ในฐานะที่เป็นองค์ชาย ฉีอ๋องมีทักษะความสามารถในด้านการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน
ฉะนั้นแล้วเขาจึงเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที วัตถุสีขาวนวลลอยเฉียดแก้มเขาไปนิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะแล่นลิ่วกระแทกเข้ากับกำแพงและแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
แผ่นหลังของฉีอ๋องชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ แม้ข้างแก้มจะไม่ได้รับบาดแผล แต่เขากลับรู้สึกแสบร้อน
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปถึงทรวง
ฉีอ๋องรีบคุกเข่าโดยพลันพร้อมเอ่ยเสียงสั่น “ขอเสด็จพ่อโปรดระงับโทสะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่ทราบว่าลูกทำสิ่งใดให้เสด็จพ่อต้องกริ้วถึงเพียงนี้ ขอทรงถนอมพระวรกายไว้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หัวใจของฉีอ๋องก็หยาบกระด้างขึ้นมาทันที
เมื่อกี้เกือบจะถูกหน้าแล้วเชียว หากเสียโฉมขึ้นมา…ฉีอ๋องสั่นสะท้าน
สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดเสด็จพ่อที่อารมณ์ดีอยู่หลัดๆ ถึงได้เกรี้ยวกราดเช่นนี้
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าทำอะไรข้าถึงได้โมโหขนาดนี้” จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินอ้อมโต๊ะสลักลายมังกรมาหยุดยืนที่หน้าฉีอ๋อง เขาถีบบุตรชายเต็มแรงพร้อมกล่าวโทษ “ทำร้ายไทเฮา ทำร้ายน้องชาย และทำร้ายข้า…อวี้จัง เจ้านี่มันลูกบังเกิดเกล้าของข้าจริงๆ!”
คราวนี้ฉีอ๋องไม่กล้าขยับตัวหลบบาทา ร่างกายลืมการตอบสนองไปชั่วขณะ ความตื่นตระหนกสุดขีดครอบงำจนกายไม่อาจขยับเขยื้อน
ในสมองขาวโพลน มีเพียงเสียงหึ่งๆ
เสด็จพ่อพูดอะไร
ทำร้ายไทเฮา… หรือว่าเสด็จพ่อจะทราบเรื่องวันนี้ทั้งหมดแล้ว
ฉีอ๋องทนรับความเจ็บปวดจากแรงปะทะของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ความคิดทั้งหมดพลันหยุดนิ่งด้วยความหวาดกลัว
พานไห่และหันหรานที่ยืนซ่อนตัวอยู่ในมุมทนดูต่อไปไม่ได้
จุ๊ๆ ฉีอ๋องช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
พานไห่และหันหรานหันมาสบตากัน ต่างก็ลงความเห็นแต่เพียงในใจ
พานไห่บอกกับตัวเองว่า ที่ผ่านมาเขาดูคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย เยี่ยนอ๋องมิได้เป็นพวกไก่อ่อนอย่างที่ตาเห็น เขาคือพญาอินทรี ส่วนฉีอ๋อง นอกจากจะจับไก่ไม่ได้แล้ว ยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือหนึ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องชายของตัวเองเป็นอินทรีที่แข็งแกร่ง
ช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ ยังไม่ทันได้สำเริงสำราญไปกับความสำเร็จก็ต้องมาประสบกับเคราะห์ร้ายเสียแล้ว
แต่ส่วนหันหรานกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่า การที่เขามาปรากฏตัวในที่แห่งนี้ ฉีอ๋องคงหมายหัวเขาเป็นที่เรียบร้อย ในเมื่อขึ้นหลังเสือมาแล้ว สู้เขาช่วยเยี่ยนอ๋องกำจัดฉีอ๋องให้สิ้นซากเลยดีกว่า ถือเสียว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อวงศ์ตระกูลของเขาเอง
ในขณะที่ความคิดของผู้ชมทั้งสองกำลังล่องลอยไปไกล การโจมตียังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด
ฉีอ๋องเริ่มได้สติจึงรีบอ้อนวอนการใหญ่ “เสด็จพ่ออย่ากริ้วไปเลย อย่ากริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หมดแรงในที่สุด เขาเอ่ยถามเคล้าเสียงหายใจหอบถี่ “อวี้จัง ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะอยากครอบครองตำแหน่งนั้น แต่เจ้าได้คิดถึงสุขภาพของไทเฮาบ้างหรือไม่”
ฉีอ๋องได้โอกาสพูดแก้ต่าง เขาซบหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น “เสด็จพ่อ ลูกไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพระองค์ตรัสเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะเยาะ “ไม่เข้าใจ? เจ้าไม่รู้จักจ้าวถีจวี๋จากกระทรวงขุนนางและจางจู่ปู้จากหงหลูซื่ออย่างนั้นรึ”
ฉีอ๋องกายสั่นเทิ้ม เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหันหรานที่ยืนหลบอยู่ในมุมห้อง
หันหรานหลบตาฉีอ๋องโดยการมองที่ปลายจมูกตัวเอง
กายของฉีอ๋องหนาวสะท้าน
องครักษ์จิ่นหลินคอยจับตาดูเขาอยู่งั้นรึ
“เสด็จพ่อ ลูกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าราชการชั้นผู้น้อยเช่นนั้น…” ฉีอ๋องยืนกรานปฏิเสธ
เขาจะยอมรับความผิดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากทำเช่นนั้น เขาไม่รอดแน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้จดจ้องไปที่ฉีอ๋องด้วยสายตาผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
“เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าราชการชั้นผู้น้อยงั้นรึ แล้วถ้ากับหลี่ซื่อหลางจากกระทรวงขุนนางและเฉินเส้าชิงจากหงหลูซื่อล่ะ”
ฉีอ๋องตะลึงพรึงเพริด
น้ำเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทั้งโกรธและผิดหวัง “อวี้จัง เจ้าคิดว่าหน่วยองครักษ์จิ่นหลินของข้าเตะฝุ่นไปวันๆ ไม่มีทางสืบทราบความคิดชั่วร้ายของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
หันหรานที่ยืนนิ่งอยู่ในมุม “…” หากจะกล่าวเช่นนี้ เขาคงต้องขอบคุณลูกน้องของเยี่ยนอ๋องที่อ้างตัวเป็นองครักษ์จิ่นหลินงั้นสิ
เมื่อหวนคิดถึงคำขู่ของอวี้จิ่น ไฟโกรธให้ใจของหันหรานบัดนี้กลับกลายเป็นความรู้สึกซาบซึ้งไปเสียอย่างนั้น
ไม่ได้สิ ต่อให้สิ่งที่เขาทำจะเป็นคุณ แต่การข่มขู่เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการดูถูก
เขามิได้ด้อยค่าเช่นนั้น!
หันหรานเตือนตัวเองในใจและสกัดกั้นความรู้สึกซาบซึ้งที่กำลังก่อตัว
ฝ่ายฉีอ๋องที่ได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเช่นนั้นก็หมดหนทางแก้ตัว เขาทรุดตัวลงกับพื้นอ้อนวอน “ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
พานไห่ส่ายศีรษะ
ฉีอ๋องนี่ไม่ไหวเลย อ่อนแอเกินไป ฝ่าบาทยังไม่ได้ตรัสถามเรื่องหลี่ซื่อหลางและเฉินเส้าชิงด้วยซ้ำ ก็สารภาพออกมาเองเฉยเลย
หากเป็นเยี่ยนอ๋องล่ะก็…
เมื่อนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลานั้น พานไห่ก็ดึงมุมปากโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยนอ๋องเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คนอย่างเขาน่ะหรือจะหวาดกลัวฝ่าบาท
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังฉีอ๋องรับสารภาพเองด้วยปากของเขาเอง หัวใจของเขาก็เย็นเยือกโดยสมบูรณ์
เขาแค่ทำไปเพราะความโมโห แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่เจ้าสี่ หากสุดท้ายเจ้าสี่ยืนกรานปฏิเสธ เขาอาจหวั่นไหวก็เป็นได้
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าสี่จะกล้าทำ
ไอ้ลูกตัวดี ไม่เคยทำให้เขา ‘ผิดหวัง’ เลยจริงๆ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกอัดอั้นอยู่ในอก ใบหน้าในขณะนี้คล้ายกับถูกฉาบด้วยแผ่นน้ำแข็ง “อะไรดลใจให้เจ้าทำเช่นนี้”
ฉีอ๋องซบหน้าลงพื้นพลางเอ่ยเสียงสั่น “น้องเจ็ดทำตัวกระด้างกระเดื่องหลายครั้ง ลูกทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจ้าเอาอารมณ์ชั่ววูบมาแลกกับสุขภาพของไทเฮา จิตสำนึกของเจ้าเททิ้งให้สุนัขกินไปแล้วรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เค้นเสียงเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้ฉีอ๋องกล่าวจนจบ
หากเป็นโอรสคนอื่น จิ่งหมิงฮ่องเต้คงไม่เกรี้ยวกราดเพียงนี้ แต่เพราะนี่คือฉีอ๋อง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉีอ๋องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอด แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่ได้สนิทสนมกับบุตรคนนี้เป็นพิเศษ แต่เขารู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรมาก
แต่บัดนี้เขากลับรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง
เมื่อความรู้สึกนี้ผสมเข้ากับเรื่องที่ฉีอ๋องลากไทเฮาเข้ามาเกี่ยว ไฟโกรธของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็โหมหนักทบเท่าทวีคูณ
“ลูกผิดไปแล้ว ลูกขาดสติยั้งคิดเองพ่ะย่ะค่ะ…” ฉีอ๋องขอร้องไม่หยุดปาก ในใจเขารู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
ถึงแม้หน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะทำหน้าที่สอดส่องพฤติกรรมของเหล่าขุนนาง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าจะเก่งกาจรอบรู้ถึงเพียงนี้ วันนี้องครักษ์จิ่นหลินที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่วัดฝูเต๋อยังแอบอู้งานอยู่เลยมิใช่หรือ แล้วเรื่องของเขาจะถูกเปิดโปงได้อย่างไร
ฉีอ๋องคิดไม่ตก เขาจึงได้แต่โทษว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมถึงได้ทอดทิ้งเขา
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ฉีอ๋องแวบหนึ่ง หันหลังและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อวี้จัง ต่อจากนี้หากไม่มีคำสั่งของข้า เจ้าก็ไม่ต้องเข้ามาที่วังหลวงอีก กลับไปใคร่ครวญสิ่งที่ตัวเองทำที่จวนของเจ้า”
ฉีอ๋องตกตะลึง เขากล่าวเสียงหลง “เสด็จพ่อ…”
“ทำไม แค่นี้ไม่พอรึ หรืออยากให้ข้าป่าวประกาศเรื่องของเจ้า”
สีหน้าของฉีอ๋องเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่กล้าส่งเสียงใดอีกแล้ว เขาเดินตามขันทีออกมาจากตำหนักด้วยสติล่องลอย
ผู้คนในเขตจูเชวี่ยพากันฉงนงงงวย
นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้เจ้าเจ็ดถูกเรียกเข้าวังก็ได้ยินว่าถูกเสด็จพ่อเอ็ดชุดใหญ่ แต่หลังจากที่เจ้าสี่ถูกเรียกเข้าไป เขากลับออกมาด้วยสภาพซังกะตาย
แต่ละจวนต่างคิดหาเหตุผลกันไปต่างๆ นานา แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สาเหตุที่แท้จริง
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเส้าชิงแห่งหงหลูซื่อก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในโทษฐานยกอนุภรรยาเป็นใหญ่เหนือภรรยาเอก
และหลังจากนั้นไม่นาน หลี่ตัวไหล รองเสนาบดีฝ่ายขวากรมขุนนางก็ถูกจับเข้าคุกโทษฐานรับสินบนให้คนเข้าทำงานโดยมิชอบ
เรื่องที่เกิดแก่เฉินเส้าชิงและหลี่ซื่อหลวงประกอบกับข่าวลือที่ว่าฉีอ๋องเดินออกจากตำหนักฮ่องเต้ด้วยเนื้อตัวสั่นสะท้านทำให้คนในราชสำนักพอจะเดาสาเหตุได้คร่าวๆ
ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เหล่าขุนนางใหญ่ที่ภักดีต่อฉีอ๋องเยี่ยงสุนัขรับใช้ต่างก็เก็บตัวเงียบ คนเหล่านั้นเปลี่ยนความคิดแล้วว่าหลังจากนี้จะอยู่ให้ห่างจากฉีอ๋อง
พรรคพวกที่ฉีอ๋องทุ่มเทชุบเลี้ยงมานานบัดนี้เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า