“เสียนเฟย?” ในสมองของจิ่งหมิงฮ่องเต้ปรากฏภาพสตรีซูบผอมกะหร่องคล้ายผีสาว
เขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่สองที่กล่าวมาจะเกี่ยวข้องกับเสียนเฟย เพราะสภาพร่างกายของเสียนเฟยในตอนนี้ย่ำแย่ลงทุกวัน ดูแล้วมิน่าจะเป็นคนก่อเรื่อง
“เกี่ยวกับเสียนเฟยอย่างนั้นรึ”
พานไห่หลุบตา “เมื่อสิบปีก่อน เสี่ยวเติ้งจื่อเป็นข้าหลวงที่ทำหน้าอยู่ในห้องเครื่องต้น แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาไม่ทันระวังทำถ้วยคว่ำ ด้วยความตกใจกลัว เขาเตรียมจะกระโดดลงไปในน้ำ เสียนเฟยเหนียงเหนียงมาเห็นเข้าพอดี พระนางจึงได้ช่วยชีวิตเขาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดมุ่น “มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง”
โดยส่วนมาก หากเรื่องที่ข้าหลวงที่ติดค้างบุญคุณของเหนียงเหนียงองค์ใดถูกเผยแพร่ออกไป นางสนมองค์อื่นๆ ก็จะไม่อยากรับข้าหลวงผู้นั้นเข้ามาทำงานอยู่ในตำหนักของตน แต่สิบปีต่อมา เติ้งกงกงกลายมาเป็นคนดูแลอยู่ในห้องชาของตำหนักชุนหว่า
หนิงเฟยเป็นนายหญิงของตำหนักชุนหว่า นางได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นพระสนมนานแล้ว หากนางทราบเรื่องนี้แต่แรก นางคงไม่ปล่อยให้เติ้งกงกงมาคอยรับใช้
“หม่อมฉันไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ” หนิงเฟยเอ่ยด้วยความเดือดดาล
ที่แท้ในตำหนักของนางก็มีคนของเสียนเฟยแฝงตัวอยู่อย่างนั้นหรือ
แค่หนิงเฟยคิดว่าคนที่คอยดูแลน้ำชาและผลไม้ที่นางดื่มกินอยู่ทุกวันคือคนที่เคยค้างหนี้บุญคุณเสียนเฟย นางก็แทบอยากจะกระอักเลือดตายเสียเดี๋ยวนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหล่มองไปที่หนิงเฟยพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์
การที่เขาอดทนความเรื่องมากของเหล่านางสนมได้ในยามปกติ ใช่ว่ายามนี้เขาจะยอม
หากจะให้พูด การที่เขายอมมิใช่ว่าเขากลัว เพียงแต่เขาเห็นใจชีวิตของสตรีในวังหลวงที่ไร้อิสรภาพยิ่งกว่าเขาที่เป็นฮ่องเต้ต่างหาก
ฉะนั้นยามที่เกิดเรื่องคอขาดบาดตาย เขาจึงทนได้ไม่นาน
หนิงเฟยเม้มปากไม่ส่งเสียง
พานไห่ตอบ “นอกจากเสียนเฟยเหนียงเหนียง คาดว่าน่าจะมีแค่คนเดียวที่ทราบคือเสี่ยวจัวจื่อพ่ะย่ะค่ะ เขาคือคนที่นำผลไม้จากเทือกเขาทั้งห้าทางทิศใต้ไปส่งที่ตำหนักอวี้เฉวียนพร้อมกับเสี่ยวเติ้งจื่อในเวลานั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ผลไม้จากเทือกเขาทั้งห้าทางทิศใต้?
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับคิ้วเผยแววตาฉงนสงสัย
พานไห่เข้ามาอธิบาย “ในปีนั้น ผู้ปกครองในพื้นที่เทือกเขาทั้งห้าทางทิศใต้ได้นำลิ้นจี่มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ พระองค์ทรงสั่งให้ห้องเครื่องต้นนำผลไม้หายากเหล่านี้ไปมอบให้แก่เหนียงเหนียงแต่ละพระองค์พ่ะย่ะค่ะ…”
เคยมีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กะพริบตา
ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อสิบปีก่อนเขาจะเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้ หากเป็นตอนนี้เขาคงเก็บไว้กินคนเดียว…
ฮองเฮาและหนิงเฟยนึกย้อนกลับไป
ลิ้นจี่เติบโตได้ดีเฉพาะบริเวณเทือกเขาทั้งห้าทางทิศใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันลี้ ฉะนั้นการเก็บรักษาและการขนส่งจึงมิใช่เรื่องง่าย อีกทั้งฮ่องเต้ก็มิใช่คนฟุ่มเฟือย ถึงแม้พวกนางจะมียศสูงเพียงไรก็ใช่ว่าจะได้ทานลิ้นจี่ทุกปี
ดังนั้นเมื่อเป็นผลไม้หายาก พวกนางถึงจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ
พานไห่กล่าวต่อ “ในตอนนั้นเสี่ยวเติ้งจื่อและเสี่ยวจัวจื่อเป็นผู้นำลิ้นจี่ไปถวายที่ตำหนักอวี้เฉวียน ทั้งคู่สงสัยว่ารสชาติลิ้นจี่เป็นเช่นไร ถึงได้แอบเปิดถ้วยออกมาดม แต่เสี่ยวเติ้งจื่อไม่ทันระวังจึงทำถ้วยที่ใส่ลิ้นจี่หลุดมือ ลิ้นจี่เกือบครึ่งกลิ่งตกลงไปในทะเลสาบ ด้วยความร้อนใจเขาแทบจะกระโดดลงไปในทะเลสาบพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเสียนเฟยทราบได้อย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมเสี่ยวจัวจื่อไปเสียสนิทถึงได้เอ่ยถึงเสียนเฟยเป็นอันดับแรก
“บังเอิญว่าเสียนเฟยเหนียงเหนียงทรงออกมาเดินเล่นถึงได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้นเข้าพอดีพ่ะย่ะค่ะ เสียนเฟยเหนียงเหนียงมิได้ละโทษของเสี่ยวเติ้งจื่อเท่านั้น พระนางยังทรงช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับโดยทำเป็นว่าได้รับลิ้นจี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเสียนเฟยและเสี่ยวเติ้งจื่อพ่ะย่ะค่ะ…” กว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดจบ พานไห่ก็พูดจนปากแห้ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังแล้วจึงถามต่อ “ฉะนั้นเจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากปากของเสี่ยวจัวจื่ออย่างนั้นหรือ”
พานไห่เผยสีหน้าแปลกประหลาดพลางตอบ “เสี่ยวจัวจื่อป่วยตายไปตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ในเมื่อนอกจากเสียนเฟย ก็มีแค่เสี่ยวเติ้งจื่อและเสี่ยวจัวจื่อที่รู้ แล้วเจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากปากใคร”
พานไห่ส่งสายตาให้คนผู้นั้นก่อนที่เขาจะรี่มายืนอยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองนิ่ง เพราะคนผู้นั้นคือเสี่ยวเล่อจื่อ ผู้เป็นลูกศิษย์ของพานไห่
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้เสี่ยวเล่อจื่อจะเป็นคนมีไหวพริบดีแต่เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ เขาก้มศีรษะต่ำพลางกล่าว “กราบทูลฝ่าบาท บ่าวเป็นคนบอกท่านอาจารย์เองพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”
เสี่ยวเล่อจื่อส่งสายตาไปหาพานไห่ไวว่องก่อนสติจะค่อยๆ กลับเข้าที่ เขาค่อยๆ อธิบาย “ในตอนนั้น หลังจากที่บ่าวเสร็จหน้าที่แล้ว บ่าวรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงแอบไปงีบอยู่ที่หลังเขาจำลอง แต่แล้วจู่ๆ กลับได้ยินเสียงคนร้องพ่ะย่ะค่ะ…”
ในวังหลวงมีภูเขาจำลองมากมาย หากแอบนอนหลบอยู่ในมุมดีๆ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีท่างสังเกตเห็น
การต้องเล่าเรื่องที่ตัวเองแอบอู้งานทำให้เสี่ยวเล่อจื่อประหม่าเล็กน้อย “หลังจากนั้นบ่าวเห็นเสียนเฟยเสด็จมา เลยไม่กล้าโผล่หน้าออกไปพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครอีก นานวันเข้า เรื่องนี้ก็ค่อยๆ กระถดหายไปในความทรงจำ แต่พอวันนี้ท่านอาจารย์ตามหาคนที่นี่น่าจะมีความข้องเกี่ยวกับเติ้งกงกง บ่าวเลยฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเล่าให้ท่านอาจารย์ฟังพ่ะย่ะค่ะ”
เขากล่าวในขณะที่แอบชำเลืองตาไปทางอวี้จิ่น และลงความเห็นในใจว่า หากคนที่บงการเติ้งกงกงคือเสียนเฟยจริง ก็แปลว่าตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่วจริงตามที่เยี่ยนอ๋องตรัสใช่หรือไม่
ฝ่ายอวี้จิ่นที่ได้ยินว่าเติ้งกงกงมีความเกี่ยวข้องกับเสียนเฟย ใบหน้าของชายหนุ่มก็นิ่งเรียบ ไม่สื่ออารมณ์ใด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองไปรอบๆ พลางเอ่ยเย็นชา “ไปเรียกเสียนเฟยมาที่ตำหนักชุนหว่าเดี๋ยวนี้”
ผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ เสียนเฟยก็มาถึงหน้าประตูตำหนักชุนหว่า นางหยุดพักหายใจหลายครั้ง นางในก็ค่อยๆ พยุงนางเดินมาที่หน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา” เพียงเสียนเฟยย่อเข่าทำความเคารพ ลมหายใจของนางก็หอบรัว
ไทเฮาถูกฮ่องเต้โน้มน้าวให้เข้าไปพักอยู่ในตำหนักชุนหว่า ฉะนั้นตอนนี้นางจึงไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่นๆ เป็นการลดจำนวนคนที่เสียนเฟยต้องทำความเคารพไปในตัว
เมื่อมองสีหน้าย่ำแย่ประหนึ่งว่าพร้อมจะสิ้นลมทุกเมื่อของเสียนเฟย จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนหายใจ
สภาพของเสียนเฟยทรุดหนักถึงเพียงนี้แล้ว นางจะเป็นคนก่อเรื่องได้อย่างไร
ไม่น่านะ เสียนเฟยมิน่าใช่พวกนางสนมร้ายกาจเช่นนั้น
เลิกคิดดีกว่า ถามไปเดี๋ยวก็รู้เอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าเครียดขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาทำไม”
เสียนเฟยส่ายศีรษะ “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
“เจ้าลองไปดูหน้าคนผู้นั้นหน่อย พานไห่…”
พานไห่ผายมือ “เสียนเฟยเหนียงเหนียง เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่พาเสียนเฟยมายืนอยู่ตรงหน้าร่างเติ้งกงกงพลางชี้นิ้วออกไป “เสียนเฟยเหนียงเหนียงทอดพระเนตรหน่อยเถิดว่าพระองค์ทรงรู้จักคนผู้นี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยเหลือบมองแล้วใบหน้าของนางก็ซีดเผือด สั่นสะท้านไปทั้งทรวง
“เหนียงเหนียง…” นางในที่พยุงเสียนเฟยตกใจกลัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ “…”
เสียนเฟยเดินกลับไปยืนอยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ใบหน้าซีดเผือดของนางทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกหวั่นใจ เขาลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “เสียนเฟย เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
เสียนเฟยตอบโดยไม่ลังเล “หม่อมฉันไม่รู้จักเพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้แข็งค้าง “ไม่รู้จัก? เสียนเฟย เจ้ารู้โทษของการหลอกลวงจักรพรรดิใช่หรือไม่”
เสียนเฟยมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยความสงสัยระคนตื่นกลัว “เหตุไฉนฝ่าบาทถึงตรัสเช่นนี้เล่าเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ คนผู้นี้น่าจะเป็นขันทีทั่วไปมิใช่หรือเพคะ”
“ขันทีทั่วไปอย่างนั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเย็น “เจ้ามิใช่ผู้มีพระคุณของเขาหรอกรึ”
“ผู้มีพระคุณ?” เสียนเฟยตกใจหนักกว่าเก่า เม็ดเหงื่อผุดพรายไหลซึมออกมาตามโคนผมบนหน้าผากเห็นได้ชัดว่าร่างกายของนางอ่อนกำลังมากทีเดียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่พานไห่แวบหนึ่ง
พานไห่รับทราบก่อนจะสาธยายเรื่องความสัมพันธ์ของเสียนเฟยและเติ้งกงกงให้เจ้าตัวฟัง
“เสียนเฟยมีสิ่งใดจะตรัสหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น เสียนเฟยก็หัวร่อเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นเจือไปความขมขื่น “ฝ่าบาทสดับฟังคำไร้สาระนี้เลยทรงเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นคนชักใยงั้นหรือเพคะ ทั้งที่หนิงเฟยที่เป็นนายหญิงของตำหนักชุนหว่าและเป็นเจ้านายของเสี่ยวเติ้งจื่อมาตั้งหลายปี แต่หม่อมฉันกลับดูน่าสงสัยมากกว่าหนิงเฟยหรือเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับหม่อมฉันเลยนะเพคะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าน่าสงสัยทั้งคู่แหละ เพียงแต่เมื่อกี้เจ้าโกหก”
เสียนเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อพลางเอ่ยนิ่งเนิบ “หม่อมฉันมิได้โกหกเพคะ”