จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธขึ้งดั่งเพลิงกัลป์ เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่รู้จักเสี่ยวเติ้งจื่อ ผู้ที่ค้างหนี้บุญคุณเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ท่าทีของเสียนเฟยนิ่งเรียบกว่าเก่า สายตาจ้องนิ่งไปที่ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ “หม่อมฉันมิได้มีบุญคุณต่อเสี่ยวเติ้งจื่อเพคะ เพียงแต่ในตอนนั้นหม่อมฉันบังเอิญไปเห็นตอนที่เขากำลังจะกระโดดน้ำ จึงทนดูขันทีอายุน้อยต้องกระโดดลงไปเสี่ยงชีวิตเพียงเพราะลิ้นจี่ชามเดียวไม่ได้เพคะ”
นางกล่าวพลางกำมือแน่น เล็บกุดๆ ไม่อาจทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดได้อีกแล้ว ตอนนี้หลงเหลือแค่เพียงความรู้สึกคันแปลกๆ ที่นางไม่คุ้นเคย
หัวใจของนางแทบหยุดเต้นราวกับรับรู้ว่าบางทีนี่อาจเป็นจุดจบ แต่ทว่าใบหน้าของนางยังคงนิ่งเรียบ
นางทำได้เพียงทำหน้านิ่งเข้าไว้
ในมุมของเสียนเฟย ท่าทีลนลานจะทำให้นางพังทลายลงในชั่วพริบตา นางต้องอดทนให้ถึงที่สุดเพื่อรอโอกาสที่อาจโฉบผ่านเข้ามา
ถึงอย่างไรเสี่ยวเติ้งจื่อก็พลาดไปแล้ว
การลงมือสังหารองค์หญิงกลางวันแสกๆ เป็นการกระทำที่อุกอาจและประมาทเกินไป แต่ในความเป็นจริง แผนการที่ป่าเถื่อนและเถรตรงมักจะปลิดชีพได้ในคราวเดียว และมักจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่นิ่มนวลและซับซ้อน
แต่ในเมื่อองค์หญิงสิบสี่เสียชีวิตไปแล้ว แต่องค์หญิงฝูชิงกลับยังปลอดภัยดี เป็นเครื่องยืนยันว่าโชคไม่ได้อยู่ข้างนาง
สิ่งที่คาดไม่ถึงมากกว่านั้นคือ ในตอนที่นางช่วยชีวิตเสี่ยวเติ้งจื่อ มีคนที่ทราบเรื่องนี้คือเสี่ยวเติ้งจื่อและเสี่ยวจัวจื่อ หลังจากนั้นนางจึงฆ่าปิดปากเสี่ยวจัวจื่อ แต่เหตุใดลูกศิษย์ของพานไห่ถึงเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น
หรือว่าตาข่ายสวรรค์ห่าง แต่ไม่รั่ว?
ในวินาทีนั้นเสียนเฟยทั้งหวั่นไหวและตกใจกลัวเกินจะกล่าว นางพยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองและเอ่ยเสียงเรียบ “หากฝ่าบาทจะถือว่าการไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจของหม่อมฉันนับเป็นบุญคุณ หม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวเพคะ”
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่อาจยอมรับคำว่า ผู้มีพระคุณ
เมื่อเสียนเฟยเอ่ยเช่นนี้ การหาคนผิดก็ยากยิ่งขึ้น สถานการณ์ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งปะทุหนัก เขาเอ่ยเสียงเย็น “เพราะความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ! ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้ามิได้ยับยั้งชั่งใจและช่วยเสี่ยวเติ้งจื่อในตอนนั้น แล้วเหตุใดเมื่อครู่พานไห่พาเจ้าไปดูร่างนั้น เจ้าถึงบอกว่าเจ้าไม่รู้จักเสี่ยวเติ้งจื่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้แผดเสียงดังลั่น “เจ้ากล้าโกหกต่อหน้าข้า มิใช่เพราะว่ากลัวความผิดหรอกหรือ”
เสี่ยวเติ้งจื่อเป็นคนของตำหนักชุนหว่า เดิมทีหากเทียบความเป็นไปได้ระหว่างเสียนเฟยและหนิงเฟย หนิงเฟยย่อมมีโอกาสมากกว่า แต่ตั้งแต่เสียนเฟยมาถึง นางกลับโกหกไม่หยุด เขาถึงได้พุ่งเป้าไปที่เสียนเฟย
สตรีผู้นี้ทั้งโกหก ทั้งไม่ยอมรับ นี่มันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!
จู่ๆ เสียนเฟยก็แผดเสียง “หม่อมฉันมิได้โกหกนะเพคะ!”
นางกวาดตาไปที่ฮองเฮา หนิงเฟย และหยุดค้างที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ พลางเอ่ยอย่างไร้กังวล “หม่อมฉันพยายามทำดีกับทุกคน มิเคยดุด่าต่อว่าเหล่าข้าหลวงด้วยถ้อยคำหยาบคาย หม่อมฉันประสบพบเจอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเติ้งจื่อมาแล้วตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ฝ่าบาทให้พานไห่พาหม่อมฉันไปดูศพของคนที่หม่อมฉันเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อสิบปีก่อน การที่หม่อมฉันจำได้จะไม่ดูแปลกกว่าหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะไปเพราะจนด้วยคำพูด
ความในใจของเสียนเฟยยังระบายไม่หมด นางมองตรงไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้พลางย้อนถาม “การที่หม่อมฉันทำดีกับคนอื่นถือเป็นความผิดหรือเพคะ หากหม่อมฉันมองข้ารับใช้ในวังเป็นเพียงเหลือบไร ไม่ไยดีว่าพวกเขาจะเป็นหรือจะตาย หม่อมฉันก็คงไม่ต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากในวันนี้ให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะ”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ อาการของเสียนเฟยก็กำเริบ นางใช้ผ้าป้องปาก ไอโขลกแทบขาดใจ
เมื่อนางไอเสร็จ นางจดจ้องไปที่ผ้าเช็ดหน้าในมือเพียงชั่วครู่ก่อนจะรีบพับเก็บเข้าไว้ในแขนเสื้อ
ในตอนนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นรอยแดงเข้มข้นบนผ้าสีขาวราวสีของหิมะ
เขานึกหวั่นใจ นี่เสียนเฟยอาการหนักถึงขนาดนี้เชียวรึ
เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงตะลึงงันมิยอมเกริ่นกล่าว เสียนเฟยก็ได้แต่หัวเราะเย้ยหยันในใจ
เสี่ยวเติ้งจื่อก็ตายไปแล้ว ตายไปแบบที่ไม่มีหลักฐานเสียด้วย แล้วผู้ใดจะยืนยันได้ว่านางเป็นคนบงการ
สุดท้ายจะตัดสินเช่นไรขึ้นอยู่กับว่าฝ่าบาททรงเชื่อใครมากกว่ากันระหว่างนางและหนิงเฟย
เมื่อหางตาของนางชำเลืองไปเห็นหน้าบึ้งตึงของหนิงเฟย เสียนเฟยก็ยกยิ้มมุมปาก
ระหว่างคนที่ตายไปแล้วกับคนใกล้จะตายอย่างนาง นางรู้ดีว่าฝ่าบาททรงใจอ่อนเพียงใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิรู้จะทำเช่นไร
คนตายไปแล้ว ตอนนี้มีคนที่เกี่ยวข้องมีเพียงนางสนมสองคนนี้ สรุปแล้วว่าเป็นคนไหน หากไม่มีหลักฐานชี้ชัดแล้วจะสรุปได้อย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองตัดสลับระหว่างเสียนเฟยและหนิงเฟย
หรือว่าต่อให้ต้องตัดสินชีวิตใครพลาดไป ก็มิควรปล่อยให้อีกคนลอยนวล หรือว่าควรจัดการพวกนางทั้งคู่ไปเสีย
ฝ่ายฮองเฮาเม้มปากแน่นสนิท นางกำลังเตรียมใจรอรับแรงปะทะ
ฝ่าบาทอย่าทรงคิดว่าจะปล่อยผ่าน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเสียนเฟยหรือหนิงเฟย นางก็จะทำให้คนบงการชดใช้ในสิ่งที่ทำให้ได้
สิบสี่สละชีวิตเพื่อช่วยฝูชิง หากนางเรียกร้องความยุติธรรมคือให้สิบสี่ไม่ได้ และไม่สามารถปัดเป่าเภทภัยแทนฝูชิง นางคงรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเป็นแม่คน และละลายใจเกินกว่าจะเป็นฮองเฮา
เจียงซื่อส่งสายตาให้ฮองเฮา
ฮองเฮารับทราบจึงค่อยๆ ขยับถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เจียงซื่อเดินตามออกไปเงียบๆ
ในขณะนั้นทุกสายตายังคงพุ่งตรงไปที่เสียนเฟยและหนิงเฟย ไม่มีใครทันสังเกตว่าฮองเฮาไม่อยู่ที่นั่น
เมื่อเดินมาถึงที่ลับตาคน ฮองเฮาจึงเอ่ยถามแผ่วเบา “มีเรื่องใดงั้นหรือ”
“เสด็จแม่คิดว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเสี่ยวเติ้งจื่อเป็นหนึ่งในพระสนมสองพระองค์นี้หรือเพคะ”
ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “หากไร้ลมแล้วไซร้ หาใดจะมีคลื่นได้ ในเมื่อหลักฐานที่พบตอนนี้ชี้ไปที่นางทั้งสอง หากมิใช่พวกนางแล้วจะเป็นใครไปได้”
“เช่นนั้นพระองค์ทรงคิดว่าใครมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพคะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น “ยากจะบอก เสียนเฟยเป็นผู้มีพระคุณของเสี่ยวเติ้งจื่อ การที่เสี่ยวเติ้งจื่อจะรับคำสั่งเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณก็มีความเป็นไปได้ ส่วนหนิงเฟยก็เป็นเจ้านายของเสี่ยวเติ้งจื่อ แต่จากที่เห็น หนิงเฟยมองเสี่ยวเติ้งจื่อเป็นเพียงขันทีทั่วไป แต่ผู้ใดจะทราบว่าทั้งสองมีสัมพันธ์เบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่อย่างไร หนิงเฟยมีเงื่อนไขที่ลงตัวที่สุด เพราะต่อให้นางอาจเลี้ยงดูปูเสื่อเสี่ยวเติ้งจื่ออย่างดีก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ฮองเฮาเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ “เหตุใดเจ้าถึงได้ถามเล่า”
เจียงซื่อเอ่ยเบาสบาย “มีเรื่องเกิดขึ้นในวังหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า มีผู้บริสุทธิ์สังเวยชีวิตคนแล้วคนเล่า ลูกจึงคิดว่าคนที่เป็นคนสร้างคลื่นลมนี้ต้องเป็นคนชั่วร้าย มิควรปล่อยให้เขาทำร้ายคนอื่นๆ ได้อีกแล้วเพคะ”
“เจ้าพูดถูก จะปล่อยเรื่องวันนี้ผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ลูกมีวิธีที่จะพิสูจน์เพคะ”
ฮองเฮาชะงัก “วิธีอะไร”
“ให้เสด็จแม่พาพระสนมทั้งสองไปดูร่างขององค์หญิงสิบสี่ แล้วเดี๋ยวลูกจะบอกรายละเอียดพระองค์ในภายหลังเพคะ…”
ด้านจิ่งหมิงฮ่องเต้ หนิงเฟยกำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันมิได้เป็นคนสั่งให้เสี่ยวเติ้งจื่อทำร้ายองค์หญิงสิบสี่ แต่ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ เช่นนั้นพระองค์ก็จับหม่อมฉันแขวนคอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยสิเพคะ!”
เสียนเฟยหัวเราะขมขื่น “ปกติแล้ว มดตัวหนึ่งหม่อมฉันยังทำใจเดินเหยียบไม่ลง แล้วหม่อมฉันจะฆ่าคนได้อย่างไรเพคะ อีกอย่างการทำร้ายองค์หญิงจะมีประโยชน์อันใดเล่าเพคะ แต่หากฝ่าบาททรงยืนยันแน่วแน่ว่าเป็นฝีมือของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว เชิญพระองค์ลงทัณฑ์หม่อมฉันตามที่ทรงเห็นสมควรได้เลยเพคะ”
“พวกเจ้า…” ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำหม่น
ทั้งคู่ต่างก็อยู่กับเขามานานหลายสิบปี แน่นอนว่าคนที่สร้างปัญหาก็ต้องถูกจัดการ แต่ถึงกระนั้นเขาจะลงมือกับผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
ฮองเฮาเดินกลับมา “น้องทั้งสองกล่าวเช่นนี้จะไม่เป็นการสร้างความลำบากใจให้ฝ่าบาทไปหน่อยหรือ”
พระสนมทั้งสองหันมามองฮองเฮาเป็นตาเดียว
ฮองเฮาถอนหายใจแผ่วเบา “ความจริงข้าก็มิได้อยากสงสัยในตัวพวกเจ้าทั้งสอง หากน้องทั้งบริสุทธิ์ใจ พวกเจ้าก็ไปส่งสิบสี่เป็นครั้งสุดท้ายหน่อยเถิด เด็กคนนั้นไม่มีมารดา อีกทั้งการจากไปของนางในวันนี้ก็น่าเวทนายิ่งนัก”
ข้อเสนอของฮองเฮาทำให้หลายคนชะงักงัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้จำต้องเอ่ยเรียก “ฮองเฮา…”
ฮองเฮาปราดตาไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ ปากของเขาหุบลงทันใด