แม้จะตัดสินใจและสำรวจลู่ทางมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่เสียนเฟยกลับยังว้าวุ่นใจ
ในตำหนักอวี้เฉวียนไม่มีคนที่ใช้การได้เลยสักคน
จิตใจของคนในตำหนักอวี้เฉวียนกระเจิงกันไปคนละทิศ มีเพียงเหล่าคนสนิทที่อยู่กับนางมานานหลายปีเพียงสองสามคน แต่หากนางใช้ให้คนเหล่านี้ทำร้ายองค์หญิงฝูชิงแล้วถูกจับได้ นางก็คงรอดด้วยเหมือนกัน
เสียนเฟยไม่อยากแบกรับโทษทัณฑ์จากจิ่งหมิงฮ่องเต้
ถึงแม้ไทเฮาจะรับปากแล้วว่า หากสุดท้ายนางเอาชีวิตไม่รอด ไทเฮาก็จะช่วยจังเอ๋อร์ แต่ถึงกระนั้น สถานการณ์เช่นนี้ก็นับว่าเลวร้ายสำหรับจังเอ๋อร์อยู่ดี
การที่นางไม่เดินไปถึงจุดนั้นย่อมดีกว่า
ถึงแม้นางในตอนนี้เป็นเหมือนนักพนันที่สิ้นหวัง แต่นางก็ยังอยากเลือกไพ่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เสียนเฟยใช้เวลาครุ่นคิดอยู่หลายวันกว่าจะตัดสินใจได้ นางสั่งให้นางในคนสนิทนำจดหมายไปส่งให้ขันทีคนหนึ่งของตำหนักชุนหว่า
ตำหนักชุนหว่าคือที่ประทับของหนิงเฟย แต่ขันทีผู้นั้นเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเสียนเฟย
เดิมทีเขาเป็นหมากลับที่นางวางไว้นานแล้ว เผื่อว่าวันใดนางมีปัญหากับหนิงเฟย ขันทีผู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อแผนของนาง
แต่คิดไม่ถึงว่าหนิงเฟยจะมีลูกชายไร้สติสมประดี นางจึงไม่เคยใช้งานเขาเลยสักครั้ง แต่กลายเป็นว่าหมากที่วางไว้นานแล้วจะทำให้งานในปัจจุบันง่ายขึ้น
สั่งการให้หมากลับลงมือกับองค์หญิงฝูชิง ต่อให้เรื่องถูกเปิดเผย เขาก็เป็นคนของตำหนักชุนหว่า มิได้มีความข้องเกี่ยวกับตำหนักอวี้เฉวียน
เสียนเฟยวางแผนอย่างรัดกุม และเฝ้ารอให้ถึงวันที่จะลงมืออย่างใจจดใจจ่อ
อุณหภูมิด้านนอกสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางจากตำหนักฉือหนิงไปยังตำหนักคุนนิงมีพรรณไม้เขียวชอุ่มปนไปกับบุปผาบานสะพรั่ง
องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่คุ้นเคยกับกิจวัตรเช่นนี้ พวกนางตื่นแต่เช้าไปน้อมทักไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิง และนั่งรับประทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนไทเฮาที่นั่น หากไทเฮามิได้มีธุระใดต้องจัดการ พวกนางก็จะนั่งเล่นอยู่ที่นั่นครึ่งวันแล้วจึงไปน้อมทักฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิง
หลังจากนั้น หากพวกนางไม่ได้รับประทานมื้อเที่ยงที่ตำหนักคุนนิง พวกนางก็จะแยกย้ายกลับไปพักผ่อน ช่วงต่อจากนั้นจะเป็นเวลาส่วนตัวของแต่ละคน
วันนี้อากาศแจ่มใส ยามที่เดินออกมาจากตำหนักฉือหนิงจะได้กลิ่นดอกไม้หอมอวลจมูก บุปผาน้อยใหญ่กระจายตัวอยู่รอบๆ ผีเสื้อหลากสีบินว่อน ช่างเป็นภาพฤดูร้อนที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
องค์หญิงฝูชิงมองทิวทัศน์ตระการตาเหล่านี้เท่าไรก็ไม่เคยรู้สึกพอ สายตาไม่อาจละไปจากผีเสื้อสีชมพูตัวหนึ่งที่กำลังขยับปีกอยู่บนดอกไม้
แม้องค์หญิงสิบสี่จะเป็นคนเงียบๆ แต่เมื่ออยู่กับองค์หญิงฝูชิงนานวันเข้า นางกลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้าแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเก่า นางเอาพัดป้องปากบดบังรอยยิ้มพลางกล่าว “พี่สิบสาม เลิกดูได้แล้ว เจ้าผีเสื้อสีชมพูตัวนั้นยังสวยไม่สู้เจ้าเลย”
องค์หญิงฝูชิงแก้มแดงระเรื่อพึมพำ “น้องสิบสี่อย่าหยอกข้าซิ ถึงแม้ข้ามิได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แต่ก็มิได้งดงามไปกว่าผีเสื้อหลากสีตัวนี้”
องค์หญิงสิบสี่หัวเราะคิกคัก “พี่สิบสาม เดินผ่านที่เดิมทุกวัน ภาพที่เห็นก็เหมือนเดิมๆ พี่ยังดูไม่พออีกหรือ”
“ใครบอกกันว่าเหมือนเดิม” องค์หญิงฝูชิงชี้ไปที่พุ่มดอกเสาเย่าข้างทาง “เห็นดอกเสาเย่าสีม่วงดอกนั้นหรือไม่”
องค์หญิงสิบสี่พยักหน้า
“เมื่อวานดอกนั้นยังตูมอยู่ แต่วันนี้บานแล้ว” องค์หญิงฝูชิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น ธรรมชาติไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักวัน
องค์หญิงสิบสี่คลี่ยิ้มเผยแววตาอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าแสงระเรื่อของฤดูร้อน “ข้าผิดเอง แต่ละวันไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย”
องค์หญิงฝูชิงจูงมือองค์หญิงสิบสี่ “พวกเรารีบไปกันเถอะ เมื่อวานเสด็จแม่ตรัสว่ามื้อเที่ยงวันนี้มีพระโดดกำแพง”
“อื้อ”
องค์หญิงทั้งสองจูงมือกันเดินไป แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากด้านหลัง
“องค์หญิงทั้งสองช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ…”
เด็กสาวทั้งสองหันกลับมามองคนที่วิ่งตามพร้อมกัน
คนที่วิ่งตามมาคือขันที แต่เพราะรีบวิ่งจนเกินไป ลมหายใจจึงถี่รัวไม่เป็นจังหวะ เขาก้มศีรษะทำความเคารพองค์หญิงทั้งสอง “องค์หญิงฝูชิง ไทเฮาเชิญให้พระองค์เสด็จกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จย่าเรียกข้ากลับไปอย่างนั้นหรือ” แม้องค์หญิงฝูชิงจะแปลกใจ แต่นางก็หันไปกล่าวแก่องค์หญิงสิบสี่อย่างรวดเร็ว “น้องสิบสี่ ไปกราบทูลเสด็จแม่หน่อยก็แล้วกันว่าข้าจะไปช้าหน่อย”
องค์หญิงสิบสี่ชำเลืองมองไปที่ขันทีผู้นั้นก่อนจะดึงมือองค์หญิงฝูชิงมากุมไว้ “พี่สิบสาม ข้ากลับไปกับพี่ดีกว่า”
ในขณะที่องค์หญิงฝูชิงพยักหน้ารับ ขันทีก็เอ่ยว่า “จากที่บ่าวได้ยิน ดูเหมือนไทเฮามีเรื่องจะตรัสกับองค์หญิงฝูชิงเป็นการส่วนตัวนะพ่ะย่ะค่ะ…”
องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่หันมาสบตากัน
ขันทีก้มศีรษะพลางเร่งเร้า “ไทเฮาทรงรออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทั้งสอง…”
“น้องสิบสี่ เจ้าล่วงหน้าไปที่ตำหนักคุนหนิงก่อนเถิด ข้าเข้าเฝ้าเสด็จย่าเสร็จแล้วจะรีบตามไป”
องค์หญิงสิบสี่ทำได้เพียงพยักหน้ารับแต่โดยดี
องค์หญิงฝูชิงแยกกับองค์หญิงสิบสี่แล้วเดินตามข้าหลวงกลับไปที่ตำหนักฉือหนิง
ระหว่างทางองค์หญิงฝูชิงไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมความงามของธรรมชาติอีกแล้ว ในหัวของนางเค้นหาเหตุผลว่าเหตุใดไทเฮาถึงเรียกนางกลับไปเพียงลำพัง
เสด็จย่ามีธุระอะไรกับนางที่ไม่อาจพูดต่อหน้าน้องสิบสี่อย่างนั้นรึ
ต่อให้มีเรื่องจะพูดก็น่าจะรั้งตัวนางไว้แต่แรก และให้น้องสิบสี่กลับไปก่อนก็ได้มิใช่หรือ
เป็นเพราะคนแก่ก็ขี้หลงขี้ลืม หรือว่า…
เมื่อนางใช้สายตาสำรวจขันทีที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ฝีเท้าขององค์หญิงฝูชิงก็ชะงักทันใด
ขันทีผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ!
โดยปกติแล้ว ข้าหลวงเดินนำทางคนสูงศักดิ์ในวังจะต้องเดินค่อนไปทางซ้าย มิใช่ทางขวา
ด้วยจิตใต้สำนึกองค์หญิงฝูชิงจึงหันไปมองทางด้านขวาโดยพลัน หากเดินอ้อมเขาจำลองจะพบกับทะเลสาบปี้ปัว
“เหตุไฉนองค์หญิงถึงไม่เสด็จเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเห็นว่าองค์หญิงฝูชิงหยุดเดินจึงเอ่ยถามในขณะที่ยังก้มศีรษะ
องค์หญิงฝูชิงเผลอก้าวถอยไปครึ่งก้าวแต่น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบ “ข้าเพิ่งนึกออกว่าเสด็จแม่สั่งให้รีบไป มิฉะนั้นเสด็จแม่คงกังวลพระทัย ข้าก็เลยคิดว่าจะไปกราบทูลเสด็จแม่ที่ตำหนักคุนนิงก่อนแล้วค่อยตามกงกงไปที่ตำหนักฉือหนิง…”
ขันทีเงยหน้าขึ้นพลางแสดงสีหน้าลำบากใจ “แล้วองค์หญิงจะทรงปล่อยให้ไทเฮาต้องคอยนานหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรองค์หญิงสิบสี่ก็กลับไปกราบทูลฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วว่าไทเฮาทรงเรียกหาพระองค์ แล้วฮองเฮาเหนียงเหนียงจะกังวลพระทัยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จย่าไม่น่ามีเรื่องเร่งด่วนกับข้าปานนั้น แต่หากเจ้าเกรงว่าไทเฮาจะร้อนพระทัย เจ้าก็กลับไปรายงานก่อนก็แล้วกัน” องค์หญิงฝูชิงว่าจบแล้วจึงหลังหันกลับ
ท่าทีของขันทีที่ก้มหน้าอย่างนอบน้อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อยื่นออกมาปิดปากองค์หญิงฝูชิงฉับไว
รูปร่างของขันทีมิได้สูงใหญ่ เพียงแต่ในมือของเขามีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่ด้วย องค์หญิงฝูชิงที่ถูกปิดปากดิ้นอยู่ไม่นานก็ค่อยๆ หมดสติไป คราวนี้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกแล้ว
ขันทีถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เขาแอบก่นด่าความขี้ระแวงขององค์หญิงที่ถูกประคบประหงมมาเยี่ยงไข่ในหิน หากไม่มียาสลบ เขาคงต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้
โชคดีที่เสียนเฟยเหนียงเหนียงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
ขันทีอุ้มองค์หญิงฝูชิงเดินอ้อมภูเขาจำลองไปและวางร่างของนางลงข้างทะเลสาบปี้ปัว
……
ฝ่ายองค์หญิงสิบสี่ที่แยกจากองค์หญิงฝูชิงเดินตรงไปที่ตำหนักคุนหนิงยังไม่ทันไรนางก็หันหลังแล้ววิ่งกลับไป
เด็กสาววิ่งพลางกล่าวโทษตัวเองในหัว นางรู้สึกแต่แรกแล้วว่าไทเฮาดูแปลกๆ นางถึงได้ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้พี่สิบสามไปไหนมาไหนคนเดียว แต่เหตุใดนางถึงกล้าปล่อยให้พี่สิบสามเดินตามขันทีผู้นั้นไปนะ
หรือต่อให้ไทเฮามีเรื่องจะตรัสกับพี่สิบสามเป็นการส่วนตัว นางก็แค่รออยู่ด้านนอกตำหนักฉือหนิงก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือขันทีผู้นั้นก็ดูไม่คุ้นตา หากมิใช่ขันทีจากตำหนักฉือหนิงจะทำอย่างไร
ให้ตายเถอะ!
องค์หญิงฝูชิงที่พึ่งสำนึกได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางจึงทันเห็นภาพขันทีกำลังอุ้มองค์หญิงฝูชิงหายเข้าไปหลังเขาจำลองพอดี
ด้านหลังเขาจำลองคือทะเลสาบปี้ปัว…
สีหน้าขององค์หญิงสิบสี่เปลี่ยนไปฉับพลัน นางรีบถลาตัวไปที่ข้างภูเขาและกวาดตารอบทิศไวว่องก่อนจะคว้าหินก้อนหนึ่งขึ้นมาและโยนออกไป