ฉีอ๋องถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ลงดาบเช่นนี้ เหล่าขุนนางย่อมมองออกเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ หลู่อ๋อง สู่อ๋องและเยี่ยนอ๋องจึงกลายเป็นเป้าสนใจของใจสาธารณชนทันที
หลู่อ๋องกลับไปที่จวนด้วยอารมณ์เริงร่า และกล่าวแก่พระชายาหลู่อ๋องว่า “มาดื่มชากับข้าสักจอกสิ”
พระชายาหลู่อ๋องขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรให้ยินดีงั้นหรือ”
หลู่อ๋องนั่งลงพร้อมส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม “แค่นี่เจ้าก็ดูออกด้วย วันนี้ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
“ไหนท่านอ๋องลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ ข้าจะได้มีความสุขอย่างท่านบ้าง”
หลู่อ๋องกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เดิมทีข้าคิดว่าการเป็นจวิ้นอ๋องจะทำให้ข้าต้องก้มหัวให้กับพี่น้องคนอื่นๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เรื่องราวจะกลับตาลปัตร เพราะวันนี้เจ้าพวกนั้นกลับสุภาพกับข้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ขนาดเมื่อก่อนข้าเป็นชินอ๋อง เจ้าพวกนั้นยังไม่เคยทำถึงขนาดนี้…”
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตามองบน “ก็แค่แสดงความเคารพต่อหน้า ท่านอ๋องอย่าคิดจริงจังนักเลย”
หลู่อ๋องได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ “เจ้าแปดกับเจ้าสี่ค่อยๆ ล่าถอยออกไปทีละคน ตอนนี้ก็เหลือแค่ข้า เจ้าหก เจ้าเจ็ดเท่านั้นที่ยังอยู่รอดปลอดภัย และเมื่อพิจารณาดูแล้ว ในบรรดาสามคน ข้ามีอายุมากที่สุด เจ้าพวกนั้นถึงได้นอบน้อมกับข้านัก”
“ท่านอ๋องหมายความว่า…”
หลู่อ๋องคลี่ยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ “ข้าจะเป็นแค่จวิ้นอ๋องได้อย่างไร ไม่แน่นะ หากโชคดีข้าอาจได้เป็นไท่จื่อก็เป็นได้…”
พระชายาหลู่อ๋องหัวเราะคิกคัก
“เจ้าหัวเราะอะไร”
พระชายาหลู่อ๋องหลุบยิ้ม พลางชำเลืองไปที่ชายหนุ่มก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาเชือดเฉือน “ข้าขอเตือนท่านอ๋องไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเพ้อไปไกลเลยจะดีกว่า ใครบอกกันว่าตำแหน่งไท่จื่อได้มาเพราะโชคช่วย ข้าไม่ต้องเอ่ยที่ไหนไกล ขนาดฉีอ่องที่ระวังเนื้อระวังตัวมาตลอด แต่จู่ๆ กลับถูกเสด็จพ่อเขี่ยทิ้งเอาเสียดื้อๆ ท่านอ๋องคิดว่าตัวเองทนทานกว่าฉีอ๋องรึเพคะ หรือว่าท่านอ๋องอยากเจริญรอยตามฉีอ๋องไปด้วยอีกคน”
หลู่อ๋องสั่นหัวหงึกหงัก
เขาไม่อยากเป็นแบบเจ้าสี่ เขาจำได้ขึ้นใจเลยว่าตอนเด็กๆ เจ้าสี่ทำให้เขากลายเป็นอันดับรั้งท้าย
คนอย่างเจ้าสี่น่ะหรือ แค่คิด เขาก็อยากจะร้อง ถุย ดังๆ
พระชายาหลู่อ๋องกลัวว่าหลู่อ๋องจะไม่ยอมปล่อยวางจึงกล่าวเสริม “ข้าและท่านอ๋องเป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าท่านอ๋องจะได้ดีหรือพังพินาศ ข้าก็ยอมรับได้ทั้งนั้น เพียงแต่ธิดาของพวกเราจะทำเช่นไร”
นางกล่าวพลางลูบท้องน้อยๆ ของตัวเอง “อีกอย่างในท้องนี้ก็ยังมีอีกคน…”
“เจ้าพูดอะไร” หลู่อ๋องอึ้งไปชั่วอึดใจก่อนจะแสดงท่าทางดีอกดีใจ เขาดึงพระชายาหลู่อ๋องเข้ามาไว้ในอ้อมกอดและหอมฟอดใหญ่ “เจ้าหมายความว่าเรากำลังมีลูกชายอย่างนั้นรึ”
พระชายาหลู่อ๋องเบือนหน้าหนี “ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย…หรือต่อให้เป็นบุตรชายแล้วจะอย่างไร หากท่านอ๋องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก บุตรชายที่ออกมาก็ต้องมารับโทษกรรมอยู่ดี…”
หลู่อ๋องรีบตอบรับทันควัน “ข้าไม่ยุ่ง ข้าไม่ยุ่งแล้ว!”
พระชายาหลู่อ๋องแอบโล่งใจ
ชายผู้นี่เนี่ยนะ แค่ประโยชน์เล็กน้อยมากองอยู่ตรงหน้าก็ดีใจจนเนื้อเต้น ดีแต่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอาครอบครัวเข้าไปเสี่ยงภัย
ผ่านไปครู่หนึ่ง อารมณ์ของหลู่อ๋องก็ค่อยๆ สงบลงพร้อมส่งยิ้มกริ่ม “เจ้าตั้งครรภ์ งั้นข้าไปนอนที่ห้องตำราก็แล้วกัน ส่วนเรื่องนั้น…ก็ไม่ต้องมากมาย แค่นารีงามมานั่งอ่านตำราเป็นเพื่อนแค่คนเดียวก็พอ”
“ไม่มาก?” พระชายาหลู่อ๋องชำเลืองไปที่สามี
หลู่อ๋องรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว เขาก็ควรรีบคว้าไว้ ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง “แค่คนเดียวคงไม่นับว่ามากเกินไปหรอกใช่ไหม”
“ไม่ มากไป”
“ห๊ะ?”
พระชายาหลู่อ๋องหยิบกรรไกรออกมาจากตะกร้าอุปกรณ์ปักเย็บและตีเข้าที่หน้าของหลู่อ๋องก่อนจะหัวเราะเย้ยหยัน “ท่านอ๋องคงฝันกลางวันมากไปสินะ!”
ไม่นานเกินรอ เสียงร้องโอดครวญก็ดังระงมไปทั่วห้อง
สาวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องได้แต่ก้มศีรษะต่ำใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบๆ ราวกับนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา
หากเทียบอาการดีใจจนเนื้อเต้นของหลู่อ๋อง ท่าทีของสู่อ๋องกลับดูสงบนิ่งกว่ามาก
สู่อ๋องและพระชายามักไม่ลงรอยกัน ในเวลานี้สู่อ๋องจึงไม่คิดจะเข้าไปสนทนาเรื่องนี้กับพระชายาของตนเอง เขาขลุกตัวอยู่ในห้องตำรา เฝ้าทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ยิ่งคิด จิตใจยิ่งว้าวุ่น
วันนั้นเจ้าเจ็ดถูกเสด็จพ่อเรียกเข้าวังไปเอ็ดชุดใหญ่ และถัดมาเจ้าสี่ก็ถูกเรียกเข้าวัง แต่หลังจากนั้นขุนนางที่คอยสนับสนุนเจ้าสี่ก็ถูกเก็บเรียบ…เคราะห์ที่เจ้าสี่ประสบจะเกี่ยวกับเจ้าเจ็ดหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเจ้าแปด เห็นชัดๆ ว่าเป็นฝีมือของเจ้าเจ็ด แต่เจ้าห้ากลับออกตัวรับไว้เอง… เมื่อคิดถึงความไม่เต็มเต็งของหลู่อ๋องแล้ว สู่อ๋องก็ได้แต่ส่ายศีรษะ
และเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาและเจ้าเจ็ดน่าจะมีโอกาสมากที่สุด
หลังจากความตื่นเต้นเล็กๆ นั้น เขากลับตระหนักได้ถึงเรื่องน่าหวาดกลัวเรื่องหนึ่ง นี่ก็แสดงว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับเจ้าเจ็ดอย่างนั้นสิ
ไม่ ไม่ เขายังเตรียมตัวไม่พร้อม เขายังไม่พร้อมจะสู้กับเจ้าเจ็ด
สู่อ๋องเก็บตัวอยู่ในห้องตำรากว่าครึ่งค่อนวันจนความคิดเริ่มตกตะกอน เขาต้องค่อยๆ เตรียมการไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เจ้าเจ็ดนำไปก่อนก็แล้วกัน
……
ส่วนที่จวนตงผิงปั๋ว นายท่านรองเจียงกำลังยกนิ้วขึ้นมานับ หลู่อ๋อง สู่อ๋อง เยี่ยนอ๋อง…ฮึ เยี่ยนอ๋องดูน่าจะมีโอกาสมากที่สุด!
ความอิจฉาที่นายท่านรองเจียงมีต่อเรือนหลักเพิ่มมากเป็นเท่าตัว
แต่ถึงแม้จะอิจฉา แต่หากมีลาภลอยก็ควรคว้าไว้ ฉะนั้นแล้วนายท่านรองเจียงจึงถือสุรากาหนึ่งเข้าไปหาพี่ชาย
……
ฝ่ายจวนอันกั๋วกง อันกั๋วกงกำลังกำชับเว่ยซื่อผู้เป็นฮูหยินด้วยท่าทีจริงจัง “เรื่องของฉีอ๋องอย่าได้แพร่งพรายให้ท่านแม่ทราบเป็นอันขาด คนแก่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เว่ยซื่อพยักหน้ารับพลางเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ “นายท่านกั๋วกง พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ…”
อันกั๋วกงหัวเราะเสียงเย็น “จะทำอะไรได้ ก็คงต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ก่อนที่น้องสาวจะเข้าไปเป็นนางสนมในวังหลวง จวนกั๋วกงของเราก็สืบทอดบรรดาศักดิ์มาจากรุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว ควรหรือที่พวกเราจะวิ่งเต้นออกหน้าเพียงเพราะพี่น้องลุ่มหลงในภาพมายาเช่นนั้น”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ เจ้าเองก็สงบสติอารมณ์ตัวเองเสียเถิด หน้าที่ของเจ้าคือดูแลจวนอันกั๋วกงให้ดี” อันกั๋วกงเอ่ยเตือนเว่ยซื่อ ในขณะที่ในหัวของเขามีแผนรับมือไว้พร้อม
ถึงแม้เขาจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ แต่ถึงอย่างไรจวนอันกั๋วกงก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาของฉีอ๋อง ในสายตาคนนอกถือว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับฉีอ๋อง หากฉีอ๋องมีเรื่องกระด้างกระเดื่องกับท่านอ๋องคนอื่นแล้วเกิดพลาดพลั้ง จวนอันกั๋วกงก็อาจจะย่อยยับตามไปด้วย
แต่บัดนี้กลับต่างออกไป
เพราะดูเหมือนว่าโอกาสของเยี่ยนอ๋องจะมีมากขึ้นๆ หากเยี่ยนอ๋องได้ครองตำแหน่งนั้น อย่างไรเสียเขาและจวนอันกั๋วกงก็นับว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ต่อให้เยี่ยนอ๋องเป็นโอรสใต้พระนามของฮองเฮา แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้
ขอเพียงแค่จวนอันกั๋วกงไม่ทำสิ่งใดเกินหน้าเกินตา เยี่ยนอ๋องก็คงไม่มีวันทำอะไรจวนอันกั๋วกง
หรือต่อให้เยี่ยนอ๋องพ่ายแพ้ให้แก่องค์ชายองค์อื่น แต่เพราะเยี่ยนอ๋องเป็นโอรสในฮองเฮา ฉะนั้นแล้วองค์ชายผู้นั้นก็จะไม่กล้าทำอะไรจวนอันกั๋วกงอยู่ดี
เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว การที่เยี่ยนอ๋องต่อสู้กับองค์ชายองค์อื่นๆ แทบจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อจวนอันกั๋วกงเลย หากฉีอ๋องอยู่ในสถานะเดียวกัน จวนอันกั๋วกงคงจะเดือดเนื้อร้อนใจแทนเขาไปแล้ว
อื้ม ปล่อยฉีอ๋องไปตามยถากรรมก็แล้วกัน
ในฐานะผู้เป็นลุงของฉีอ๋อง อันกั๋วกงตัดสินใจแน่วแน่เป็นครั้งที่สองว่าจะไม่ช่วยฉีอ๋อง
หากมีโอกาส เขาแอบสนับสนุนเยี่ยนอ๋องอย่างลับๆ ก็แล้วกัน
“ส่วนเรื่องเสียนเฟย ไว้เจ้าเข้าไปน้อมทักนางเมื่อไหร่ก็บอกให้นางทำใจให้สงบ และรักษาเนื้อรักษาตัวให้ปลอดภัยจะดีกว่า”
เว่ยซื่อรับคำ เช้าวันถัดมาเว่ยซื่อเข้าวังไปเยี่ยมเสียนเฟย แต่เรื่องที่สนทนากลับเปลี่ยนประเด็นไปเสียอย่างนั้น
“เหนียงเหนียงทรงทราบเรื่องฉีอ๋องหรือยังเพคะ”
เสียนเฟยได้ยินเว่ยซื่อถามเช่นนั้น หัวใจของนางพลันหนักอึ้งแต่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ “จังเอ๋อร์ทำไมรึ”
นางได้รับข่าวเรื่องที่ไทเฮาเป็นลมไปเมื่อวันแรกของเดือนสี่ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่นางมิได้สนใจเรื่องราวต่อจากนั้น
เมื่อมีไทเฮาและฮองเฮากุมอำนาจอยู่ สำหรับสนมชั้นผินอย่างนาง ความลับในวังหลวงบางเรื่องก็ยากจะหาคำตอบ
ดังนั้น ตลอดหลายวันมานี้เสียนเฟยเอาแต่เฝ้ารอข่าวคราวจากฉีอ๋อง แต่รอเท่าไร ฉีอ๋องก็ไม่เข้าวังมาน้อมทักนางสักที
เว่ยซื่อกะพริบตาก่อนจะเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา “ว่ากันว่าตอนนี้ฉีอ๋องสิ้นอำนาจเสียแล้ว”