาทีนั้น โลหิตในร่างสั่นเทาของเสียนเฟยคล้ายถูกแช่แข็ง กายของนางไม่อาจขยับเขยื้อน แววตาเท่านั้นที่ยังคงจดจ้องไปที่องค์หญิงสิบสี่ที่เคยนอนตัวแข็งอยู่บนแท่นเมื่อช่วงกลางวัน ร่างนั้นคืบใกล้เข้ามาหานางทีละเล็กทีละน้อย
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงของเสียนเฟยก็กลับมา นางกรีดร้องเสียงหลง “อย่าเข้ามา…”
ครั้นองค์หญิงสิบสี่ได้ยินเช่นนั้น ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงัก ดวงตาทั้งสองข้างลืมขึ้นอีกครั้งและจ้องตรงไปที่เสียนเฟย
เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหนียงเหนียงทำร้ายข้าทำไม”
เสียนเฟยตื่นตระหนกสุดขีด ปากของนางเอ่ยตอบโดยพลัน “ข้าเปล่า เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า!”
“เปล่างั้นรึ” รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏที่มุมปากของใบหน้าขาวซีด เท้าเคลื่อนขยับเข้ามาประชิด
ลมกระโชกแรงลอดเข้ามา เปลวไฟบนโต๊ะสั่นไหวสองสามทีก่อนจะดับไป ภาพเบื้องหน้าเสียนเฟยมืดมิด
ท่ามกลางความมืด กายของนางรับรู้ได้ถึงไอเย็นวาบที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของอีกฝ่าย ปนมากับกลิ่นของคนที่ตายแล้ว
“หากเจ้าไม่ได้สั่งเติ้งกงกงให้ทำร้ายพี่สิบสาม ข้าที่ไม่ได้ไปช่วยพี่สิบสามคงไม่ต้องมาตายอย่างไร้ความผิดเช่นนี้…เอาชีวิตข้าคืนมา…”
เมื่อตาของเสียนเฟยเริ่มคุ้นชินกับความมืด นางเห็นมือแข็งทื่อคู่หนึ่งกำลังเอื้อมมาใกล้นาง หลักเหตุและผลซึ่งเป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดผึ่ง นางเกลือกกลิ้งกระวีกระวาดไปที่ประตู
“อย่าเข้ามา ที่เจ้าช่วยองค์หญิงฝูชิงเป็นความสมัครใจของเจ้าเอง เจ้าจะโทษข้าไม่ได้…”