ดวงอาทิตย์ขับแสงเจิดจ้า หมู่บุปผาเบ่งบานท่ามกลางเสียงขับประสานแว่วหวานของนกและแมลงเป็นดนตรีแห่งคิมหันตฤดู
แม้อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่วิจิตรงดงาม แต่ผู้คนตรงนั้นกลับขนลุกซู่ สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่ร่างแข็งทื่อที่กลับหัวกลับหางอยู่ในอ่างน้ำบัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเน้นที่ละคำด้วยใบหน้าคล้ำหม่น “นำตัวออกมา”
ข้าหลวงสองสามคนช่วยกันนำร่างในอ่างน้ำออกมาวางไว้บนพื้น
ร่างเปียกปอนทำให้พื้นบริเวณใกล้เคียงเปียกชุ่ม
คนที่เห็นใบหน้าซีดเซียวก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “นี่มันเติ้งกงกงมิใช่รึ”
อวี้จิ่นเดินข้าไป ย่อตัวลงตรวจสอบร่างนั้นก่อนจะหันมาพยักหน้าเล็กน้อยให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ “คนผู้นี้มีบาดแผลบริเวณใบหน้า แม้ว่าร่างกายจะแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานจนไม่ปรากฏรอยเลือด แต่ถึงกระนั้นตามอาภรณ์และรองเท้ากลับมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ ดังนั้นเอ้อร์หนิวถึงจึงหาตัวพบพ่ะย่ะค่ะ…”
“หากจะบอกเช่นนี้ก็หมายความว่าคนผู้นี้คือคนที่ทำร้ายองค์หญิงอย่างนั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเข้ม
อวี้จิ่นตอบ “รอยเลือดที่พบบริเวณริมทะเลสาบปี้ปัวเป็นคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบที่รอบคอบเช่นนี้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก เขาคิดว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น บุตรชายคนนี้คือคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุดแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประทับใจในตัวอวี้จิ่นมากกว่าก่อน เขาหันไปถามขันทีสองคนที่มาถึงริมทะเลสาบเป็นกลุ่มแรก “ที่พวกเจ้าบอกว่าเห็นด้านหลังของคนร้าย คิดว่าเป็นคนผู้นี้ใช่หรือไม่”
เมื่อถูกฮ่องเต้ถาม ขันทีทั้งสองก็ได้แต่ยืนตัวสั่น
ฮองเฮาที่ยืนอยู่ข้างจิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาตรัสถาม พวกเจ้าก็แค่ตอบไปตามความจริง”
ขันทีคนหนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “กระหม่อมเห็นแค่ด้านหลัง จึงจำรูปร่างได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะมีข้าหลวงอีกสองคนช่วยกันจับร่างที่นอนอยู่ตั้งขึ้น โดยหันด้านหลังของร่างนั้นไปทางขันทีทั้งสอง
“ว่าอย่างไรล่ะ” เมื่อเห็นว่าขันทีทั้งสองจ้องมองนิ่งๆ ไม่เกริ่นกล่าว ฮองเฮาจึงเอ่ยถาม
คราวนี้นางจะต้องกระชากหน้ากากคนร้ายที่ชักใยอยู่เบื้องหลังให้ได้ อย่าคิดจะมาตบตานางให้ยาก
ขันทีคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ดูเหมือนว่า…ตอนนั้นกระหม่อมมองแบบผ่านๆ จำได้ว่าเขาน่าจะสูงปานกลาง ร่างผอมคล้ายขันทีผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ…”
ขันทีอีกคนพยักหน้าเห็นพ้อง
ท่าทีของจิ่งหมิงฮ่องเต้เย็นชาทันใด
เอ้อร์หนิวตามกลิ่นมาถึงที่นี่ อีกทั้งรูปพรรณสัณฐานก็ตรงกับคำให้การ หากคนผู้นี้ไม่ได้ทำร้ายฝูชิงและสิบสี่แล้วจะเป็นใครไปได้
“เติ้งกงกงผู้นี้เป็นใครกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามด้วยใบหน้าคล้ำหม่น
พานไห่รีบตอบ “กราบทูลฝ่าบาท เสี่ยวเติ้งจื่อมีหน้าที่ดูแลพระสุธารสชาในตำหนักชุนหว่าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปราดตามองไปทางหนิงเฟย
การที่พานไห่สามารถจดจำคนผู้นี้ได้ก็แสดงว่าเขาคงเป็นคนสำคัญ อีกทั้งเขายังทำงานอยู่ในตำหนักชุนหว่า แล้วจะไม่มีความข้องเกี่ยวกับหนิงเฟยได้อย่างไร
หนิงเฟยเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้มองด้วยสายตาเช่นนั้นก็โกรธขึ้ง
โดยนิสัยของนางแล้ว ในยามปกตินางคงทะเลาะกับฝ่าบาทไปแล้ว แต่ตอนนี้มิใช่เวลาจะทำตามอารมณ์
หนิงเฟยรีบคุกเข่าลงต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้พลางกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เสี่ยวเติ้งจื่อเป็นคนของตำหนักชุนหว่าจริงเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เลยแม้แต่น้อย ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ”
“ข้าต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่แล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็น
เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าถึงขั้นนำมาสู่การเสียชีวิตขององค์หญิงสิบสี่กระตุ้นความเดือดดาลของคนอารมณ์ดีอย่างจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้โดยสมบูรณ์
ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องจบง่ายๆ ต่อให้เป็นหนิงเฟยก็ตาม…
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่หนิงเฟยด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ไม่ว่าเป็นใคร เขาก็จะไม่ปล่อยไว้ทั้งนั้น!
หนิงเฟยขบริมฝีปากแน่น
นางนั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ แท้ๆ แต่ภัยกลับมาเยือนถึงหน้าประตู เสี่ยวเติ้งจื่อก็ดูเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นกำลังตรวจสอบร่างของเติ้งกงกง จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงหันไปสั่งพานไห่ “เจ้าไปสอบปากคำคนในตำหนัก”
พานไห่เรียกคนในตำหนักชุนหว่าออกมารวมกันและเริ่มทำการสอบสวน
ในวังมีระดับชนชั้นแบ่งแยกชัดเจน รวมถึงเหล่าข้าหลวงด้วย ข้าหลวงระดับต่ำจะถูกกำหนดสถานที่ทำงานและช่วงเวลาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถแอบหนีไปที่ไหนได้
แต่เติ้งกงกงเป็นขันทีระดับสูงฉะนั้นจึงมีอิสระที่จะไปไหนมาไหน การที่เขาจะใช้ข้ออ้างแอบออกไปด้านนอกจึงมิได้เป็นที่สังเกต
ไม่นานพานไห่ก็ทราบเวลาที่เติ้งกงกงออกไปจากตำหนักซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เกิดเรื่องกับองค์หญิงทั้งสอง
ด้วยเหตุนี้ เติ้งกงกงจึงเป็นฆาตกรอย่างไร้ข้อกังขา
เสียงของอวี้จิ่นดังขึ้น “เป็นไปได้สูงว่าคนผู้นี้จะฆ่าตัวตาย”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามหน้าเครียด
อวี้จิ่นชี้ไปที่บริเวณปากและจมูกของเติ้งกงกงพลางอรรถาธิบาย “ลูกตรวจสอบบริเวณปากและจมูกของเขาพบว่ามีรอยฟองอากาศคล้ายเห็ดอยู่ที่บริเวณนั้น ใต้เท้าเจินเคยบอกลูกว่า ลักษณาการเช่นนี้ชี้ชัดว่าขณะที่ศีรษะจุ่มอยู่ในอ่างน้ำ เขายังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“มิใช่ว่ามีใครจับเขากดน้ำหรอกหรือ” ฮองเฮาอดถามไม่ได้
จากความรู้สึกของนาง นางไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของหนิงเฟย แต่ในเมื่อเบาะแสทั้งหมดชี้เป้าไปที่เสี่ยวเติ้งจื่อ ข้อสันนิษฐานนี้จึงตกแก่หนิงเฟยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ไม่มีใครเชื่อว่าขันทีคนหนึ่งจะมีเหตุผลเพียงที่จะทำร้ายองค์หญิง
ในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องมีคนคอยสั่งการอย่างแน่นอน
หากผู้เป็นนายเป็นคนฆ่าเติ้งกงกง คำตอบของเรื่องนี้คงง่ายขึ้นมาก
“กระหม่อมได้ตรวจสอบบริเวณศีรษะและตามเนื้อตัวของเขาเพิ่มเติมแล้ว นอกจากบาดแผลบนหน้า ตามเนื้อตัวไม่มีบาดแผลอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ซึ่งนี่แสดงว่าเขาไม่ได้ถูกคนทำร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเอง สมองของหนิงเฟยก็ประมวลผลรวดเร็วกว่าปกติ นางเอ่ย “เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะถูกวางยาสลบก่อนที่จะถูกโยนทิ้งในอ่างน้ำ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าตอนที่เขาลงไปในอ่างน้ำ เขายังมีชีวิตอยู่ และตามเนื้อตัวก็จะไม่มีบาดแผลและร่องรอยการต่อสู้”
สายตาที่ฮองเฮามองมาที่หนิงเฟยแปลกไปเล็กน้อย
ฝูชิงก็ถูกวางยาก่อนที่จะถูกโยนลงน้ำเหมือนกัน…
อวี้จิ่นพยักหน้า “กระหม่อมจะไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ แต่เดี๋ยวคงต้องให้หมอหลวงตรวจสอบสารพิษในร่างของเขาอีกหน่อย แต่ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบถาม
ท่ามกลางสายตาสงสัยหลายคู่ อวี้จิ่นอธิบายอย่างฉะฉาน “โดยส่วนมากแล้ว การที่ชายวัยกลางคนถูกโปะยาสลบจนไม่สามารถดิ้นได้ เป็นไปได้น้อยมาก”
แม้ว่าร่างของเขาจะดูเล็ก แต่จากรูปร่างของขันที ผู้หญิงส่วนใหญ่คงสู้แรงเขาไม่ได้
“ท่านหมอเฉิน…” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขานเรียก
แพทย์หลวงวัยชรากลั้นใจก้าวเท้าออกมา หยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องยาและเริ่มตรวจร่างศพ ในใจตั้งมั่นแน่วแน่ว่า หลังจากนี้จะหาโอกาสเกษียณตัวเองออกไปอยู่ที่บ้านเกิด
เขาดูแลสุขภาพพลานามัยของเหล่าผู้สูงศักดิ์ยังไม่พอ ยังต้องมาลูบๆ คลำๆ ศพคนตายอีก ชีวิตหนอชีวิต
ผ่านไปครู่ใหญ่ แพทย์หลวงเฉินก็ยกมือคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้พร้อมรายงาน “กราบทูลฝ่าบาท บนร่างนี้ไม่มีสารพิษพ่ะย่ะค่ะ”
บนโลกนี้มีพิษตั้งหมื่นพันชนิด และเมื่อคนหนึ่งตายจากไปแล้ว เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้
ดังนั้น ข้อสันนิษฐานว่าเติ้งกงกงฆ่าตัวตายจึงได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อย
พานไห่เดินออกมาจากห้องสอบสวน และตรงไปที่หน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้พลางประสานมือไว้ที่อก “ฝ่าบาท กระหม่อมได้เบาะแสสองเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา!”
พานไห่ชำเลืองไปที่หนิงเฟยแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตากล่าว “เมื่อสี่ปีก่อน หนิงเฟยเหนียงเหนียงทรงเคยมีปากเสียงกับเฉินเหม่ยเหรินพ่ะย่ะค่ะ…”
สีหน้าของหนิงเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง “ก็แค่เหม่ยเหรินยศต่ำ อีกทั้งยังตายไปแล้ว ข้าจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องเล็กๆ แค่นั้น และพาลไปลงกับบุตรสาวของนางอย่างนั้นรึ ต่อให้เป็นการแก้แค้นจริง ข้าจะลากองค์หญิงฝูชิงเข้ามาเอี่ยวด้วยทำไม ข้ามิได้ไร้สมองขนาดนั้น!”
“แล้วเรื่องที่สองล่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้ให้ความเห็นกับคำแก้ตัวของหนิงเฟย เขาเพียงแต่ถามต่อ
พานไห่ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “เรื่องที่สองเกี่ยวกับเสียนเฟยเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”