เสียนเฟยอกสั่น
หากนางต้องแลกชีวิตของตัวเองกับการที่ไทเฮาจะช่วยจังเอ๋อร์ให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างหาที่สุดมิได้
เพราะถึงอย่างไรนางก็เหมือนคนใกล้ตายอยู่แล้ว ฉะนั้นความตายมิใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับนาง แต่หากต้องจากไปทั้งยังไปไม่ถึงเป้าหมาย แม้แต่นางในในตำหนักของนางก็คงหัวเราะเยาะชีวิตอาภัพของนางลับหลัง สู้นางไขว่คว้าตำแหน่งไทเฮาที่ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิไม่ดีกว่าหรือ
ตัวเลือกนี้ นางเลือกได้ไม่ยาก
แต่ถึงกระนั้นเสียนเฟยยังคงมีเรื่องสงสัยอีกไม่น้อย
การจะลงมือกับธิดาของฮองเฮามิใช่เรื่องง่าย หากทำสำเร็จ ฝ่าบาทคงเกลียดนางเข้ากระดูกดำ แล้วจังเอ๋อร์จะได้รับความโปรดปรานอย่างนั้นหรือ
ไทเฮาคาดเดาความกังวลของเสียนเฟยพลางเอ่ยเนิบนาบ “หากสุดท้ายความผิดตกอยู่ที่เจ้า ข้าจะช่วยฉีอ๋องอย่างสุดความสามารถ”
“ไทเฮา…” เสียนเฟยมองตรงเข้าไปในนัยน์ตาของไทเฮาด้วยความรู้สึกสับสนอลม่าน
การที่อีกฝ่ายมองเห็นนางอย่างทะลุปรุโปร่งทำให้เสียนเฟยตกใจยิ่งนัก แต่ทว่านางยังตัดสินใจไม่ได้
ไทเฮาคลี่ยิ้ม “หรือว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า”
“หม่อมฉัน…” เสียนเฟยอ้าปาก ทว่าไม่มีถ้อยคำหลุดออกมา
“เจ้าไม่เชื่อที่ข้าสัญญาว่าจะช่วย หรือเจ้าไม่เชื่อในความสามารถของข้าว่าสามารถช่วยฉีอ๋องได้”
ไทเฮาเอ่ยจบแล้วแต่สายตายังคงจ้องตรงมาที่เสียนเฟย หญิงชราเปล่งเสียงเอ่ยเน้นที่ละคำ “เจ้าอย่าลืมสิว่า ฝ่าบาทขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้อย่างไร”
เสียนเฟยตาเป็นประกาย
การที่องค์ชายต่ำต้อยไม่เป็นที่สะดุดได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็เป็นฝีมือของไทเฮา
ไทเฮาเขี่ยลูกประคำที่ข้อมือเป็นระยะ ส่งยิ้มแผ่วเบาพลางเอ่ย “ข้าเคยช่วยฝ่าบาทมาแล้ว ข้าก็ต้องช่วยฉีอ๋องได้เช่นกัน อีกอย่างฝ่าบาทก็กตัญญูต่อข้าเป็นที่สุด”
เสียนเฟยแคลงใจกับสิ่งที่ไทเฮากล่าวเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อนางเป็นคนผลักดันให้เขาขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้น แม้นางจะมีศักดิ์เป็นมารดา แต่ครั้นเสร็จสิ้นภารกิจ ไทเฮาก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ของฝ่าบาทเลย แล้วฝ่าบาทที่เป็นโอรสจะไม่กตัญญูต่อนางได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ฝ่าบาทเป็นคนจิตใจดีเป็นที่ประจักษ์
“ว่าอย่างไร เจ้าไตร่ตรองเสร็จหรือยัง”
คำถามนิ่งเนิบของไทเฮาดังกังวานอยู่ในหูของเสียนเฟย
ตอนนี้นางมีทางเลือกเพียงสองทาง
หากตอบตกลง ไทเฮาก็จะช่วยให้จังเอ๋อร์ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้น โอกาสก็จะมากขึ้น แต่ก็เป็นไปได้ว่าฝ่าบาทอาจคัดค้านเนื่องด้วยความชิงชังที่มีต่อนาง
แต่ทั้งสองอย่างนี้ หากยังไม่ถึงเวลาก็ยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์
แต่หากนางปฏิเสธ จังเอ๋อร์ก็ต้องทนรับมือกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบันต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าแทบจะไม่มีโอกาสได้เฉียดใกล้ตำแหน่งนั้นเลย
ส่วนชีวิตของนางนั้น นางเดินมาถึงจุดจบนานแล้ว เวลาที่เหลือมีอยู่น้อยนัก
เมื่อเห็นว่าเสียนเฟยยังคงละล่ำละลักไม่ยอมตอบ ไทเฮาก็หัวเราะ “นี่เป็นการเดิมพัน ฉะนั้นแล้วอย่าคิดหาเหตุผลจะดีกว่า หากข้าประกาศหาคนมาครองตำแหน่งองค์รัชทายาท จะมีสักกี่ที่กรูกันเข้ามารุมทึ้งแย่งชิง และดูซิว่ามันจะตกมาถึงเจ้าหรือเปล่า”
เสียนเฟยตื่นกลัว สีหน้าของนางเปลี่ยนไปฉับพลัน และแล้วนางก็พยักหน้าตอบรับในท้ายที่สุด
ไทเฮายิ้มได้ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนสู้คน มองไม่ผิดเลยจริงๆ”
เสียนเฟยหลุบตา นางลังเลใจอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองไทเฮา ถามว่า “หม่อมฉันอยากทราบสาเหตุที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพคะ”
“หื้ม?”
เสียนเฟยกำมือเล็กน้อยและลูบไล้ไปตามเล็บกุดๆ ของตัวเองพลางถาม “องค์หญิงฝูชิงรักเคารพพระองค์ และนางก็เป็นเพียงองค์หญิง…”
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดไทเฮาถึงต้องการชีวิตของฝูชิง
ท่าทีของไทเฮาเย็นชาโดยพลัน นางเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม คนที่ชอบการเดิมพัน อย่าได้ช่างสงสัยนักเลย”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
ไทเฮาผุดยิ้มอีกครั้ง “เจ้าไปได้แล้ว”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
เสียนเฟยเดินกลับออกมาจากตำหนักฉือหนิง เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
เดือนที่สี่เป็นเดือนที่อากาศดีที่สุด แต่เสียนเฟยกลับรู้สึกหนาวสะท้านแทงทะลุกระดูก ดูเหมือนว่าตอนนี้จะหนาวยิ่งกว่าตอนที่นางเดินออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียนเสียอีก
เดิมทีเสียนเฟยคิดว่าน้อมทักไทเฮาเสร็จแล้วก็จะกลับตำหนัก แต่ทว่าตอนนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว
นางต้องไปน้อมทักฮองเฮา
เมื่อนางไปน้อมทักไทเฮาก็ควรไปน้อมทักฮองเฮาด้วย จะได้ไม่ส่อพิรุธ และหลังจากนี้จะได้สะดวกแก่การลงมือ
ครั้นฮองเฮาได้ยินว่าเสียนเฟยมาขอเข้าเฝ้า นางข่มความประหลาดใจไว้แล้วจึงอนุญาตให้นางเข้ามา
ไม่นานสตรีนางหนึ่งภายใต้ใบหน้าไร้สีก็จรลีเข้ามา รูปร่างของนางผ่ายผอมเสียจนฮองเฮาเกือบจำนางไม่ได้
เมื่อความตกตะลึงผ่านพ้นไปแล้วจึงเหลือเพียงความเย้ยหยัน เมื่อเสียนเฟยที่เคยงามสง่าสดใสล้มป่วย บุปผาบานสะพรั่งก็กลายเป็นบุปผาเหี่ยวแห้งที่ใกล้ร่วงโรย นี่สินะ…สังสารวัฏ
และเนื่องด้วยสาเหตุนี้ สีหน้าของฮองเฮาที่มองมาที่เสียนเฟยจึงอ่อนโยนขึ้นมาก น้ำเสียงที่เปล่งอ่อนสุภาพตามไปด้วย “เจ้าเพิ่งจะดีขึ้น เหตุไฉนถึงไม่พักต่ออีกสักหน่อย”
เสียนเฟยคลี่ยิ้ม “การที่หม่อมฉันไม่สบายทำให้ไทเฮาและพระองค์ต้องเป็นห่วง หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายใจเพคะ เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันถึงได้รีบมาน้อมทักพระองค์และไทเฮาเพคะ”
“น้องเสียนเฟยก็เกรงใจเกินไป ว่าแต่นี่เจ้ามาจากตำหนักฉือหนิงหรอกรึ”
“เพคะ ตอนที่หม่อมฉันไปถึง ฝูชิงและสิบสี่กำลังอ่านนิทานให้ไทเฮาฟังอยู่พอดีเพคะ…”
ฮองเฮาคิดภาพแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
“มีองค์หญิงทั้งสองค่อยอยู่เคียงข้าง ไทเฮาทรงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากเพคะ” เสียนเฟยเฝ้าพิจารณาอากัปกิริยาของฮองเฮาและพบว่ารอยยิ้มของนางชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
ฮองเฮารีบยิ้มพลางเอ่ย “การได้สร้างความสำราญให้แก่ไทเฮานับเป็นเกียรติแก่เด็กทั้งสองยิ่งนัก”
เสียนเฟยส่งยิ้มตอบรับ แต่เพิ่มความระมัดระวังมากเป็นเท่าตัว
หลังจากไทเฮาเสนอให้องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ไปอยู่เป็นเพื่อนก็เกิดคลื่นกระเพื่อมในวังหลังขึ้นทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบรรดานางสนมที่มีธิดาต่างก็อิจฉาความโชคดีขององค์หญิงสิบสี่กันเป็นแถว
แต่ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของไทเฮาคือองค์หญิงฝูชิง ส่วนองค์หญิงสิบสี่ นางใช้มาเป็นข้ออ้างเท่านั้น
อีกทั้งฮองเฮาก็มิได้เห็นว่าการที่ธิดาไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮานับเป็นเกียรติแก่ชีวิตของนาง ถึงได้เตรียมตัวตั้งรับไว้พร้อม
“เสียนเฟย ข้าว่าสีหน้าของเจ้าดูไม่ใคร่จะดีนัก เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนจะดีกว่า” ฮองเฮาเฝ้าดูสีหน้าของเสียนเฟยแล้วจึงเอ่ยเตือน
เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวประหนึ่งคนตายของเสียนเฟย ฮองเฮาก็กลัวว่านางจะหมดสติเป็นลมไปตรงนี้ และหากเรื่องไปถึงหูฝ่าบาท ฝ่าบาทคงเข้าใจผิดว่านางคงพูดจารุนแรงกับเสียนเฟย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่าเวทนา ฮองเฮาก็มิได้รู้สึกอยากเอาชนะ
ในมุมของนาง ยิ่งลดปัญหาได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี
เสียนเฟยร่างกายย่ำแย่ร่อแร่เต็มที ครั้นฮองเฮารับสั่งให้นางกลับไปพัก นางก็ตอบรับด้วยลมหายใจหอบรัว “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ฮองเฮาโล่งใจ “เสียนเฟยกลับดีๆ ล่ะ”
เสียนเฟยเดินๆ หยุดๆ จนกระทั่งมาถึงตำหนักอวี้เฉวียน แต่สมองของนางยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตำหนักฉือหนิง
ไทเฮาที่เป็นที่ยอมรับของใต้หล้าและเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใดกลับต้องการชีวิตขององค์หญิงฝูชิง…
เสียนเฟยใช้เวลาคิดทบทวนกับตัวเองและเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น โรคดวงตาขององค์หญิงฝูชิง การวางยาพิษองค์หญิงสิบห้า และอุบัติเหตุที่เกือบทำให้องค์หญิงฝูชิงตกอยู่ในอันตรายครั้งเมื่อเทศกาลซั่งหยวน…
ยิ่งคิด หัวใจของเสียนเฟยก็ยิ่งสั่นระรัว
หรือว่าไทเฮาคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
แต่โรคดวงตาของฝูชิงเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่นางยังเป็นเด็ก แล้วเหตุใดไทเฮาถึงต้องเข่นฆ่าเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งด้วยเล่า
แต่เพราะไทเฮาระวังตัวเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ฝ่าบาทไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงทำหน้าที่ลูกกตัญญูมาโดยตลอด
ฉะนั้นแล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไทเฮาต้องการจบชีวิตองค์หญิงฝูชิง
องค์หญิงคนหนึ่งมีสิ่งใดให้ไทเฮาตัดสินใจเริ่มลงมือตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
นอกจากนี้ฮองเฮาเองก็มิได้ยินดีที่องค์หญิงฝูชิงต้องไปประจบเอาใจไทเฮาเสียด้วย เป็นเพราะนางกลัวว่าบุตรสาวของตนจะต้องลำบากใจ หรือว่านางทราบเบื้องลึกของไทเฮาแต่แรก?
เสียนเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นใจ นางเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งเลยว่า เรื่องในวังหลวงไม่เคยง่ายดายอย่างที่ตาเห็น ที่น่าขันคือนางเคยหลงคิดว่าตนเองวางตัวได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่แปลกที่ปั้นปลายของนางจะจบลงเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะจบชีวิตขององค์หญิงฝูชิงคงอาจมิได้ง่ายดายปานนั้น แล้วทีนี้นางควรลงมืออย่างไร
เสียนเฟยจ้องนิ่งไปที่ปลายเล็บสั้นกุดของตัวเองและจมเข้าไปในภวังค์แห่งความคิด